สรุปว่า ตรรกะของฝรั่งผิดใช่ไหมครับ ในเรื่องการใส่ mask

เห็นพวกฝรั่งหรือตะวันตกจะบอกว่า เฮ้ยย ไม่ต้องใส่ คนป่วยเท่านั้นถึงจะใส่ คุณไม่ป่วยไม่ต้องใส่ เพราะมันกันไม่ได้
ยอดติดเชื้อเลยพุ่งแบบก้าวกระโดดแบบทุกวันนี้ ยอดหลักๆมาจากยุโรปหรือตะวันตกมากกว่าทางฝั่งเอเชีย
ซึ่งทางฝั่งเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไทย จะเน้นการใส่เพื่อป้องกันด้วย มากกว่าที่จะเน้นกันการแพร่กระจายแบบทางฝรั่ง
จึงทำให้มีผู้ติดเชื้อค่อยๆเพิ่มช้ากว่าทางตะวันตก จริงไหมครับ

เพราะในความเป้นจริง mask สามารถดูดซับละลองของน้ำได้ ซึ่งก็คือสารคัดหลั่งต่างๆนั่นแหล่ะ เพราะมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ดังนั้น การใส่ mask จึงทำให้สามารถป้องกันการได้รับเชื้อจากละอองสารคัดหลั่งได้บ้าง แต่ไม่ 100% ซึ่งก็สามารถลดโอกาสการได้รับเชื้อเข้าไปได้ไม่มากก็น้อย
เช่น ให้คนเอาฟ็อกกี้ฉีดตรงมาใส่คุณ ซึ่งให้ละอองจากฟ็อกกี้แทนละอองจากการจาม โดยอยู่ห่าง 2 เมตร จะพบว่า ละลองมันแทบจะไม่หลุดเข้ามาจมูกเลย เพราะ mask นั้นดูดซับละอองน้ำส่วนมากไว้นั่นเอง

ดังนั้น เป็นไปได้ไหมว่า การที่ฝั่งตะวันตกมีผู้คนติดเชื้อเพิ่มอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เป็นเพราะไม่มีการใส่ mask ป้องกันแบบทางเอเชีย ซึ่งผลลัพท์ได้แสดงออกมาชัดเจนแล้วว่า ตรรกะของฝรั่งนั้นผิด จากยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ เช่น Italy เป็นต้น

ปล.ส่วนตัวผมใส่ เพราะผมคิดว่ามันสามารถป้องกันได้ครับ ผมจึงไม่เชื่อในตรรกะของฝรั่ง ถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญของเขาหรือหมอบางคนในไทยจะออกมาบอกว่า ใส่ไปก็ไม่ช่วยอะไรก็ตาม ผมขอไม่เชื่อครับ เพราะผมได้ทดลองกับฟ็อกกี้แล้ว และมันสามารถป้องกันละอองได้เป็นส่วนมากจริง
เพราะไวรัส มากับละออง ไวรัสไม่สามารถมาโดดๆกับอากาศได้ ดังนั้น mask ที่กันละอองได้ ก็สามารถกันการติดเชื้อได้บ้างไม่มากก็น้อยละครับ

เพื่อนๆสมาชิกคิดว่าไงครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
ตรรกะเขาถูกแล้วครับ แต่เราเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่เราอยากจะเชื่อโดยไม่สนตรรกะกันซะมากกว่า เราคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่สนใจไม่ว่าใครจะพูดยังไง

การติดเชื้อส่วนมากเกิดจากการสัมผัสครับ ไม่ใช่จากทางอากาศ, คนเราสัมผัสกันตลอด ยิ่งคนรู้จักเยอะ เจอคนโน้นคนนี้ก็จับมือ ยิ่งฝรั่งนี่มีกอดมีหอมแก้มเพิ่ม เลยติดกันไปใหญ่

ส่วนทางอากาศ น้อยมากที่เราจะโดนคนจามใส่หน้าตรงๆ ถ้าไม่ใช่พื้นที่ปิดอับมันก็จะหายไปกับการไหลเวียนของอากาศ, และมันไม่ได้เข้าแค่ทางจมูกทางปาก แต่ตาเราก็รับเชื้อได้เช่นกัน จะกันให้ได้ผลจริงๆก็ต้องมีแว่นเพิ่มมาด้วยนะ

และที่เขาไม่ค่อยแนะนำให้ใส่ เพราะคนทั่วไปที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์เกือบทั้งหมดนั้นใส่ผิดวิธี ไม่ก็ใช้มือที่ไม่สะอาดมาจับหน้ากาก, เอามือไปจับนั่นจับนี่แล้วก็มาจับหน้ากากต่อ ทีนี้ไวรัสมันก็มาเกาะที่หน้ากากเรานี่ล่ะ สูดเข้าไป ... มีน้อยมากที่ใส่แล้วจะไม่จับ โดยปกติของมนุษย์เราจะจับหน้าตัวเองบ่อยมากโดยรู้และไม่รู้ตัว ชั่วโมงนึงก็อย่างน้อย 20 ครั้ง, หรืออีกส่วนก็ไม่ล้างมือก่อนและหลังใส่กันทั้งนั้น มันเลยเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอีกทางหนึ่งเพราะอย่างที่บอก ส่วนมากมาจากการสัมผัส

กับเรื่องที่บอกให้ใส่ๆไว้ คนไม่มีอาการจะได้ไม่ไปแพร่เชื้อต่อ, ตามข้อมูลที่มีคือ คนที่ไม่มีอาการ มีโอกาสส่งต่อเชื้อสู่คนอื่นน้อยมากนะครับ คือปริมาณเชื้อในร่างกายยังไม่มากพอที่จะส่งผ่านต่อในสารคัดหลั่ง, และคนที่ไม่มีอาการก็ไม่จามไม่ไอ (ถึงเรียกไงว่าไม่มีอาการ) และถ้าจะส่งผ่านก็จะมาจากการสัมผัสมากกว่าอยู่ดี เช่นเอานิ้วไปแคะขี้มูก สัมผัสกับสารคัดหลั่งของตัวเองแล้วไปจับสิ่งของ

แพทย์และ WHO เลยแนะนำให้ล้างมือบ่อยๆ มีประสิทธิภาพมากกว่า

ถ้าจะใส่เพื่อความสบายใจ ก็ใส่ไปเถอะครับ, แต่ใส่ให้ถูกวิธี ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังใส่ จะได้ไม่ใส่แล้วเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง

BBC Thai - เหตุใดชาวตะวันตกจึงไม่ค่อยสวมหน้ากากอนามัยกัน
https://www.facebook.com/BBCnewsThai/videos/633064394192070/
ความคิดเห็นที่ 22
ผมมองว่าตรรกะของเขาก็ถูกแล้วนะครับ แต่การใส่ต้องเข้าใจนิดนึง คือถ้าคุณป่วย คุณจำเป็นต้องใส่ หรือแม้ว่าคุณสงสัยว่าจะป่วย คุณก็ต้องใส่แล้ว อันนี้คือเรื่องจำเป็นนะครับ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การติดต่อมันติดต่อทางสารคัดหลั่ง นั่นไม่ได้แปลว่า น้ำลายกับเสมหะอย่างเดียว แต่น้ำตา เหงื่อ ปัสสาวะ อุจาระ เลือด ฯลฯ ก็สามารถติดต่อได้ด้วย หลักๆของการใส่แมสคือป้องกันเวลาจาม ไม่ให้กระเด็นไปโดนคนอื่น แต่อย่าลืมว่า ถ้าผู้ป่วยเหงื่อออก แล้วเดินเพ่นพ่านไปจับโน่นนี่นั่น เชื้อมันก็จะติดอยู่ที่นั่นได้อีกพักหนึ่ง หากเราไปจับที่เดียวกัน เชื้อ "อาจจะ" ติดเรามา

แต่ถึงอย่างงั้นก็เหอะ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะติด เรายังมีเวลามากพอที่จะไปเข้าห้องน้ำแล้วล้างหน้าล้างมือให้สะอาด แค่นี้ก็ปลอดภัยแล้ว

แล้วกรณีที่ติดมาจากตรงไหน มันก็มาจากการที่เราสัมผัสกับสารคัดหลั่งโดยตรง จะน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ เหงื่อ ตามราวบันได ลิฟท์ แล้วเอามือไปขยี้ตา แคะขี้มูก เอามือเข้าปาก หรือแม้กระทั่งในสนามมวย ใครเคยไปจะรู้ว่ามันอับ คนแน่น คนเยอะ ต่อให้เปิดแอร์มันก็อับ ในเมื่ออับก็มักมีเหงื่อออก ยังไม่รวมเหงื่อนักมวยที่ต่อยกันบนเวที เวลาต่อยกันนี่เหงื่อกระจายไปทั่วครับ ขอแค่มีนักมวยคนเดียวติด ก็ติดกันทั้งสนามได้ ดังนั้นควรจะหลีกเลี่ยงสถานที่แบบนี้เด็ดขาด อีกที่หนึ่งนี่พอๆกันก็คือผับ สถานที่รวบรวมเหงื่อ น้ำลาย น้ำมูก เสมหะ คนเยอะ แน่น กิจกรรมที่ไปทำก็มีแต่จะทำให้สารคัดหลั่งแพร่กระจายทั้งนั้น

สถานพวกนี้มันแหล่งแพร่เชื้ออยู่แล้ว แต่คนหลายคนยังไม่เข้าใจ คิดว่าแค่ใส่แมส N95 แมสผ่าตัด หรือแม้กระทั่งหน้ากากกันก๊าซพิษ  แล้วจะป้องกันได้ มันไม่ใช่ครับ อันนี้เข้าใจผิดมหันต์เลย

ดังนั้นผมขอสรุปประเด็นดังนี้
1.ความสำคัญของการใส่แมสต้องไล่ไปจาก ผู้ป่วย-->ผู้ที่ดูแลผู้ป่วย-->ผู้ที่รักษาผู้ป่วย นอกนั้นแค่แมสผ้าก็เพียงพอ
2.หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีสารคัดหลั่งกระจายตัวมากๆ เช่น ผับ สนามกีฬา/มวย โรงยิม ฯลฯ เพราะมีโอกาสสัมผัสกับสารคัดหลั่งโดยตรงสูงมากๆ
3.ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเดินทางออกไปหาคนกลุ่มใหญ่ๆ เพียงแค่ไปทำธุระแล้วกลับบ้าน จะลดโอกาสเสี่ยงได้มาก
4.ล้างมือบ่อยๆ อันนี้คือคีย์สำคัญ เพราะอวัยวะที่มีโอกาสจะสัมผัสกับสารคัดหลั่งมากที่สุดก็คือ "สองมือ" ของเรานั่นเอง ดังนั้น หมั่นล้างมือบ่อยๆ
5.พกอุปกรณ์ติดตัวไว้บ้างกรณีออกไปข้างนอก เช่น เจลล้างมือ หรือแอลกอฮอล์แบบฉีดพ่นขวดเล็กๆ กรณีต้องหยิบจับอะไรที่สุ่มเสี่ยง หน้ากากอนามัยสักชิ้น จะผ้าหรืออะไรก็ได้ มันจะกันเราไม่ให้เอามือมาแหย่ปาก จมูกโดยไม่รู้ตัว

ขอแค่ทำตามนี้ได้ คุณก็มั่นใจได้ว่า โอกาสติดเชื้อจะต่ำสุดๆ
ไม่ต้องแห่ไปซื้อของตุน

อย่าลืมว่า "ของมันมีจำนวนจำกัด หากคุณมีมาก นั่นแปลว่าคนอื่นจะมีน้อย" เราให้สำหรับคนที่ "จำเป็นที่สุด" ก่อนเสมอ

"บริจาคหน้ากากของคุณให้ผู้ที่เสี่ยงมากกว่าเถอะครับ"

ต่อให้คุณสะสมหน้ากากได้เป็นล้านชิ้น แต่ถ้าคุณติดขึ้นมา แล้วคุณไปโรงพยาบาล แต่หมอไม่มีหน้ากาก เขาจะรักษาให้คุณดีไหม? ในเมื่อเขาเองก็ไม่มี

"การให้ ในเพลานี้ สำคัญกว่าการรับ"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่