"ปั่นเดี่ยวเที่ยวไปถึงหลวงพระบาง" กับทริปจักรยานทัวร์ริ่งปั่นไปตามใจฝัน


สวัสดีครับเพื่อนๆสมาชิกชาวพันทิป วันนี้ผมมีเรื่องราวการเดินทางด้วยจักรยานทัวร์ริ่งมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์การเดินทางของผมกันอีกครั้งนะครับ โดยคราวนี้ผมจะปั่นไปหลวงพระบาง โดยเริ่มต้นปั่นตั้งแต่จังหวัดหนองคาย ไปยังหลวงพระบางประเทศลาว ระยะทางรวมประมาณ 412 กิโลเมตร โดยกำหนดการเดินทางไว้ 5 วันตามโปรแกรมดังต่อไปนี้

การเดินทางครั้งนี้ ถึงผมจะไปแบบโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่เดียวดายนะครับ เพราะตลอดระยะเวลาการเดินทาง 5 วันเต็ม มีอะไรๆ ให้ประสบพบเจอมากมาย เรียกว่าสนุกคุ้มค่าเลยทีเดียว เป็นอีกทริปที่ผมประทับใจมากๆ  ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมก็ได้ชวนสมัครพรรคพวกที่เคยร่วมออกทริปให้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน แต่ก็ไม่มีใครที่จะว่าง หรือที่จะยอมไปกับผมด้วยเลยสักคน “ไม่เป็นไร ไปคนเดียวก็ได้ว่ะ มันเป็นความฝันของเรา คนอื่นเขาไม่เกี่ยว” ว่าแล้วก็เตรียมตัวลุยกันเลย  ผมใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 2 เดือน ในการที่จะซ้อมร่างกาย จัดเตรียมอุปกรณ์สัมภาระ ตลอดจนหาข้อมูลการเดินทาง จากคนที่เขาเดินทางไปกันมา ตามกระทู้ต่างๆ (ตรงนี้ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่เคยไปมา แล้วนำเรื่องราวมาแชร์ให้รับทราบกันครับ)

อมยิ้ม16และนี่คือเรื่องราวการเดินทางของผมครับ
คืนวันที่ 14 ก.พ 63 ประมาณ 20.00 น. ณ  สถานีขนส่งรถโดยสาร บขส. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผมเดินทางโดยรถทัวร์ บขส. โดยรถจะออกเวลา 21.00 น. ผมมาก่อนเวลา 1 ชม. นำจักรยานถอดล้อ 2 ข้างออก แล้วมัดรวมกับตัวเฟรมเพื่อสะดวกในการเอาไปเก็บที่ห้องสัมภาระใต้ท้องรถทัวร์ โดยเสียค่าขนส่ง 200 บาท อันนี้เสียให้กับ คนขับรถนะครับ พิเศษให้เขาไป  เวลาประมาณ 21.00 น. รถก็ออกครับ 

นั่งรถทัวร์มาแบบหลับๆ ตื่นๆ ประมาณ 07:00 น. ผมก็มาถึงสถานีขนส่ง จ.หนองคาย ครับ

วันที่ 1  สถานีขนส่งโดยสารหนองคาย –  บ้านโพนโฮง (ระยะทาง 98 กม.)

หลังจากผมลงรถทัวร์ ผมก็นำจักรยานออกมาประกอบแล้วแพ็คกระเป๋า เพื่อเดินทางไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองสะพานมิตรภาพไทย-ลาวทันที 

ระหว่างทางแวะที่วัดศรีสะเกษเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ล้างเนื้อล้างตัวให้สดชื่น หลังจากนั้นแวะร้านสะดวกซื้อ เพื่อซื้อน้ำดื่มและเสบียงติดตัวระหว่างเดินทางอีกนิดหน่อย ผมไม่อยากไปซื้อที่ฝั่งลาว เพราะจะแพงกว่าบ้านเราครับ

ผมแวะเติมพลังมื้อเช้าด้วยข้าวเปียกอาหารขึ้นชื่อของหนองคายก่อนที่จะถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ประมาณสัก 09:00 น.ก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง    วันนี้เป็นวันเสาร์ตอนแรกนึกว่าคนจะเยอะ แต่ปรากฏว่าคนน้อยมาก ผมนำพาสปอร์ต ไปยื่นเพื่อทำเรื่องผ่านแดน โดยใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ 

จากนั้นก็ปั่นจักรยานข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวทันที บรรยากาศสองข้างทาง เห็นแม่น้ำโขงที่เป็นพรมแดนไหลผ่านลอดใต้สะพาน ผมรู้สึกตื่นเต้นทันที ที่ได้ปั่นจักรยานข้ามเข้าไปในประเทศลาวครั้งแรก โดยเฉพาะยิ่งมาคนเดียวด้วย

พอลงสะพานมา ก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองลาว ผมใช้เวลาทำเรื่องไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย  และตรงด่านลาวผมได้แลกเงินกีบติดตัวไว้ ผมแลกมา      3,000 บาท เพื่อใช้จ่ายในระหว่างการเดินทาง ราคา ณ เวลานั้น 1 บาทไทยเท่ากับ 299  กีบลาวครับ

ผมจับ GPS เพื่อมุ่งหน้าปั่นเข้าเวียงจันทร์ทันที ที่ลาวเขาเดินรถโดยใช้ช่องทางขวานะครับ ปั่นแรกๆ ก็อาจจะลืมบ้าง จะเผลอเข้าซ้ายอย่างเดียว 555+ 

ระหว่างทาง เจอร้านขายโทรศัพท์ ผมแวะซื้อซิมลาวที่เป็นซิมเน็ตกับซิมโทรเพื่อใช้โทรในประเทศลาวไว้ด้วยครับ ตรงนี้ถือว่าขาดไม่ได้เพราะว่าการติดต่อสื่อสารถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆ ยิ่งผมต้องเดินทางคนเดียว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

แวะถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์

ประมาณ 11:00 น. ผมก็ปั่นมาถึงประตูชัย ผมแวะถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกก่อนที่จะรีบปั่นออกนอกเมืองไปยังถนนหมายเลข 13 ซึ่งเป็นถนนเส้นทางสายเหนือ ที่จะไปวังเวียง หลวงพระบาง

วันนี้เป้าหมายอยู่ที่บ้านโพนโฮง อากาศที่เวียงจันทน์ตอนนี้เรียกว่าร้อนมากๆ 

พอพ้นตัวเมือง เวียงจันทน์   ถนนบางช่วงอยู่ในช่วงกำลังสร้างทาง   ฝุ่นค่อนข้างเยอะครับ  ถนนแดง พื้นดินบ้านเขามันจะเป็นดินแดง แห้งๆ 
ทำให้ฝุ่นเยอะมาก แถมร้อนอีกต่างหาก

ถนนหมายเลข 13 ที่ออกจากเวียงจันทร์แรกๆ การจราจรยังพลุกพล่าน ตรงนี้ต้องมีสติในการปั่นครับ เพราะว่าถนนมันค่อนข้างแคบ โดยเฉพาะข้างๆ ทางจะเป็นหลุมเยอะ แล้วตรงไหนเป็นแหล่งชุมชนหรือตลาด จะมีรถจอดตลอดข้างทางกันเยอะ ทำให้ ผมต้องปั่นด้วยความระมัดระวัง ผมจะไม่ปั่นออกมา  ตรงกลางถนนเท่าไรนัก ปั่นชิดริมทางอย่างเดียว บางทีก็ยอมตกหลุม ให้สะเทือนจักรยานดีกว่าเข้าไปอยู่ในเลนที่มีรถรากับวิ่งกันเพ่นพล่าน และผมยังไม่รู้วัฒนธรรมการขับรถในบ้านเขา ว่าขับรถกันอย่างไร ผมเลยต้องเลือกที่จะหลบไว้ก่อนครับ

อากาศร้อนจริงๆ เจอปั้มน้ำมัน ต้องเข้าไปเอาน้ำลูบหน้าลูบตาคลายร้อน ก่อนครับ 

ออกจากปั้มมาได้ไม่นาน รู้สึกหิวข้าวกลางวันขึ้นมาทันที แต่ก็มองไปทางไหน ร้านอาหาร มันก็ยังไม่โดนใจ แถมฝุ่นก็เยอะมากๆเรียกว่าไม่อยากจะไปนั่งกินอะไรเลย ผมแวะซื้อน้ำอ้อยริมทางมา 1 แก้ว ราคาประมาณราคา 5,000 กีบ  รสชาติหวานชื่นใจมาก

ปั่นมาได้ครึ่งทางแล้ว รู้สึกว่าผมควรต้องหาที่หลบร้อนก่อนดีกว่า ระยะทางเหลืออีก 50 กม.ก็จะถึงบ้านโพนโฮง  ยังไงก็ทัน ผมเห็นวัดที่ตั้งอยู่ริมทางชื่อว่าวัดสีสะหวาด ผมแวะเข้าไปทันที โชคดีจริงๆ ที่นี่มีโต๊ะม้าหินอ่อนให้นั่ง ใต้ต้นไม้ มีศาลาหลบร้อน มีห้องน้ำพร้อม  “ เสร็จโจรล่ะ  ” 
ผมจัดแจงเปิดครัวเคลื่อนที่ทันที ไม่รีบไม่ร้อน พักเหนื่อยหลบร้อนไปในตัว อิ่มหนำสำราญก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ รอเวลาครับ  

ก่อนออกเดินทาง ผมกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ตรงนั้นเพื่อเป็นสิริมงคล อธิฐานขอให้การเดินทางในครั้งนี้ประสบความสำเร็จและราบรื่นปลอดภัยครับ

ผมปั่นไปเรื่อยๆ พักใหญ่ก็สัมผัสเห็นวิถีชนบทมากขึ้น สองข้างทางเมื่อมองเห็นความเขียวขจีของป่าไม้บ้างแล้ว 

ก่อนถึงบ้านโพนโฮง  ระหว่างทางขึ้นเนิน เห็นฝั่งตรงข้ามมีรถบรรทุกน้ำมันเบรคแตกลงมานอนตะแคงอยู่ข้างทาง ผมจอดจักรยานเดินข้ามฝั่งไปดู มีชาวบ้านหลายคนออกมาดู และก็มีป้าคนหนึ่งแกมาถาม “เจ้าเป็นคนขับรถแม่นบ่"...ผมตอบ​ "บ่​บบบ​ ข้อยถีบรถจักมา​ จอดอยู่ฝั่งโน้น " 555​ เหมือนคนขับรถบรรทุกตรงไหนเนี้ย”

หลังจากนั้นผมจึงเริ่มเดินทางไปต่อ ประมาณ 17.30 น. ผมก็ถึงบ้านโพนโฮง ผ่านสามแยก ที่จะเลี้ยวขวาไปทางท่าลาด (ไปเขื่อนน้ำเงินงึม) ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงอากาศที่เริ่มเย็นลง
 

ผมปั่นไปหาที่พัก ซึ่งที่พักที่ผมตั้งใจจะนอนก็คือเฮือนพักทวีชัยเกสเฮ้าส์ แต่ปรากฏว่ามีทัวร์จีนมาใช้บริการกันเต็ม (ตอนนี้เชื้อโคโรน่ากำลังระบาด)      “อยู่ไม่ได้แล้วครับพี่น้อง  เผ่นก่อนล่ะตรู”  สอบถามชาวบ้านแถวนั้น บอกว่าไม่ไกลจะมีเฮือนพักอยู่อีก 1 แห่งชื่อ เปเป้ เก็สเฮ้าส์ ผมจึงรีบปั่นไปหาทันที เพราะนี่พระอาทิตย์ใกล้ตกดินใกล้มืดแล้วด้วย

ที่นี่ เปเป้ เก็สเอ้าส์ ........ ราคาเงินไทยคืนละประมาณ 170 บาท 

ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมเพดาน ก็สมราคาล่ะครับ  ห้องน้ำแย่หน่อย กระเป๋งที่ใช้ตักราดส้วมกับใช้อาบน้ำใช้ร่วมกัน แล้วที่สำคัญน้ำแดงด้วยซิ เห็นสภาพแล้วต้องทำใจ ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้ แค่คืนเดียวเอง

ผมทำธุระส่วนตัวเสร็จ  ว่าจะเดินออกไปหาอะไรกินซักหน่อย แต่ก็เหนื่อยแถมข้างนอกอากาศก็เย็นด้วย  ร่างกายเจอร้อนมาทั้งวัน มาถึงที่นี่อากาศเย็นจนคนล่ะเรื่องกัน รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย ผมจัดแจงเปิดครัวเคลื่อนที่ในห้องพักแล้วอัดยาพาราไป 2 เม็ด ก่อนจะมานอนพักบนที่นอนประมาณ 21.00 น. ก็หลับลงไปทันที ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายโดยไม่ต้องมีแอร์

ระยะทางที่ปั่นจริงวันนี้ครับ 104 กม.  พรุ่งนี้  จะรีวิวตอนที่ 2 และเป็นวันที่ 2 ของการเดินทางให้ชมกันต่อครับ

ติดตาม ตอนที่ 2 https://pantip.com/topic/39709600
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่