"ปั่นเดี่ยวเที่ยวไปถึงหลวงพระบาง" กับทริปจักรยานทัวร์ริ่งปั่นไปตามใจฝัน ตอนที่ 4


อมยิ้ม33ความเดิมจากตอนที่แล้ว

ตอนที่ 1 https://pantip.com/topic/39708430
ตอนที่ 2 https://pantip.com/topic/39709600
ตอนที่ 3 https://pantip.com/topic/39711604

วันที่ 4  บ้านน้ำอุ่น – ภูพียงฟ้า – ภูคูณ – กิ่วกะจำ  ( ระยะทาง 80 กม.)
หลังจากเมื่อคืนนอนหลับสบาย ประมาณ 05.00 น. ผมก็ตื่น อากาศค่อนข้างหนาวเย็น 16 องศา ผมรับทำธุระส่วนตัว เก็บสัมภาระเพื่อเดินทางต่อ ประมาณ 06.30 น. ผมก็เดินทางออกจากที่พัก  วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเดินทางครับ เส้นทางในวันนี้ จะเป็นการปั่นผ่านภูเขาหลายลูกในระดับความสูงเฉลี่ย 1,400 ถึง 1,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล  ไปจนถึงบ้านกิ่วจะกำครับ 
ออกจากบ้านน้ำอุ่นมาได้ซักพักก็เจอกลุ่มเด็กนักเรียนเดินสวนทาง มีการทักทายพูดแซวเล่นกันพอสนุกสนานครับ
สเต็ปแรกของการเดินทางเช้านี้ คือการปั่นขึ้นให้ถึงภูเพียงฟ้า ซึ่งห่างไปประมาณ 15 กม. ผมคิดว่า 2 ชม. น่าจะเอาอยู่ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามในการเห็นทิวทัศน์ 360 องศา ผมตั้งใจว่าจะไปกินข้าวเช้าที่นั่นด้วยครับ 
พ้นจากกลุ่มนักเรียนมา ก็ไหลลงยาวๆมาได้ซักพัก ก็จะผ่านสะพานข้ามห้วย พ้นจากสะพาน ขวามือก็มีลำห้วยเป็นคู่ขนานกับเส้นทาง ก่อนที่จะปั่นขึ้นเขาฉีกหนีลำห้วยนี้ไป ทิ้งลำห้วยสายนี้ให้อยู่ในหุบด้านล่าง หากเหลียวมองมาทีไร มีให้เสียวใจตลอด หากตกลงข้างทาง อย่างที่เขาบอก “ซ้ายผาขวาเหว” เป็นอย่างนี้นี่เอง 
หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง หรือลาวสูง ตั้งอยู่เรียงรายตามเส้นทางที่ปั่นผ่าน หลายบ้านมีการก่อกองไฟหน้าบ้าน เพื่อไล่ความหนาวเย็น ชาวบ้านและลูกเล็กเด็กแดงต่างมานั่งล้อมกองไฟเพื่อคลายความหนาว บ้างก็โบกไม้โบกมือทักทายยามเมื่อผมปั่นผ่าน ผมได้เห็นและสัมผัสวิถีชีวิตถึงความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของชาวเขาบนดอยสูงในประเทศลาว บางทีพวกเขาอาจจะมีความสุขกว่าสังคมเมืองอย่างเราๆก็ได้ครับ...ใครจะไปรู้   

เกล็ดข้อมูลเล็กๆน้อยครับ
คนลาวมีอยู่ 3 กลุ่มครับ คือ
1. ลาวลุ่ม ซึ่งจะนับถือศาสนาพุทธ  เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศครับ และอาศัยอยู่ตามพื้นราบครับ
2. ลาวเทิง หรือพวก "ขมุ"  จะนับถือผี มักสร้างบ้านให้พื้นยกสูงมีใต้ถุน อาศัยอยู่ตามที่ราบสูง ทางตอนใต้ของประเทศ
3. ลาวสูง หรือคือชาวเขาม้ง ซึ่งก็นับถือผีด้วยเหมือนกัน แต่ก็มีส่วนมากกว่าที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยชาวม้งมักจะสร้างบ้านติดดิน อาศัยอยู่ตามดอยสูงแถบภาคเหนือของลาว

ผู้หญิงชาวบ้านตัดต้นดอกไม้กวาดแล้วนำมาตาก  เพื่อจะรอให้แห้งแล้วนำไปทำไม้กวาดต่อไป
เส้นทางที่ขึ้นไปภูเพียงฟ้าถือว่ามีความชันอยู่พอสมควร เส้นทางจะทอดยาวตามไหล่เขา ความสูงชันจะเป็นลักษณะค่อยๆชัน ผมจึงปั่นแบบสบาย ไม่ถือว่าโหดมากนักถ้าเทียบกับทริปที่ผมเคยปั่นจากเชียงใหม่ไปสะเมิงไปวัดจันทร์  ถือว่าที่นี่หมูกว่าเยอะครับ
ไม่นานนักผมก็เห็นยอดภูเพียงฟ้า คิดในใจว่าจะได้กินข้าวแล้วนั่งชมวิวหลักล้านไปในตัว ผมปั่นผ่านถนนที่กำลังก่อสร้าง ฝุ่นนี่แดงทั่วไปหมด  จนในที่สุดผมก็มาถึงหน้าทางเข้าภูเพียงฟ้า
“เอ๊...ทำไมมันเงียบจังว่ะ”   ให้ตายซิพระเจ้าจ๊อดดดด  ภูเพียงฟ้าปิด  ตรงประตูทางเข้าใส่กุญแจล็อกแน่นหนา ผมมองผ่านประตูรั้วเข้าไป  พบแต่ความว่างเปล่า สถานที่ข้างในโดนฝุ่นจับเต็มไปหมด เหมือนโคโรน่าระบาดที่เมืองอู่ฮั่นยังไงยังงั้น   อยากจะร้องให้จริงๆ อุตสาห์ตั้งใจมาเต็มที่ ผมต้องยืนทำใจอยู่พัก ก่อนจะออกปั่นต่อไป   ทิ้งความผิดหวังอย่างแรงไว้ข้างหลัง 

ภาพภูเพียงฟ้า (เอามาจากอินเตอร์เน็ต) ผมไม่ได้เข้าไปชม ...เสียดายจริงๆ

ต้องปั่นให้ถึงภูคูณ อีก 10 กม. ไปกินข้าวเอาที่นั่นก็ได้  อดทนไว้ อดทนไว้  ผมท่องคำนี้ไว้ในใจ
แต่ด้วยสภาพเส้นทางที่เป็นถนนลูกรัง สลับกับเส้นทางลาดยางที่ขรุขระ ทำให้ผมได้เพียงแค่ปั่นไปได้เรื่อยๆเท่านั้น ผ่านหมู่บ้านชาวเขาเป็นระยะ ๆ   มองดูวิวขุนเขาที่ทอดยาวสลับเรียงรายสุดลูกหูลูกตาก็พาให้เพลินดีครับ  
ไม่นานผมก็ลงมาถึงสามแยกภูคูณ  ที่นีเป็นแหล่งชุมชนใหญ่  เพราะเป็นสามแยกที่ถนนสายเหนือหมายเลข 13 จะแยกออกไปทางขวาเพื่อไปแขวงเชียงขวาง หัวพัน ซำเหนือ ครับ
ผมแวะกินข้าวที่สามแยกภูคูณเสร็จแล้วก็รีบเดินทางต่อทันที  ออกจากภูคูณก็ขึ้นเนิน ผ่านหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ก็จะไหลลงเนินยาวๆครับ ผมคิดในใจ  “มันให้กูลงเนินลงเขาเดี๋ยวมันก็เอากูคืน เชื่อดิ” และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ  
 

ลงเขางัดเนินนี่สลับกันไปพักใหญ่ อากาศตอนนี้แม้จะเป็นตอนบ่าย แต่หนาวครับ ไม่หนาวธรรมดา หนาวมากด้วย ชาวบ้านที่ขับรถมอเตอร์ไซด์ผ่านไปมาที่ใส่เสื้อกันหนาวทุกคน ผมเองบางครั้งหนาวๆ ก็งัดเสื้อกันหนาวออกมาใส่เหมือนกันครับ คิดในใจอากาศนี่คนละเรื่องกับบ้านเราเลย วันนี้ถึงแม้จะปั่นบนเขาสูง แต่อากาศดีครับ

จนมาถึงช่วงที่ไหลลงเขายาวครับ หลายกิโลเลย  ไหลยาวแบบนี้ก็ทำใจได้เลยครับ มันต้องไหลลงถึงลำห้วยแน่ แล้วเราก็จะเริ่มต้นไต่เขากันใหม่ จนในที่สุดก็ผ่านหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าหมู่อะไรเหมือนกัน จากนั้นก็ปั่นขึ้นเขากันอีก บางช่วงถนนขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ ฝุ่นนี่คละคลุ้งไปทั่ว ยิ่งเวลาสวนกับรถบรรทุกนะ ฝุ่นนี่แดงกระจายเลย ผมค่อยๆ คลานขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จนผ่านช่วงทางแย่ๆ ไปได้  

จะบ่าย 4  โมงเย็นแล้ว รู้สึกแรงเริ่มตก หิวครับพี่น้อง จอดพักจับ GPSดู ประมาณ 10 กม.จะถึงกิ่วจะกำ

ผมกัดฟันอัดขึ้นเขาเพื่อให้ถึงที่พักไว ๆ แต่เหมือนน้ำมันรถจะหมด  กว่าจะเก็บได้แต่ละกิโล ทรมานจริงๆ  อีก 5 กม.จะถึงกิ่วจำกำแล้ว เห็นเด็กๆ เลิกเรียนขี่มอเตอร์ไซด์ ลงมาจากเขากันเป็นแถวๆ  ผมใจชื่น ว่าคงไม่ไกลแล้ว  แต่ผมก็จะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน กำลังพอมีอยู่ แต่หิวนี่ซิ ผมตัดสินใจเอามาม่ามาแกะกินเติมพลังให้ตัวเอง  กินมันดิบๆนี่แหละ เหมือนประทังชีวิตเลย 555++

พอช่วยให้คลายหิว แล้วก็ปั่นขึ้นเขาต่อ  จนประมาณ 5 โมงเย็นก็มมาถึงบ้านกิ่วจะกำ  ที่นี่เป็นชุมชนใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเขาครับ มีร้านค้า ร้านอาหาร ปั้มน้ำมัน ที่พักครบสูตร  ที่พักมี 2-3 แห่งให้เลือกใช้บริการ 
 

ผมเปิดห้องพัก ชื่อ กิ่วจะกำเก็ตเฮ้าส์ ในราคา 100,000 กีบ ด้านหน้าจะเป็นร้านอาหาร ข้างๆจะเป็นที่พักยาวไปถึงด้านหลังครับ

ที่นี่ ไม่ต้องถามหาแอร์นะครับ ที่นี่หนาวตลอดปี เจ้าของที่พักบอกทุกห้องต้องมีน้ำอุ่น ไม่งั้นแขกจะอาบน้ำไม่ได้ ผมเลือกที่พักด้านหลังข้างใน กะว่าจะเปิดหน้าต่างชมวิว แต่พอลองเปิดแล้วลมแรงมาก ต้องรีบปิด อุณหภูมิตอนนี้ 16 องศา พื้นห้องปูกระเบื้อง ถ้าเดินเท้าเปล่านี่ มีสะดุ้งครับ 
ผมรีบทำธุระส่วนตัว แล้วออกมากินข้าวที่ร้านอาหารด้านนอก ก่อนที่จะกลับมาที่พัก ต้มน้ำขิงร้อนๆกินแก้หนาว แล้วขึ้นไปขลุกตัวบนที่นอน ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ นอนพักเล่นโทรศัพท์ จนหลับไป 
 
การเดินทางของผมในวันที่ 4 ก็จบแต่เพียงเท่านี้นะครับ  พรุ่งนี้ จะเป็นตอนที่ 5 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้ครับ แล้วพบกันในตอนสุดท้ายนะครับ 
ติดตามตอนที่ 5 ตอนสุดท้ายครับ  https://pantip.com/topic/39719438
อมยิ้ม38
***********************************
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่