สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2568 เจอกันหนักและได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ถ้าบอกว่าปีนี้เผาจริง แสดงว่าปีหน้า 2569 สถานการณ์จะต้องดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงวิเคราะห์แล้วว่าไม่น่าใช่เพราะมองดูแบบภาพรวมยังเจอปัจจัยเสี่ยงอีกหลายประการที่พร้อมฉุดรั้งการเติบโตของประเทศ
มองกันในอีกมุมหนี่ง”อะไรที่ว่าแย่ในปีนี้อาจจะเพียงแค่ “เผาหลอก” แต่ปีหน้าเรื่องราวจะแย่ยิ่งกว่าเข้าขั้นที่เรียกว่า "เผาจริง” ซึ่งสรุปเป็นภาพรวมของเศรษฐกิจในปี 68 ที่เจอปัญหานานับประการได้แก่
👉
1.ภาระค่าครองชีพสูงและกำลังซื้ออ่อนแอ
ปี 2568 ประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะ “เงินเฟ้อต่ำแต่ค่าครองชีพสูง” รายได้เฉลี่ยของคนไทยแทบไม่โตแต่ราคาสินค้าจำเป็น (อาหาร เครื่องดื่ม พลังงาน) กลับขึ้นสะสมต่อเนื่องหลายปี ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ ราคา
ในการตัดสินใจซื้อ ยิ่งถ้าดูข้อมูลยิ่งชัดเจนว่า
▪️ 72% ของผู้บริโภคไทยระบุว่า “ราคา” คือปัจจัยอันดับ 1 ในการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค
▪️ ครัวเรือนไทย 64% ลดการใช้จ่ายสินค้าที่ “ไม่จำเป็น”เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนเอาไว้ใช้ในแต่ละเดือนมากขึ้น
▪️ 58% เปลี่ยนไปซื้อสินค้าแบรนด์ถูกกว่า แม้จะไม่ชอบในเรื่องยี่ห้อหรือคุณภาพก็ตาม
▪️ 81% ของผู้ซื้อออนไลน์เช็คราคาจากหลายช่องทางก่อนตัดสินใจซื้อ
▪️ 63% ยอมรอ Flash Sale เพื่อซื้อในราคาต่ำสุด แม้จะต้องการสินค้าเหล่านั้นอย่างมาก
และปัญหาภาระค่าใช้จ่ายที่สูงทำให้กำลังซื้อของภาคครัวเรือนโดยรวมยังคงอ่อนแอ ส่งผลกระทบต่อภาคค้าปลีกและการฟื้นตัวของธุรกิจเป็นอย่างมาก
👉
2.ปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่วิกฤติหนัก
จากข้อมูลสำรวจระบุว่าหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนในปี 2568 สูงถึง 740,596 บาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี และเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน แต่ปัญหาที่หนักยิ่งกว่าคือคุณภาพหนี้ที่แย่ลงอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้เปราะบาง ที่เป็นครัวเรือนรายได้น้อย มีสัดส่วนหนี้เสีย(NPLs) อยู่ที่ 1.24 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ “หนี้ผ่อนบ้าน” ก็หนักไม่แพ้กัน
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์พบว่า ในไตรมาส 2 ปี 2568 จำนวนที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและประกาศขายโดยกรมบังคับคดี เพิ่มขึ้นสูงถึง 210.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท เท่านั้นยังไม่พอในไตรมาส 1 ปี 2568 มีคนไทยกว่า 5.4 ล้านคนติดหนี้เรื้อรัง ที่เกิดจากพฤติกรรมชอบจ่ายขั้นต่ำ-ผิดนัดชำระ
และน่าตกใจกว่า คือถึงจะเป็นคนที่สามารถจ่ายไหว แต่กว่า 65% ก็ยังเลือกจ่ายขั้นต่ำ ทำให้เสี่ยงต่อการสะสมดอกเบี้ยสูงไปเรื่อยๆ และกลายเป็นวงจรหนี้ที่ไม่สิ้นสุด
👉
3.อัตราการว่างงานและรายได้ที่ลดลง
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) แสดงให้เห็นว่าอัตราการว่างงานโดยรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ประมาณ ร้อยละ 0.9 จากผู้ว่างงานประมาณ 3.66 แสนคน โดยกลุ่มนักศึกษาจบใหม่มีอัตราการว่างงานสูงสุดที่สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณของตลาดแรงงานที่ยังซบเซา
อันเนื่องมาจาก เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้องค์กรต่างๆ ระมัดระวังการรับพนักงานใหม่ โดยเฉพาะบัณฑิตที่ไม่มีประสบการณ์ ส่งผลให้กลุ่มเด็กจบใหม่เป็นกลุ่มที่หางานทำได้ยากที่สุด สวนทางกับเรื่องของรายได้จากการทำงานที่ลดลง ซึ่งพบว่าค่าเฉลี่ยรายได้จากการทำงานต่อครัวเรือน ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่เฉลี่ย 19,616 บาทต่อเดือน
👉
4.ธุรกิจทยอยปิดกิจการสู้ภาวะเศรษฐกิจไม่ไหว
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สะท้อนได้จากข้อมูลการจดทะเบียนเลิกกิจการในช่วงปี 2568 มีตัวเลขที่สูงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
▪️ 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค. 2568) มีการจดทะเบียนเลิกกิจการกว่า 3,107 ราย เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
▪️ 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค. 2568) มีธุรกิจปิดกิจการสะสม 4,700 - 6,244 ราย โดยมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ลดลง 5%
▪️ 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค. 2568): มีบริษัทเลิกกิจการรวมกว่า 8,000 ราย คิดเป็นทุนจดทะเบียนรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท
▪️ 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค. 2568) ธุรกิจปิดตัวมากกว่า 9,729 ราย
โดยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีการปิดกิจการมากที่สุดในช่วงไตรมาสแรกของปี และเป็นกลุ่มที่เสี่ยงขาดทุนต่อเนื่อง ตามมาด้วยธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวและปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้การลงทุนใหม่ลดลง
👉
5.เศรษฐกิจไทยโตช้าปัญหาเยอะ
คาดการณ์ตัวเลข GDP ของแต่ละหน่วยงานอาจไม่เท่ากันแต่ก็อยู่เฉลี่ยระหว่าง 2.0-2.4% ซึ่งถือว่าเติบโตช้าถ้าเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน ถ้าวิเคราะห์ลงลึกไปก็เจอปัญหาที่ฉุดรั้งในหลายเรื่องเช่น
▪️ ภาษีจากสหรัฐ 19% ทำให้สินค้าไทยแข่งขันยากขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนต่ำกว่า
▪️ วิกฤติทุนจีน / สินค้าจีนทะลัก ทำให้ตลาดในประเทศมีการแข่งขันในสงครามราคาสูงมาก SMEs ในภาคการผลิตหลายรายต้องปิดตัวลง เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจีนราคาถูกได้
▪️ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่บั่นทอนความเชื่อมั่น ของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) และนักลงทุนในประเทศ
▪️ ภัยธรรมชาติ ทั้งปัญหาภัยแล้ง , น้ำท่วม มีผลกระทบอย่างมากทั้งในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม และการฟื้นฟูที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศได้
📌
มองเศรษฐกิจปี 2568 อาจจะ“เผาจริง” เฉพาะกลุ่ม
ถ้าวิเคราะห์จากข้อมูลทั้งหมดสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ในปี 2568 อาจยังมองว่าเป็นการเผาหลอกแต่สำหรับ ครัวเรือนรายได้น้อย และ ธุรกิจ SMEs ที่พึ่งพาการบริโภคในประเทศ ซึ่งต้องเผชิญกับหนี้ท่วมและการแข่งขันที่เอาชนะไม่ได้ ถ้าดูตัวเลขจากผลสำรวจชี้ว่า SMEs ไทยได้รับผลกระทบจากหลายทาง
▪️ 70.9% ของ SMEs ได้รับผลกระทบ จากสินค้านำเข้าจากจีนที่แย่งส่วนแบ่งตลาด
▪️ 45 % ของ SMEs ระบุว่า สินค้าจากจีนมีราคา ต่ำกว่า 20-40% เมื่อเทียบกับสินค้าไทย
ซึ่งนอกจากปัจจัยด้านคู่แข่งและกำลังซื้อที่อ่อนแอ ยังต้องเจอกับปัญหา การขาดสภาพคล่อง และ การเข้าถึงสินเชื่อที่ทำได้ยาก ทำให้หลายธุรกิจต้องเลือกที่จะปิดกิจการ จึงเป็นการยืนยันได้ดีว่าในกลุ่ม SMEs ในปีนี้ก็ไม่ต่างจากการเผาจริง และปีหน้า 2569 ไฟที่เกิดจากการเผาจริงก็อาจจะยังไม่ได้จางหายแต่จะกลายเป็นสุมไฟเพิ่มให้คนที่แย่อยู่แล้วก็ยิ่งหนักมากขึ้น แต่สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ยังดูว่าปีนี้ “เผาหลอก” คือแม้จะหนักแต่ก็ยังรับมือได้อันเนื่องมาจากกำไรยังเติบโตได้ดี และกลุ่มนี้เองที่ยังช่วยฉุดให้ตัวเลข GDP ของประเทศโดยรวมดูไม่ย่ำแย่จนเกินไป
📌 ปี 2569 “หนักจริง” ถ้าไม่มีแผนรับมือ “วิกฤติหนัก”
ถ้าปี 2568 ยังหนักขนาดนี้ ปี 2569 น่าจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม มองแนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ถูกคาดการณ์ว่าจะอยู่ในช่วง 1.2% - 2.0% ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ก็แน่นอนว่าเป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาจากปีนี้ที่ยังวิกฤติและแก้ไม่ได้ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ , หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง , กำลังซื้ออ่อนแอ , ภาคการส่งออกลดลง , ความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ , สงครามการค้า ทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจปี2569 อย่างหนัก
ในกลุ่ม SMEs ที่ปี 2568 ก็ไม่ต่างจากเผาจริงไปแล้ว ปี 2569 อาจจะหนักยิ่งกว่า ใครที่ยังอยู่รอดได้ต้องเตรียมรับมืออย่างเป็นระบบ เพราะปี 2569 ก็ยังต้องเจอวิกฤติกำลังซื้อที่อ่อนแอและการแข่งขันด้านราคาที่สูง แม้กระทั่งธุรกิจขนาดใหญ่เองที่ในปี 2568 อาจจะพออยู่รอดได้
แต่ในปี 2569 อาจเดินหน้าไม่ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งตอนนี้ผู้บริหารธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโตต่ำ เริ่มมีมาตรการรัดเข็มขัดลดงบประมาณการตลาด และหันมาให้ความสำคัญกับ "การทำกำไร" มากกว่าการเติบโตของรายได้
อย่างไรก็ดีในวิกฤติก็ยังพอมีโอกาสธุรกิจที่เป็นเทรนด์ใหม่และน่าจับตามองในปี 2569 เช่น
1.ธุรกิจสุขภาพและความงาม (Health & Wellness) ที่สอดคล้องกับสังคมสูงวัย, เทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Quality Tourism) และกระแสของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
2.ธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ (Wellness & Anti-Aging) อันเนื่องจากกลุ่มประชากรสูงวัยมีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีกำลังซื้อ ทำให้ความต้องการบริการทางการแพทย์ที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่เน้นคุณภาพก็คาดว่าจะมีการเติบโตมากเช่นกัน
3.ธุรกิจ Soft Power และคอนเทนต์ (Content & Influencer) รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิต คอนเทนต์ออนไลน์ (YouTuber, TikToker, Influencer) และ E-commerce ยังคงเป็นช่องทางการค้าขายหลักที่เติบโตได้ดีที่สุด
การคาดการณ์ล่วงหน้าเป็นสิ่งที่เราทำได้ผ่านการใช้ข้อมูลเท่าที่มีในการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น เรื่องของเศรษฐกิจก็เช่นกัน จากข้อมูลทั้งหมดที่มีทำให้ประเมินศักยภาพทางเศรษฐกิจในปีหน้าว่าเข้าขั้นวิกฤติ
คนทำธุรกิจเองก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องวางแผนรับมือให้ถูกต้องเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา การปรับเปลี่ยนธุรกิจให้คล้อยตามกระแสยุคใหม่ก็เป็นหนึ่งในวิธีลดแรงกระแทกที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าปี 2569 ปัญหาทางเศรษฐกิจจะหนักแค่ไหน ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า
.
.
ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ รวบรวมข้อมูล
Cr :
https://www.facebook.com/share/p/1C31UFs3re/
จับตาเศรษฐกิจไทย! “จากสัญญาณเผาหลอก สู่พายุเผาจริง”
มองกันในอีกมุมหนี่ง”อะไรที่ว่าแย่ในปีนี้อาจจะเพียงแค่ “เผาหลอก” แต่ปีหน้าเรื่องราวจะแย่ยิ่งกว่าเข้าขั้นที่เรียกว่า "เผาจริง” ซึ่งสรุปเป็นภาพรวมของเศรษฐกิจในปี 68 ที่เจอปัญหานานับประการได้แก่
👉 1.ภาระค่าครองชีพสูงและกำลังซื้ออ่อนแอ
ปี 2568 ประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะ “เงินเฟ้อต่ำแต่ค่าครองชีพสูง” รายได้เฉลี่ยของคนไทยแทบไม่โตแต่ราคาสินค้าจำเป็น (อาหาร เครื่องดื่ม พลังงาน) กลับขึ้นสะสมต่อเนื่องหลายปี ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ ราคา
ในการตัดสินใจซื้อ ยิ่งถ้าดูข้อมูลยิ่งชัดเจนว่า
▪️ 72% ของผู้บริโภคไทยระบุว่า “ราคา” คือปัจจัยอันดับ 1 ในการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค
▪️ ครัวเรือนไทย 64% ลดการใช้จ่ายสินค้าที่ “ไม่จำเป็น”เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนเอาไว้ใช้ในแต่ละเดือนมากขึ้น
▪️ 58% เปลี่ยนไปซื้อสินค้าแบรนด์ถูกกว่า แม้จะไม่ชอบในเรื่องยี่ห้อหรือคุณภาพก็ตาม
▪️ 81% ของผู้ซื้อออนไลน์เช็คราคาจากหลายช่องทางก่อนตัดสินใจซื้อ
▪️ 63% ยอมรอ Flash Sale เพื่อซื้อในราคาต่ำสุด แม้จะต้องการสินค้าเหล่านั้นอย่างมาก
และปัญหาภาระค่าใช้จ่ายที่สูงทำให้กำลังซื้อของภาคครัวเรือนโดยรวมยังคงอ่อนแอ ส่งผลกระทบต่อภาคค้าปลีกและการฟื้นตัวของธุรกิจเป็นอย่างมาก
👉 2.ปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่วิกฤติหนัก
จากข้อมูลสำรวจระบุว่าหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนในปี 2568 สูงถึง 740,596 บาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี และเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน แต่ปัญหาที่หนักยิ่งกว่าคือคุณภาพหนี้ที่แย่ลงอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้เปราะบาง ที่เป็นครัวเรือนรายได้น้อย มีสัดส่วนหนี้เสีย(NPLs) อยู่ที่ 1.24 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ “หนี้ผ่อนบ้าน” ก็หนักไม่แพ้กัน
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์พบว่า ในไตรมาส 2 ปี 2568 จำนวนที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและประกาศขายโดยกรมบังคับคดี เพิ่มขึ้นสูงถึง 210.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท เท่านั้นยังไม่พอในไตรมาส 1 ปี 2568 มีคนไทยกว่า 5.4 ล้านคนติดหนี้เรื้อรัง ที่เกิดจากพฤติกรรมชอบจ่ายขั้นต่ำ-ผิดนัดชำระ
และน่าตกใจกว่า คือถึงจะเป็นคนที่สามารถจ่ายไหว แต่กว่า 65% ก็ยังเลือกจ่ายขั้นต่ำ ทำให้เสี่ยงต่อการสะสมดอกเบี้ยสูงไปเรื่อยๆ และกลายเป็นวงจรหนี้ที่ไม่สิ้นสุด
👉 3.อัตราการว่างงานและรายได้ที่ลดลง
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) แสดงให้เห็นว่าอัตราการว่างงานโดยรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ประมาณ ร้อยละ 0.9 จากผู้ว่างงานประมาณ 3.66 แสนคน โดยกลุ่มนักศึกษาจบใหม่มีอัตราการว่างงานสูงสุดที่สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณของตลาดแรงงานที่ยังซบเซา
อันเนื่องมาจาก เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้องค์กรต่างๆ ระมัดระวังการรับพนักงานใหม่ โดยเฉพาะบัณฑิตที่ไม่มีประสบการณ์ ส่งผลให้กลุ่มเด็กจบใหม่เป็นกลุ่มที่หางานทำได้ยากที่สุด สวนทางกับเรื่องของรายได้จากการทำงานที่ลดลง ซึ่งพบว่าค่าเฉลี่ยรายได้จากการทำงานต่อครัวเรือน ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่เฉลี่ย 19,616 บาทต่อเดือน
👉 4.ธุรกิจทยอยปิดกิจการสู้ภาวะเศรษฐกิจไม่ไหว
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สะท้อนได้จากข้อมูลการจดทะเบียนเลิกกิจการในช่วงปี 2568 มีตัวเลขที่สูงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
▪️ 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค. 2568) มีการจดทะเบียนเลิกกิจการกว่า 3,107 ราย เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
▪️ 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค. 2568) มีธุรกิจปิดกิจการสะสม 4,700 - 6,244 ราย โดยมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ลดลง 5%
▪️ 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค. 2568): มีบริษัทเลิกกิจการรวมกว่า 8,000 ราย คิดเป็นทุนจดทะเบียนรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท
▪️ 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค. 2568) ธุรกิจปิดตัวมากกว่า 9,729 ราย
โดยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีการปิดกิจการมากที่สุดในช่วงไตรมาสแรกของปี และเป็นกลุ่มที่เสี่ยงขาดทุนต่อเนื่อง ตามมาด้วยธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวและปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้การลงทุนใหม่ลดลง
👉 5.เศรษฐกิจไทยโตช้าปัญหาเยอะ
คาดการณ์ตัวเลข GDP ของแต่ละหน่วยงานอาจไม่เท่ากันแต่ก็อยู่เฉลี่ยระหว่าง 2.0-2.4% ซึ่งถือว่าเติบโตช้าถ้าเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน ถ้าวิเคราะห์ลงลึกไปก็เจอปัญหาที่ฉุดรั้งในหลายเรื่องเช่น
▪️ ภาษีจากสหรัฐ 19% ทำให้สินค้าไทยแข่งขันยากขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนต่ำกว่า
▪️ วิกฤติทุนจีน / สินค้าจีนทะลัก ทำให้ตลาดในประเทศมีการแข่งขันในสงครามราคาสูงมาก SMEs ในภาคการผลิตหลายรายต้องปิดตัวลง เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจีนราคาถูกได้
▪️ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่บั่นทอนความเชื่อมั่น ของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) และนักลงทุนในประเทศ
▪️ ภัยธรรมชาติ ทั้งปัญหาภัยแล้ง , น้ำท่วม มีผลกระทบอย่างมากทั้งในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม และการฟื้นฟูที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศได้
📌 มองเศรษฐกิจปี 2568 อาจจะ“เผาจริง” เฉพาะกลุ่ม
ถ้าวิเคราะห์จากข้อมูลทั้งหมดสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ในปี 2568 อาจยังมองว่าเป็นการเผาหลอกแต่สำหรับ ครัวเรือนรายได้น้อย และ ธุรกิจ SMEs ที่พึ่งพาการบริโภคในประเทศ ซึ่งต้องเผชิญกับหนี้ท่วมและการแข่งขันที่เอาชนะไม่ได้ ถ้าดูตัวเลขจากผลสำรวจชี้ว่า SMEs ไทยได้รับผลกระทบจากหลายทาง
▪️ 70.9% ของ SMEs ได้รับผลกระทบ จากสินค้านำเข้าจากจีนที่แย่งส่วนแบ่งตลาด
▪️ 45 % ของ SMEs ระบุว่า สินค้าจากจีนมีราคา ต่ำกว่า 20-40% เมื่อเทียบกับสินค้าไทย
ซึ่งนอกจากปัจจัยด้านคู่แข่งและกำลังซื้อที่อ่อนแอ ยังต้องเจอกับปัญหา การขาดสภาพคล่อง และ การเข้าถึงสินเชื่อที่ทำได้ยาก ทำให้หลายธุรกิจต้องเลือกที่จะปิดกิจการ จึงเป็นการยืนยันได้ดีว่าในกลุ่ม SMEs ในปีนี้ก็ไม่ต่างจากการเผาจริง และปีหน้า 2569 ไฟที่เกิดจากการเผาจริงก็อาจจะยังไม่ได้จางหายแต่จะกลายเป็นสุมไฟเพิ่มให้คนที่แย่อยู่แล้วก็ยิ่งหนักมากขึ้น แต่สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ยังดูว่าปีนี้ “เผาหลอก” คือแม้จะหนักแต่ก็ยังรับมือได้อันเนื่องมาจากกำไรยังเติบโตได้ดี และกลุ่มนี้เองที่ยังช่วยฉุดให้ตัวเลข GDP ของประเทศโดยรวมดูไม่ย่ำแย่จนเกินไป
📌 ปี 2569 “หนักจริง” ถ้าไม่มีแผนรับมือ “วิกฤติหนัก”
ถ้าปี 2568 ยังหนักขนาดนี้ ปี 2569 น่าจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม มองแนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ถูกคาดการณ์ว่าจะอยู่ในช่วง 1.2% - 2.0% ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ก็แน่นอนว่าเป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาจากปีนี้ที่ยังวิกฤติและแก้ไม่ได้ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ , หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง , กำลังซื้ออ่อนแอ , ภาคการส่งออกลดลง , ความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ , สงครามการค้า ทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจปี2569 อย่างหนัก
ในกลุ่ม SMEs ที่ปี 2568 ก็ไม่ต่างจากเผาจริงไปแล้ว ปี 2569 อาจจะหนักยิ่งกว่า ใครที่ยังอยู่รอดได้ต้องเตรียมรับมืออย่างเป็นระบบ เพราะปี 2569 ก็ยังต้องเจอวิกฤติกำลังซื้อที่อ่อนแอและการแข่งขันด้านราคาที่สูง แม้กระทั่งธุรกิจขนาดใหญ่เองที่ในปี 2568 อาจจะพออยู่รอดได้
แต่ในปี 2569 อาจเดินหน้าไม่ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งตอนนี้ผู้บริหารธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโตต่ำ เริ่มมีมาตรการรัดเข็มขัดลดงบประมาณการตลาด และหันมาให้ความสำคัญกับ "การทำกำไร" มากกว่าการเติบโตของรายได้
อย่างไรก็ดีในวิกฤติก็ยังพอมีโอกาสธุรกิจที่เป็นเทรนด์ใหม่และน่าจับตามองในปี 2569 เช่น
1.ธุรกิจสุขภาพและความงาม (Health & Wellness) ที่สอดคล้องกับสังคมสูงวัย, เทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Quality Tourism) และกระแสของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
2.ธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ (Wellness & Anti-Aging) อันเนื่องจากกลุ่มประชากรสูงวัยมีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีกำลังซื้อ ทำให้ความต้องการบริการทางการแพทย์ที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่เน้นคุณภาพก็คาดว่าจะมีการเติบโตมากเช่นกัน
3.ธุรกิจ Soft Power และคอนเทนต์ (Content & Influencer) รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิต คอนเทนต์ออนไลน์ (YouTuber, TikToker, Influencer) และ E-commerce ยังคงเป็นช่องทางการค้าขายหลักที่เติบโตได้ดีที่สุด
การคาดการณ์ล่วงหน้าเป็นสิ่งที่เราทำได้ผ่านการใช้ข้อมูลเท่าที่มีในการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น เรื่องของเศรษฐกิจก็เช่นกัน จากข้อมูลทั้งหมดที่มีทำให้ประเมินศักยภาพทางเศรษฐกิจในปีหน้าว่าเข้าขั้นวิกฤติ
คนทำธุรกิจเองก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องวางแผนรับมือให้ถูกต้องเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา การปรับเปลี่ยนธุรกิจให้คล้อยตามกระแสยุคใหม่ก็เป็นหนึ่งในวิธีลดแรงกระแทกที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าปี 2569 ปัญหาทางเศรษฐกิจจะหนักแค่ไหน ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า
.
.
ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ รวบรวมข้อมูล
Cr : https://www.facebook.com/share/p/1C31UFs3re/