“ขมิ้นชัน” สมุนไพรไทยที่กำลังมาแรง
อ่านข่าวมาเมื่อไม่นานมานี้ ทราบว่าตอนนี้กรมวิชาการเกษตรเอาจริงเอาจังมาก กับการเร่งวิจัยพัฒนาพืชสมุนไพรไทยอยู่หลายชนิด แต่มีอยู่หนึ่งชนิดที่กำลังขึ้นหิ้งเป็น“พืชสมุนไพรเศรษฐกิจ” ที่น่าจับตามอง เนื่องจากกำลังเป็นที่ต้องการสูงของอุตสาหกรรมยาแผนโบราณยาแผนปัจจุบัน อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
กรมวิชาการเกษตร ยังได้ระบุด้วยว่าในปี 2560 ตลาดอุตสาหกรรมสารสกัดขมิ้นชันมีมูลค่ารวม 49ล้านบาท ฟังแล้วตาค้างใครจะคิดพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่ทุกครัวเรือนปลูกแบ่งกิน แบ่งใช้ตอนนี้มามูลค่าในตลาดเป็นสี่สิบห้าสิบล้าน ในขณะที่ปริมาณผลผลิตหัวสดซึ่งยังผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของอุตสาหกรรมขมิ้นชันในประเทศเรียกว่าของขาดพอๆกับหน้ากากอนามัยในตอนนี้
ข้อมูลยังบอกด้วยว่า ที่ผ่านมาสถาบันวิจัยพืชสวนกรมวิชาการเกษตรได้รับการติดต่อจากองค์การเภสัชกรรมเพื่อขอซื้อพันธุ์ขมิ้นชันคุณภาพปลอดโรคเพื่อนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรในเครือข่ายปลูกเชิงการค้า เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตให้เพียงพอกับอุตสาหกรรมขมิ้นชันหลายแขนงที่กำลังขยายการเติบโต ซึ่งในเบื้องต้นองค์การฯมีความต้องการใช้ขมิ้นชันตากแห้งประมาณปีละ 90 ตัน ปัจจุบันได้มีการนำ “สารเคอร์คูมินอยด์” ที่สกัดจากขมิ้น“ขึ้นทะเบียน” เป็น “ยาพัฒนาจากสมุนไพรแผนปัจจุบัน” ย้ำนะครับว่าเป็น “รายการแรกของประเทศไทย” สำหรับใช้บรรเทาอาการปวดในโรคข้อเข่าเสื่อมและใน เพื่อนำมาผลิต ผลิตภัณฑ์แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันทดแทนยาแผนปัจจุบัน
อะลองมาฟังสรรพคุณของขมิ้นชันกันดูบ้าง ฟังแล้วจะอึ้งสรรพคุณมีเยอะจริง เขาบอกว่าขมิ้นชั้นนั้นมีสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ 2 กลุ่มคือ กลุ่มน้ำมันระเหย (Volatile oil) และกลุ่มสารสีเหลือส้มหรือที่เรียกว่าสาร เคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid)
แล้วสารเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) คืออะไร ตอบคือ เป็นสารสำคัญในขมิ้นชันซึ่งในขณะนี้ทางองค์การเภสัชกรรมผลิตเป็นอาหารเสริม “จีพีโอ เคอร์มินท์” ชนิดแคปซูลในขนาดความเข้มข้นสูงร้อยละ 80 ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่จากขมิ้นชันเป็นครีมเพื่อบำรุงผิวพรรณ ครีม “จีพีโอ เคอร์มินท์” มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่สูงกว่าวิตามินอีถึง 58 เท่า จากสรรพคุณมากมายคณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติฯ จึงได้พิจารณาให้ขมิ้นชันเป็น “โปรดักส์ แชมเปี้ยน” ของประเทศและมั่นใจศักยภาพขมิ้นชันสร้างรายได้เทียบเท่าโสมเกาหลี ว๊าว!!! ฟังแล้วอยากรีบกลับบ้านนอกไปขุดดินลงแปลงในบัดนาว
ที่เจ๋งสุด ปัจจุบันมีสายพันธุ์ขมิ้นชันที่กรมวิชาการเกษตรจับขึ้นทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วแล้วถึง 5 สายพันธุ์ด้วยกันคือ ขมิ้นชันทับปุก(พังงา)ขมิ้นชันตาขุน(สุราษฏร์ธานี) ขมิ้นชันแดงสยาม ขมิ้นชันส้มปรารถนาและขมิ้นชันเหลืองนนทรี และมีสายพันธุ์ที่ผ่านการรับรองจำนวน 2 พันธ์ด้วยกัน คือขมิ้นชันสายพันธ์ตรัง1และขมิ้นชันสายพันธุ์ตรัง 84-2
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการขยายการเติบโตของตลาดขมิ้นชัน กรมวิชาการเกษตรกำลังเร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหัวพันธุ์ขมิ้นชันปลอดโรคระบบวัสดุปลูก(Substrate Culture) หรือการปลูกที่ใช้วัสดุอื่นที่ไม่ใช่ดินในขมิ้นชัน 2 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ตรัง1และสายพันธุ์ตรัง 84-2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาโรคระบาดและการปนเปื้อนจากสารเคมีตกค้างในดินที่อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตและสารเคมีตกค้างในผลผลิตขมิ้นชันซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้นกว่าการปลูกในดิน ส่วนการขยายพันธุ์ได้ใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแทนการใช้หัวและแง่ง เพื่อเพิ่มปริมาณต้นพันธุ์ได้มากขึ้นสามารถรองรับความต้องการเกษตรกรที่จะนำขมิ้นชันพันธุ์นี้ไปปลูกเชิงการค้าในอนาคตโดยการวิจัยดังกล่าวดำเนินการในศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560และจะแล้วเสร็จในปี 2564นี้และหากสำเร็จก็พร้อมแจกจ่ายขมิ้นชันสายพันธุ์ปลอดโรคไปยังกลุ่มเกษตรกรต่างๆต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขมิ้นชันและเป็นทางเลือกให้เกษตรกรนำไปปลูกเพื่อการค้าป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศในอนาคตนั่นเอง
ใครที่สนใจพันธุ์ขมิ้นชันปลอดโรค หรือขมิ้นชันพันธุ์คุณภาพ ก็ลองโทรไปสอบถามได้ที่สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตรกันดูนะครับ
มีดีบอกต่อ ! พลิกวิกฤติโควิด-19 หันมาเป็นเกษตรกรปลูกสมุนไพรกันเถอะ
“ขมิ้นชัน” สมุนไพรไทยที่กำลังมาแรง
อ่านข่าวมาเมื่อไม่นานมานี้ ทราบว่าตอนนี้กรมวิชาการเกษตรเอาจริงเอาจังมาก กับการเร่งวิจัยพัฒนาพืชสมุนไพรไทยอยู่หลายชนิด แต่มีอยู่หนึ่งชนิดที่กำลังขึ้นหิ้งเป็น“พืชสมุนไพรเศรษฐกิจ” ที่น่าจับตามอง เนื่องจากกำลังเป็นที่ต้องการสูงของอุตสาหกรรมยาแผนโบราณยาแผนปัจจุบัน อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
กรมวิชาการเกษตร ยังได้ระบุด้วยว่าในปี 2560 ตลาดอุตสาหกรรมสารสกัดขมิ้นชันมีมูลค่ารวม 49ล้านบาท ฟังแล้วตาค้างใครจะคิดพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่ทุกครัวเรือนปลูกแบ่งกิน แบ่งใช้ตอนนี้มามูลค่าในตลาดเป็นสี่สิบห้าสิบล้าน ในขณะที่ปริมาณผลผลิตหัวสดซึ่งยังผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของอุตสาหกรรมขมิ้นชันในประเทศเรียกว่าของขาดพอๆกับหน้ากากอนามัยในตอนนี้
ข้อมูลยังบอกด้วยว่า ที่ผ่านมาสถาบันวิจัยพืชสวนกรมวิชาการเกษตรได้รับการติดต่อจากองค์การเภสัชกรรมเพื่อขอซื้อพันธุ์ขมิ้นชันคุณภาพปลอดโรคเพื่อนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรในเครือข่ายปลูกเชิงการค้า เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตให้เพียงพอกับอุตสาหกรรมขมิ้นชันหลายแขนงที่กำลังขยายการเติบโต ซึ่งในเบื้องต้นองค์การฯมีความต้องการใช้ขมิ้นชันตากแห้งประมาณปีละ 90 ตัน ปัจจุบันได้มีการนำ “สารเคอร์คูมินอยด์” ที่สกัดจากขมิ้น“ขึ้นทะเบียน” เป็น “ยาพัฒนาจากสมุนไพรแผนปัจจุบัน” ย้ำนะครับว่าเป็น “รายการแรกของประเทศไทย” สำหรับใช้บรรเทาอาการปวดในโรคข้อเข่าเสื่อมและใน เพื่อนำมาผลิต ผลิตภัณฑ์แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันทดแทนยาแผนปัจจุบัน
อะลองมาฟังสรรพคุณของขมิ้นชันกันดูบ้าง ฟังแล้วจะอึ้งสรรพคุณมีเยอะจริง เขาบอกว่าขมิ้นชั้นนั้นมีสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ 2 กลุ่มคือ กลุ่มน้ำมันระเหย (Volatile oil) และกลุ่มสารสีเหลือส้มหรือที่เรียกว่าสาร เคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid)
แล้วสารเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) คืออะไร ตอบคือ เป็นสารสำคัญในขมิ้นชันซึ่งในขณะนี้ทางองค์การเภสัชกรรมผลิตเป็นอาหารเสริม “จีพีโอ เคอร์มินท์” ชนิดแคปซูลในขนาดความเข้มข้นสูงร้อยละ 80 ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่จากขมิ้นชันเป็นครีมเพื่อบำรุงผิวพรรณ ครีม “จีพีโอ เคอร์มินท์” มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่สูงกว่าวิตามินอีถึง 58 เท่า จากสรรพคุณมากมายคณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติฯ จึงได้พิจารณาให้ขมิ้นชันเป็น “โปรดักส์ แชมเปี้ยน” ของประเทศและมั่นใจศักยภาพขมิ้นชันสร้างรายได้เทียบเท่าโสมเกาหลี ว๊าว!!! ฟังแล้วอยากรีบกลับบ้านนอกไปขุดดินลงแปลงในบัดนาว
ที่เจ๋งสุด ปัจจุบันมีสายพันธุ์ขมิ้นชันที่กรมวิชาการเกษตรจับขึ้นทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วแล้วถึง 5 สายพันธุ์ด้วยกันคือ ขมิ้นชันทับปุก(พังงา)ขมิ้นชันตาขุน(สุราษฏร์ธานี) ขมิ้นชันแดงสยาม ขมิ้นชันส้มปรารถนาและขมิ้นชันเหลืองนนทรี และมีสายพันธุ์ที่ผ่านการรับรองจำนวน 2 พันธ์ด้วยกัน คือขมิ้นชันสายพันธ์ตรัง1และขมิ้นชันสายพันธุ์ตรัง 84-2
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการขยายการเติบโตของตลาดขมิ้นชัน กรมวิชาการเกษตรกำลังเร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหัวพันธุ์ขมิ้นชันปลอดโรคระบบวัสดุปลูก(Substrate Culture) หรือการปลูกที่ใช้วัสดุอื่นที่ไม่ใช่ดินในขมิ้นชัน 2 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ตรัง1และสายพันธุ์ตรัง 84-2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาโรคระบาดและการปนเปื้อนจากสารเคมีตกค้างในดินที่อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตและสารเคมีตกค้างในผลผลิตขมิ้นชันซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้นกว่าการปลูกในดิน ส่วนการขยายพันธุ์ได้ใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแทนการใช้หัวและแง่ง เพื่อเพิ่มปริมาณต้นพันธุ์ได้มากขึ้นสามารถรองรับความต้องการเกษตรกรที่จะนำขมิ้นชันพันธุ์นี้ไปปลูกเชิงการค้าในอนาคตโดยการวิจัยดังกล่าวดำเนินการในศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560และจะแล้วเสร็จในปี 2564นี้และหากสำเร็จก็พร้อมแจกจ่ายขมิ้นชันสายพันธุ์ปลอดโรคไปยังกลุ่มเกษตรกรต่างๆต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขมิ้นชันและเป็นทางเลือกให้เกษตรกรนำไปปลูกเพื่อการค้าป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศในอนาคตนั่นเอง
ใครที่สนใจพันธุ์ขมิ้นชันปลอดโรค หรือขมิ้นชันพันธุ์คุณภาพ ก็ลองโทรไปสอบถามได้ที่สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตรกันดูนะครับ