สวัสดีครับผมเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่จบมาแล้วยังไม่ได้ทำงานในสายงานที่ตัวเองเรียนมาแต่ต้องมาช่วยธุรกิจที่บ้านเพราะสงสารพ่อแม่ครับ
ในความเป็นจริงแล้วผมจบออกมาเกือบจะ6เดือนแล้วแต่ต้องช่วยธุรกิจที่บ้าน ช่วยพ่อแม่ทำงานเพราะพ่อกับแม่แก่แล้วเป็นห่วงพวกท่านครับ แต่ใน6เดือนที่ผ่านมาสถานการณ์ของทางร้านย่ำแย่มากเลยครับ ย่ำแย่จนทำให้ผมแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย แต่ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าธุรกิจของผมเนี่ยเป็นหน้าร้านจากบริษัทใหญ่อีกทีครับ โดยปัญหาที่ผมเจอก็คือ (ยาวนะครับใครขี้เกียจอ่านข้ามได้เลย)
1.เศรษฐกิจช่วงนี้ค่อนข้างย่ำแย่ และโดนลูกค้าซื้อของไปแบบดาวน์แต่ไม่ยอมผ่อนจ่ายครับ
2.บริษัทใหญ่โทษว่าเป็นความผิดของร้านล้วนๆเพราะไม่ดูลูกค้าเอง(ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะดูยังไงว่าลูกค้าจะโกงไหม ในเมื่อเช็คประวัติเสียของลูกค้าก่อนทำการซื้อขายก็ไม่เจอ)
3.บริษัทใหญ่ไม่เดินเรื่องให้ ไม่ตามจับลูกค้าและไม่ให้ฟ้องศาลจนกว่าทางร้านของผมจะจ่ายค่าสินค้าที่ลูกค้าคนนั้นซื้อไปในราคานั้นๆให้ครบถ้วน(ในราคาที่ลูกค้าเลือกที่จะซื้อนะครับ ซึ่งถ้าผมไม่มีปัญญาหามาจ่ายทางร้านผมก็จะโดนคิดดอกเบี้ยด้วย)
4.ลูกค้าที่ซื้อแบบดาวน์แล้วนำสินค้าไปขาย มีเยอะมากครับมีพวกอาชญากรรมที่หลอกคนแก่หรือเด็กที่ไม่รู้เรื่องก็มี
5.ร้านของผมโดนลูกค้าแบบนี้ไปเยอะมากครับ ร้านของผมไม่สามารถหาเงินก้อนมาจ่ายให้บริษัทใหญ่ได้เลยได้ทำการผ่อนชำระเอาแต่มีดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยในดอกเบี้ยอีกที)
6.ซึ่งทำให้หนี้ของร้านผมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่ต้องจ่ายให้ธนาคารด้วย ก็ยังต้องหาตังมาผ่อนจ่ายกับบริษัทใหญ่ด้วย วึ่งหนักหนาสาหัสมากครับ
7.จริงๆเรื่องแบบนี้มันมีมาตั้งแต่ก่อน6เดือนก่อนผมเข้ามาช่วยที่ร้านแบบเต็มตัวแล้วครับ เป็นมาหลายปีแล้ว แล้วยอดหนี้ก็สั่งสมไปเรื่อยๆทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นทางออกได้เลย
8.พ่อกับแม่ของผมเครียดมาก ผมไม่เคยคิดว่าหลังจากที่เรียนจบมาต้องมานั่งฟังแม่บ่นว่าอยากตายในทุกอาทิตย์ครับ ซึ่งมันหดหู่เอาซะมากๆ
9.พ่อกับแม่ของผมได้ตัดสินใจจะขายที่ครับแต่ด้วยระยะทางที่ใช้เดินทางจากภายในตัวเมืองถึงที่ที่จะขายนั้นค่อนข้างไกลจึงขายไม่ออกสักทีครับ ไม่ว่าผมจะตั้งขายในราคาที่ถูกสุดๆแล้วก็ตามเพียงเพื่อเอามาให้พ่อกับแม่ใช้หนี้ (12ไร่กว่าๆเกือบ13ไร่ 6.5ล้านบาท)
10.เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นครับเศรษฐกิจย่ำแย่ลงมากยอดขายร้านตกลงค่อนข้างมาก บริษัทใหญ่ไม่พอใจขู่ทางร้านว่าจะให้ปิดตัวกิจการและจะยึดทรัพย์(ถ้าโดนสั่งปิดกิจการจริงๆ ผมก็ไม่สามารถหาเงินก้อนขนาดนั้นไปจ่ายให้ได้ไหนจะเรื่องธนาคารอีก)
11.พ่อกับแม่ของผมได้เข้าไปคุยกับธนาคาร ซึ่งต้องขอขอบคุณทางธนาคารมากๆที่เห็นใจและให้หยุดชำระเป็นระยะเวลาหนึ่ง พอให้ธุรกิจทางร้านยังพอไปต่อได้ แต่ทางบริษัทใหญ่ก็ยังบีบบังคับให้จ่ายโดยที่มีการคิดดอกเบี้ยเพิ่มเข้าไปในแต่ละช่วง (ดอกเบี้ยในดอกเบี้ยในดอกเบี้ยอีกที) หากไม่จ่ายจะทำการยึดทรัพย์สินทั้งหมด
12.แต่ผมโดนพูดกรอกหูจากปากของพ่อและแม่ผมเองไม่เว้นแม้แต่คนจากบริษัทใหญ่ที่ทำการกระทำเหมือนบีบให้ต้องปิดกิจการ มันหดหู่และเศร้ามากเลยครับ จนมันทำให้บางทีผมก็คิดว่าควรไปพบจิตแพทย์ดีไหม จะเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคอะไรรึป่าว
13.พ่อกับแม่ของผมคิดไปถึงขั้นโดนฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย(ซึ่งจากมุมมองผมตอนนี้เปอร์เซ็นต์ในการโดนฟ้องนั้นมีมากเลยด้วย) รอเพียงแค่เกิดการซื้อขายที่ดิน(หากสามารถขายได้สำเร็จก็เหมือนต่อลมหายใจถอดห่วงเชือกที่อยู่ในคอออกมาได้นิดนึงครับ) แต่ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้ เศรษฐกิจแบบนี้คงต้องได้แต่ภาวนาว่าจะขายที่ได้
14.ต้องขอบอกก่อนนะครับว่าครอบครัวผมไม่ได้มีฐานะที่ดีมาก ก็อยู่มาได้แบบใช้จ่ายประหยัดมากๆมาโดยตลอด ไม่ได้ติดหรูใช้ของแบรนด์เนม ออกไปกินข้าวนอกบ้านที่ร้านอาหารหรูๆบ่อยๆหรือเสื้อผ้าแพงๆ(พ่อและแม่ของผมมองเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของแบรน unxxx ว่าแพงมากครับ ส่วนตัวผมก็คิดแบบนั้นเช่นกัน)
ผมจึงไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรดี เพื่อที่จะหาทางออกให้กับครอบครัวของผม ผมอยากขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์หรือผู้ที่อยากให้คำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ
เป็นนักศึกษาจบใหม่อยากช่วยทำให้สถานการณ์ครอบครัวดีขึ้นควรทำอย่างไรดีครับ
ในความเป็นจริงแล้วผมจบออกมาเกือบจะ6เดือนแล้วแต่ต้องช่วยธุรกิจที่บ้าน ช่วยพ่อแม่ทำงานเพราะพ่อกับแม่แก่แล้วเป็นห่วงพวกท่านครับ แต่ใน6เดือนที่ผ่านมาสถานการณ์ของทางร้านย่ำแย่มากเลยครับ ย่ำแย่จนทำให้ผมแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย แต่ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าธุรกิจของผมเนี่ยเป็นหน้าร้านจากบริษัทใหญ่อีกทีครับ โดยปัญหาที่ผมเจอก็คือ (ยาวนะครับใครขี้เกียจอ่านข้ามได้เลย)
1.เศรษฐกิจช่วงนี้ค่อนข้างย่ำแย่ และโดนลูกค้าซื้อของไปแบบดาวน์แต่ไม่ยอมผ่อนจ่ายครับ
2.บริษัทใหญ่โทษว่าเป็นความผิดของร้านล้วนๆเพราะไม่ดูลูกค้าเอง(ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะดูยังไงว่าลูกค้าจะโกงไหม ในเมื่อเช็คประวัติเสียของลูกค้าก่อนทำการซื้อขายก็ไม่เจอ)
3.บริษัทใหญ่ไม่เดินเรื่องให้ ไม่ตามจับลูกค้าและไม่ให้ฟ้องศาลจนกว่าทางร้านของผมจะจ่ายค่าสินค้าที่ลูกค้าคนนั้นซื้อไปในราคานั้นๆให้ครบถ้วน(ในราคาที่ลูกค้าเลือกที่จะซื้อนะครับ ซึ่งถ้าผมไม่มีปัญญาหามาจ่ายทางร้านผมก็จะโดนคิดดอกเบี้ยด้วย)
4.ลูกค้าที่ซื้อแบบดาวน์แล้วนำสินค้าไปขาย มีเยอะมากครับมีพวกอาชญากรรมที่หลอกคนแก่หรือเด็กที่ไม่รู้เรื่องก็มี
5.ร้านของผมโดนลูกค้าแบบนี้ไปเยอะมากครับ ร้านของผมไม่สามารถหาเงินก้อนมาจ่ายให้บริษัทใหญ่ได้เลยได้ทำการผ่อนชำระเอาแต่มีดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยในดอกเบี้ยอีกที)
6.ซึ่งทำให้หนี้ของร้านผมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่ต้องจ่ายให้ธนาคารด้วย ก็ยังต้องหาตังมาผ่อนจ่ายกับบริษัทใหญ่ด้วย วึ่งหนักหนาสาหัสมากครับ
7.จริงๆเรื่องแบบนี้มันมีมาตั้งแต่ก่อน6เดือนก่อนผมเข้ามาช่วยที่ร้านแบบเต็มตัวแล้วครับ เป็นมาหลายปีแล้ว แล้วยอดหนี้ก็สั่งสมไปเรื่อยๆทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นทางออกได้เลย
8.พ่อกับแม่ของผมเครียดมาก ผมไม่เคยคิดว่าหลังจากที่เรียนจบมาต้องมานั่งฟังแม่บ่นว่าอยากตายในทุกอาทิตย์ครับ ซึ่งมันหดหู่เอาซะมากๆ
9.พ่อกับแม่ของผมได้ตัดสินใจจะขายที่ครับแต่ด้วยระยะทางที่ใช้เดินทางจากภายในตัวเมืองถึงที่ที่จะขายนั้นค่อนข้างไกลจึงขายไม่ออกสักทีครับ ไม่ว่าผมจะตั้งขายในราคาที่ถูกสุดๆแล้วก็ตามเพียงเพื่อเอามาให้พ่อกับแม่ใช้หนี้ (12ไร่กว่าๆเกือบ13ไร่ 6.5ล้านบาท)
10.เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นครับเศรษฐกิจย่ำแย่ลงมากยอดขายร้านตกลงค่อนข้างมาก บริษัทใหญ่ไม่พอใจขู่ทางร้านว่าจะให้ปิดตัวกิจการและจะยึดทรัพย์(ถ้าโดนสั่งปิดกิจการจริงๆ ผมก็ไม่สามารถหาเงินก้อนขนาดนั้นไปจ่ายให้ได้ไหนจะเรื่องธนาคารอีก)
11.พ่อกับแม่ของผมได้เข้าไปคุยกับธนาคาร ซึ่งต้องขอขอบคุณทางธนาคารมากๆที่เห็นใจและให้หยุดชำระเป็นระยะเวลาหนึ่ง พอให้ธุรกิจทางร้านยังพอไปต่อได้ แต่ทางบริษัทใหญ่ก็ยังบีบบังคับให้จ่ายโดยที่มีการคิดดอกเบี้ยเพิ่มเข้าไปในแต่ละช่วง (ดอกเบี้ยในดอกเบี้ยในดอกเบี้ยอีกที) หากไม่จ่ายจะทำการยึดทรัพย์สินทั้งหมด
12.แต่ผมโดนพูดกรอกหูจากปากของพ่อและแม่ผมเองไม่เว้นแม้แต่คนจากบริษัทใหญ่ที่ทำการกระทำเหมือนบีบให้ต้องปิดกิจการ มันหดหู่และเศร้ามากเลยครับ จนมันทำให้บางทีผมก็คิดว่าควรไปพบจิตแพทย์ดีไหม จะเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคอะไรรึป่าว
13.พ่อกับแม่ของผมคิดไปถึงขั้นโดนฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย(ซึ่งจากมุมมองผมตอนนี้เปอร์เซ็นต์ในการโดนฟ้องนั้นมีมากเลยด้วย) รอเพียงแค่เกิดการซื้อขายที่ดิน(หากสามารถขายได้สำเร็จก็เหมือนต่อลมหายใจถอดห่วงเชือกที่อยู่ในคอออกมาได้นิดนึงครับ) แต่ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้ เศรษฐกิจแบบนี้คงต้องได้แต่ภาวนาว่าจะขายที่ได้
14.ต้องขอบอกก่อนนะครับว่าครอบครัวผมไม่ได้มีฐานะที่ดีมาก ก็อยู่มาได้แบบใช้จ่ายประหยัดมากๆมาโดยตลอด ไม่ได้ติดหรูใช้ของแบรนด์เนม ออกไปกินข้าวนอกบ้านที่ร้านอาหารหรูๆบ่อยๆหรือเสื้อผ้าแพงๆ(พ่อและแม่ของผมมองเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของแบรน unxxx ว่าแพงมากครับ ส่วนตัวผมก็คิดแบบนั้นเช่นกัน)
ผมจึงไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรดี เพื่อที่จะหาทางออกให้กับครอบครัวของผม ผมอยากขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์หรือผู้ที่อยากให้คำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ