รักเก่าเขาและเธอ : ตอนที่ 21 ความลับที่ถูกซ่อนไว้
ขอขอบคุณเครดิดรูปภาพปกสวยๆจาก คุณรัชต์สารินท์
..........................................................................................................
หนึ่งบุรุษเดินออกมาจากเรือนพักของบัวซอน เขากลับไปยังบ้านพักคนงานเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวเข้างาน
"เมื่อคืนเป็นไงบ้างพี่ เปียกชุ่มแฉะ กี่รอบ? พอตื่นมาคงเห็นฟ้าเป็นสีเหลืองซินะ" เพื่อนคนงานรุ่นน้องแซวขึ้นมา
"ทะลึ่ง เดี๋ยวเจอหลังมือเข้าให้ ไปรู้ข่าวนี้จากไหน? ไวจริงนะ เร็วแรงยิ่งกว่า 5G อีก" หนึ่งบุรุษไม่คาดคิดว่า ข่าวจะแพร่กระจายไปเร็วขนาดนี้
"ได้ยินพวกในโรงอาหารเขาพูดกัน" เพื่อนคนงานรุ่นน้องบอกที่มาที่ไปของข่าว
"ปากคนก็อย่างนี้" หนึ่งบุรุษส่ายหัว เขาไม่สนใจปากคนอยู่แล้ว อยากพูดอะไรก็พูดไป เขาไม่สามารถห้ามปากคนได้ แต่สามารถห้ามใจตัวเองไม่ให้คิด ไม่ให้เกิดโทสะโมหะได้
……………………………………………………………...
"คุณฟ้าขา… มีเรื่องเม้าท์ให้ฟังค่ะ นังญาญ่าพูดในโรงอาหาร เมื่อวานตอนเย็น มันเห็นลูกอีบัวซอนไปเที่ยวในเมืองกับคนงานคอกม้า ได้ยินว่านั่งจู๋จี๋จับมือถือแขนกันบนขอบตลิ่งริมน้ำลาว ชนิดไม่แคร์สายตาคนแถวนั้น ยังมีอีกเรื่องที่เด็ดกว่านั้น เมื่อคืนนังสอนแซ่วผู้ช่วยแม่ครัวในร้านอาหาร พอเลิกงานนางมักกลับบ้านผ่านทางเรือนพักอีบัวซอน นางไปเห็นลูกอีบัวซอนยืนดูดปากดุนลิ้นกับไอ้คนงานคอกม้าคนเดียวกัน อยู่ดงดอกไม้ข้างเรือนอีบัวซอน ไม่ใช่แค่ดูดปากอย่างเดียว มือไม้ยังล้วงควักกันและกัน จนแทบจะปฏิบัติกามกิจตรงนั้นเลยค่ะ บัดสีบัดเถลิงจริง เลือดแม่มันคงแรงเข้าสันดาน" เฉลียวศรีรายงานความเคลื่อนไหว
"ว๊าย… แม่เจ้า… มีเรื่องอัปปรีย์แบบนี้เกิดขึ้นในไร่ ฉันต้องรีบไปบอกพี่เดชเดี๋ยวนี้"
"คุณเดชไม่อยู่ค่ะ เมื่อกี้เห็นเดินออกไปไหนก็รู้"
"ตาเมฆรู้หรือยัง?"
"คิดว่าคงไม่รู้ เมื่อกี้ลองเดินผ่านหน้าห้อง ยังไม่ตื่นนะคะ"
"ไม่เป็นไร รอให้ตื่นก่อน แล้วค่อยบอก ดีเหมือนกัน ตาเมฆจะได้ตัดใจเลิกยุ่งเกี่ยวกับลูกนังบัวซอนซักที" สายนภาค่อยโล่งใจ
…………………………………………………………………………
เดชศักดาเดินสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยภายในไร่ เขาเดินมาจนถึงคอกม้า
"สวัสดีครับคุณท่าน" หนึ่งบุรุษยกมือไหว้เจ้านายใหญ่
"ไหว้พระเถิดพ่อหนุ่ม ฉันมัวแต่ยุ่งสารพัดเรื่อง ไม่ค่อยได้มาที่คอกม้าหลายเดือนแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เข้ามาทำงานนานหรือยังเรา?" เดชศักดารู้สึกต้องชะตากับชายหนุ่มคนนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มละม้ายคล้ายคลึงราวกับว่าเคยพบเห็นกันที่ไหนมาก่อน
" 3เดือนกว่าครับ"
"เป็นคนที่ไหนเรา?" เดชศักดาถามภูมิลำเนา
"ผมเกิดที่นี่ จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ปง และอีกหลายที่ครับ" หนึ่งบุรุษตอบคร่าวๆ
ทันใดนั้น สายตาของเดชศักดาก็มาสะดุดตรงสร้อยคอทองคำหนักประมาณ 2บาท พร้อมกับจี้พระ ที่แขวนอยู่บนคอของฝ่ายตรงข้าม เขาเพ่งมองสร้อยคอทองคำอย่างไม่วางสายตา เขารู้สึกคุ้นเคยกับสร้อยเส้นนี้มาก เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน น่าเสียดายระบบความทรงจำของเขา ไม่สามารถรายงานผลลัพธ์ที่ต้องการได้
"คุณท่านมองอะไรครับ?" หนึ่งบุรุษเห็นอากัปกริยาฝ่ายตรงข้าม
"เห็นสร้อยพ่อหนุ่มสวยแปลกตาดี ทองเก่าซะด้วย ไปได้มาจากไหนหรือ?" เดชศักดาถามที่มาที่ไปของสร้อยคอ
"สร้อยเส้นนี้ เป็นมรดกชิ้นเดียวในชีวิตผมครับ แม่ให้ผมไว้ก่อนจากไป แม่บอกว่าใส่ติดตัวไว้ตลอด จะได้รู้สึกเหมือนมีพ่ออยู่ใกล้ๆ" หนึ่งบุรุษบอกที่มาที่ไปของสร้อย
"พ่อของเราตอนนี้อยู่ไหน?" เดชศักดายังคงซักถามต่อ
"ผมกำพร้าพ่อตั้งแต่เกิดครับ ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร มาจากไหน และอยู่ที่ไหน? ตอนผมยังเด็ก แม่บอกถ้าโตขึ้นกว่านี้ จะเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้ฟังจากปากแม่ เพราะแม่ด่วนจากไปซะก่อน" หนึ่งบุรุษเล่าถึงชีวิตรันทดของตัวเอง
"ฉันเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อหนุ่มด้วยนะ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้นได้ ฉันขอเป็นกำลังใจให้พ่อหนุ่มต่อสู้ชีวิต คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ชื่ออะไรเรา?"
"เดียว ครับ"
"แล้วชื่อจริงเราละ?"
"หนึ่งบุรุษ ครับ"
"หนึ่งบุรุษ ความหมายดีตรงตัว ไม่เหมือนใครอีกต่างหาก"
เสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าจากไลน์ดังขึ้น เดชศักดาหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู
"ฉันขอตัวก่อนนะ วันหน้าค่อยคุยกันใหม่"
......................................................................................................................
มาร์ตี้ก้มดูโทรศัพท์มือถือเช็คเพื่อเช็คข้อความทางไลน์.....
"ขอโทษครับ" สายเมฆส่งข้อความโดยใช้สัญลักษณ์เป็นตัวการ์ตูน
"ไม่เป็นไรครับ" มาร์ตี้ตอบกลับ
"ว่างไหม? เดี๋ยวเราไปหานะ คิดถึงและมีเรื่องคุยด้วย"
"ตอนนี้ยังไม่สะดวก เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังได้ไหม? ขอโทษนะ" มาร์ตี้ตัดบทอย่างรวดเร็ว
สายเมฆส่งรูปการ์ตูนแทนความรู้สึกเศร้าและผิดหวัง
................................................................................................................
มาร์ตี้กับหนึ่งบุรุษกำลังช่วยกันจูงม้าออกมาเดินเล่นกลางสนามหญ้า อย่างมีความสุขสนุกสนาน ทั้งคู่กำลังอยู่ช่วงเริ่มต้นคบหาดูใจในฐานะคู่รัก
ขณะนั้น ได้มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของทั้งสองอยู่ไม่ขาดระยะ พร้อมทั้งค่อยๆหาจังหวะที่เหมาะสม เพื่อจู่โจมเข้าหา
"คุณเมฆ" หนึ่งบุรุษแสดงท่าทางตกใจ
"เมฆ... มาทำอะไรแถวนี้?" มาร์ตี้ซักถาม
"มาดูหน้าคนโกหกหลอกลวง" สายเมฆประชดประชัน
"ใครหลอกลวง? พูดอะไรเพ้อเจ้อ ไร้สาระ" มาร์ตี้เริ่มหัวเสีย
"เสียแรงที่เราอุตส่าห์รักหมดใจ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ ทำไมมาร์ตี้ถึงทรยศเรา? เราไม่ดีตรงไหน? ทำไมเราถึงสู้คนงานชั้นรากหญ้าไม่ได้?" สายเมฆกระหน่ำถามคู่กรณี
"เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า? ผมสาบานได้ว่า ไม่เคยเอ่ยปากบอกเมฆเลยว่า ผมรักเมฆ ผมจะคบกับเมฆ คำพูดพวกนี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปากผมนะ เมฆทึกทักคิดไปเองทั้งนั้น จริงอยู่เมฆไม่ผิด เมฆมีสิทธิจะคิดได้ แต่เมฆไม่สามารถบังคับจิตใจผมให้รักเมฆ เป็นของเมฆคนเดียว ตบมือข้างเดียวมันคงดังอยู่หรอก เรื่องความรักระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ มันคือความจริง" มาร์ตี้พูดอย่างเด็ดขาด
"คนเห็นแก่ตัว ตอนเกิดอารมณ์อยากได้เรา ไม่เห็นพูดอย่างนี้ พอได้กินเราแล้ว ก็เทกันง่ายๆ เชื้อแม่มาร์ตี้มันช่างแรงเหลือเกิน สาสมแล้วที่แม่เรากับพี่เหลียวด่าเช้าด่าเย็น" สายเมฆพลั้งปากพูดออกไปเพราะความโมโห
"พูดลามปามไปถึงแม่ผมเลยเหรอ เกลียดผมก็ด่าผมคนเดียวซิ ทำแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ อย่างกับแม่เมฆและป้าเหลียวดีนักนี่ คนหนึ่งก็ขี้อิจฉาตาร้อน ตัวเองเป็นแค่เมียน้อย ทะเบียนสมรสก็ไม่มี แต่กลับทำตัวอย่างกับเมียหลวง ส่วนอีกคนก็เป็นขี้ข้า เจ้านายจูงจมูกไปไหนสั่งให้อะไรก็ทำตามคำสั่ง ก่อนจะด่าแม่ผม หัดมองแม่ตัวเองบ้างนะว่า ดีเลิศแค่ไหน" มาร์ตี้โมโหชนิดที่ควันออกหู
ด้วยความหุนหันพลันแล่น เขาผลักอกสายเมฆอย่างแรง จนฝ่ายตรงข้ามเสียหลักเซไปชนข้างหลังม้าที่มัดไว้ ขณะเดียวกันสายเมฆก็เผลอตัวเอามือไปรวบหางม้าอย่างแน่นเพื่อเป็นที่ยึดเกาะไม่ให้เสียหลักล้ม ม้าที่กำลังยืนอยู่เกิดอาการตื่นตระหนก ด้วยสัญชาติของสัตว์ ม้าใช้ขาหลังดีดเตะสายเมฆกระเด็นกระดอนล้มลงไปกองกับพื้น บริเวณหัวคิ้วของเขากระแทกเข้ากับก้อนหิน จนบวมและฟกช้ำ
"เป็นอะไรไหม? ผมขอโทษด้วย ผมผิดเองที่โมโหจนขาดสติ ผลักแรงไปหน่อย" มาร์ตี้รีบวิ่งเข้ามาพยุงคู่กรณี
"ไม่ต้องมาจับตัวเรา ไปไกลๆเลย ไม่ต้องมาห่วงใยสงสาร เชิญไปมีความสุข สำเริงสำราญกันถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดโน่น เรามันโง่เองที่หน้ามืดตามัวหลงรักผู้ชายเฮงซวยอย่างนาย" สายเมฆเดินจากไป ด้วยน้ำตาเจิ่งนองบนใบหน้า
มาร์ตี้นิ่งเงียบ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นนี้ จริงอยู่ที่ตอนแรกเขาต้องการจะซ้อนแผนของสายนภากับเฉลียวศรี เพื่อเป็นการสั่งสอนทั้งสองคนที่บังอาจตั้งตนเป็นศัตรูกับมารดาของเขา
แต่พอได้มีโอกาสพบเจอกับหนึ่งบุรุษ ทำให้เขาลืมแผนการดังกล่าวอย่างสนิท เพราะในหัวสมองของเขามัวคิดถึงเรื่องหนึ่งบุรุษเท่านั้น จนไม่มีที่ว่างให้คิดถึงเรื่องอื่นเลย
"หลังจากไบร์นี่แต่งงานกับพี่เรย์แล้ว พี่เดียวไปอยู่เมืองนอกกับผมนะครับ เราจะไปใช้ชีวิตคู่ที่นั่น ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ที่ไร่ไวน์ของผมมีงานให้พี่ทำเยอะมาก ผมรักพี่" มาร์ตี้โผเข้าซบหน้าอกชายคนรัก
"ผมก็รักคุณมาร์ตี้ครับ" หนึ่งบุรุษให้กำลังใจคนรัก
รักเก่าเขาและเธอ : ตอนที่ 21 ความลับที่ถูกซ่อนไว้
ขอขอบคุณเครดิดรูปภาพปกสวยๆจาก คุณรัชต์สารินท์
..........................................................................................................
หนึ่งบุรุษเดินออกมาจากเรือนพักของบัวซอน เขากลับไปยังบ้านพักคนงานเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวเข้างาน
"เมื่อคืนเป็นไงบ้างพี่ เปียกชุ่มแฉะ กี่รอบ? พอตื่นมาคงเห็นฟ้าเป็นสีเหลืองซินะ" เพื่อนคนงานรุ่นน้องแซวขึ้นมา
"ทะลึ่ง เดี๋ยวเจอหลังมือเข้าให้ ไปรู้ข่าวนี้จากไหน? ไวจริงนะ เร็วแรงยิ่งกว่า 5G อีก" หนึ่งบุรุษไม่คาดคิดว่า ข่าวจะแพร่กระจายไปเร็วขนาดนี้
"ได้ยินพวกในโรงอาหารเขาพูดกัน" เพื่อนคนงานรุ่นน้องบอกที่มาที่ไปของข่าว
"ปากคนก็อย่างนี้" หนึ่งบุรุษส่ายหัว เขาไม่สนใจปากคนอยู่แล้ว อยากพูดอะไรก็พูดไป เขาไม่สามารถห้ามปากคนได้ แต่สามารถห้ามใจตัวเองไม่ให้คิด ไม่ให้เกิดโทสะโมหะได้
……………………………………………………………...
"คุณฟ้าขา… มีเรื่องเม้าท์ให้ฟังค่ะ นังญาญ่าพูดในโรงอาหาร เมื่อวานตอนเย็น มันเห็นลูกอีบัวซอนไปเที่ยวในเมืองกับคนงานคอกม้า ได้ยินว่านั่งจู๋จี๋จับมือถือแขนกันบนขอบตลิ่งริมน้ำลาว ชนิดไม่แคร์สายตาคนแถวนั้น ยังมีอีกเรื่องที่เด็ดกว่านั้น เมื่อคืนนังสอนแซ่วผู้ช่วยแม่ครัวในร้านอาหาร พอเลิกงานนางมักกลับบ้านผ่านทางเรือนพักอีบัวซอน นางไปเห็นลูกอีบัวซอนยืนดูดปากดุนลิ้นกับไอ้คนงานคอกม้าคนเดียวกัน อยู่ดงดอกไม้ข้างเรือนอีบัวซอน ไม่ใช่แค่ดูดปากอย่างเดียว มือไม้ยังล้วงควักกันและกัน จนแทบจะปฏิบัติกามกิจตรงนั้นเลยค่ะ บัดสีบัดเถลิงจริง เลือดแม่มันคงแรงเข้าสันดาน" เฉลียวศรีรายงานความเคลื่อนไหว
"ว๊าย… แม่เจ้า… มีเรื่องอัปปรีย์แบบนี้เกิดขึ้นในไร่ ฉันต้องรีบไปบอกพี่เดชเดี๋ยวนี้"
"คุณเดชไม่อยู่ค่ะ เมื่อกี้เห็นเดินออกไปไหนก็รู้"
"ตาเมฆรู้หรือยัง?"
"คิดว่าคงไม่รู้ เมื่อกี้ลองเดินผ่านหน้าห้อง ยังไม่ตื่นนะคะ"
"ไม่เป็นไร รอให้ตื่นก่อน แล้วค่อยบอก ดีเหมือนกัน ตาเมฆจะได้ตัดใจเลิกยุ่งเกี่ยวกับลูกนังบัวซอนซักที" สายนภาค่อยโล่งใจ
…………………………………………………………………………
เดชศักดาเดินสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยภายในไร่ เขาเดินมาจนถึงคอกม้า
"สวัสดีครับคุณท่าน" หนึ่งบุรุษยกมือไหว้เจ้านายใหญ่
"ไหว้พระเถิดพ่อหนุ่ม ฉันมัวแต่ยุ่งสารพัดเรื่อง ไม่ค่อยได้มาที่คอกม้าหลายเดือนแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เข้ามาทำงานนานหรือยังเรา?" เดชศักดารู้สึกต้องชะตากับชายหนุ่มคนนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มละม้ายคล้ายคลึงราวกับว่าเคยพบเห็นกันที่ไหนมาก่อน
" 3เดือนกว่าครับ"
"เป็นคนที่ไหนเรา?" เดชศักดาถามภูมิลำเนา
"ผมเกิดที่นี่ จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ปง และอีกหลายที่ครับ" หนึ่งบุรุษตอบคร่าวๆ
ทันใดนั้น สายตาของเดชศักดาก็มาสะดุดตรงสร้อยคอทองคำหนักประมาณ 2บาท พร้อมกับจี้พระ ที่แขวนอยู่บนคอของฝ่ายตรงข้าม เขาเพ่งมองสร้อยคอทองคำอย่างไม่วางสายตา เขารู้สึกคุ้นเคยกับสร้อยเส้นนี้มาก เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน น่าเสียดายระบบความทรงจำของเขา ไม่สามารถรายงานผลลัพธ์ที่ต้องการได้
"คุณท่านมองอะไรครับ?" หนึ่งบุรุษเห็นอากัปกริยาฝ่ายตรงข้าม
"เห็นสร้อยพ่อหนุ่มสวยแปลกตาดี ทองเก่าซะด้วย ไปได้มาจากไหนหรือ?" เดชศักดาถามที่มาที่ไปของสร้อยคอ
"สร้อยเส้นนี้ เป็นมรดกชิ้นเดียวในชีวิตผมครับ แม่ให้ผมไว้ก่อนจากไป แม่บอกว่าใส่ติดตัวไว้ตลอด จะได้รู้สึกเหมือนมีพ่ออยู่ใกล้ๆ" หนึ่งบุรุษบอกที่มาที่ไปของสร้อย
"พ่อของเราตอนนี้อยู่ไหน?" เดชศักดายังคงซักถามต่อ
"ผมกำพร้าพ่อตั้งแต่เกิดครับ ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร มาจากไหน และอยู่ที่ไหน? ตอนผมยังเด็ก แม่บอกถ้าโตขึ้นกว่านี้ จะเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้ฟังจากปากแม่ เพราะแม่ด่วนจากไปซะก่อน" หนึ่งบุรุษเล่าถึงชีวิตรันทดของตัวเอง
"ฉันเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อหนุ่มด้วยนะ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้นได้ ฉันขอเป็นกำลังใจให้พ่อหนุ่มต่อสู้ชีวิต คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ชื่ออะไรเรา?"
"เดียว ครับ"
"แล้วชื่อจริงเราละ?"
"หนึ่งบุรุษ ครับ"
"หนึ่งบุรุษ ความหมายดีตรงตัว ไม่เหมือนใครอีกต่างหาก"
เสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าจากไลน์ดังขึ้น เดชศักดาหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู
"ฉันขอตัวก่อนนะ วันหน้าค่อยคุยกันใหม่"
......................................................................................................................
มาร์ตี้ก้มดูโทรศัพท์มือถือเช็คเพื่อเช็คข้อความทางไลน์.....
"ขอโทษครับ" สายเมฆส่งข้อความโดยใช้สัญลักษณ์เป็นตัวการ์ตูน
"ไม่เป็นไรครับ" มาร์ตี้ตอบกลับ
"ว่างไหม? เดี๋ยวเราไปหานะ คิดถึงและมีเรื่องคุยด้วย"
"ตอนนี้ยังไม่สะดวก เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังได้ไหม? ขอโทษนะ" มาร์ตี้ตัดบทอย่างรวดเร็ว
สายเมฆส่งรูปการ์ตูนแทนความรู้สึกเศร้าและผิดหวัง
................................................................................................................
มาร์ตี้กับหนึ่งบุรุษกำลังช่วยกันจูงม้าออกมาเดินเล่นกลางสนามหญ้า อย่างมีความสุขสนุกสนาน ทั้งคู่กำลังอยู่ช่วงเริ่มต้นคบหาดูใจในฐานะคู่รัก
ขณะนั้น ได้มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของทั้งสองอยู่ไม่ขาดระยะ พร้อมทั้งค่อยๆหาจังหวะที่เหมาะสม เพื่อจู่โจมเข้าหา
"คุณเมฆ" หนึ่งบุรุษแสดงท่าทางตกใจ
"เมฆ... มาทำอะไรแถวนี้?" มาร์ตี้ซักถาม
"มาดูหน้าคนโกหกหลอกลวง" สายเมฆประชดประชัน
"ใครหลอกลวง? พูดอะไรเพ้อเจ้อ ไร้สาระ" มาร์ตี้เริ่มหัวเสีย
"เสียแรงที่เราอุตส่าห์รักหมดใจ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ ทำไมมาร์ตี้ถึงทรยศเรา? เราไม่ดีตรงไหน? ทำไมเราถึงสู้คนงานชั้นรากหญ้าไม่ได้?" สายเมฆกระหน่ำถามคู่กรณี
"เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า? ผมสาบานได้ว่า ไม่เคยเอ่ยปากบอกเมฆเลยว่า ผมรักเมฆ ผมจะคบกับเมฆ คำพูดพวกนี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปากผมนะ เมฆทึกทักคิดไปเองทั้งนั้น จริงอยู่เมฆไม่ผิด เมฆมีสิทธิจะคิดได้ แต่เมฆไม่สามารถบังคับจิตใจผมให้รักเมฆ เป็นของเมฆคนเดียว ตบมือข้างเดียวมันคงดังอยู่หรอก เรื่องความรักระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ มันคือความจริง" มาร์ตี้พูดอย่างเด็ดขาด
"คนเห็นแก่ตัว ตอนเกิดอารมณ์อยากได้เรา ไม่เห็นพูดอย่างนี้ พอได้กินเราแล้ว ก็เทกันง่ายๆ เชื้อแม่มาร์ตี้มันช่างแรงเหลือเกิน สาสมแล้วที่แม่เรากับพี่เหลียวด่าเช้าด่าเย็น" สายเมฆพลั้งปากพูดออกไปเพราะความโมโห
"พูดลามปามไปถึงแม่ผมเลยเหรอ เกลียดผมก็ด่าผมคนเดียวซิ ทำแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ อย่างกับแม่เมฆและป้าเหลียวดีนักนี่ คนหนึ่งก็ขี้อิจฉาตาร้อน ตัวเองเป็นแค่เมียน้อย ทะเบียนสมรสก็ไม่มี แต่กลับทำตัวอย่างกับเมียหลวง ส่วนอีกคนก็เป็นขี้ข้า เจ้านายจูงจมูกไปไหนสั่งให้อะไรก็ทำตามคำสั่ง ก่อนจะด่าแม่ผม หัดมองแม่ตัวเองบ้างนะว่า ดีเลิศแค่ไหน" มาร์ตี้โมโหชนิดที่ควันออกหู
ด้วยความหุนหันพลันแล่น เขาผลักอกสายเมฆอย่างแรง จนฝ่ายตรงข้ามเสียหลักเซไปชนข้างหลังม้าที่มัดไว้ ขณะเดียวกันสายเมฆก็เผลอตัวเอามือไปรวบหางม้าอย่างแน่นเพื่อเป็นที่ยึดเกาะไม่ให้เสียหลักล้ม ม้าที่กำลังยืนอยู่เกิดอาการตื่นตระหนก ด้วยสัญชาติของสัตว์ ม้าใช้ขาหลังดีดเตะสายเมฆกระเด็นกระดอนล้มลงไปกองกับพื้น บริเวณหัวคิ้วของเขากระแทกเข้ากับก้อนหิน จนบวมและฟกช้ำ
"เป็นอะไรไหม? ผมขอโทษด้วย ผมผิดเองที่โมโหจนขาดสติ ผลักแรงไปหน่อย" มาร์ตี้รีบวิ่งเข้ามาพยุงคู่กรณี
"ไม่ต้องมาจับตัวเรา ไปไกลๆเลย ไม่ต้องมาห่วงใยสงสาร เชิญไปมีความสุข สำเริงสำราญกันถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดโน่น เรามันโง่เองที่หน้ามืดตามัวหลงรักผู้ชายเฮงซวยอย่างนาย" สายเมฆเดินจากไป ด้วยน้ำตาเจิ่งนองบนใบหน้า
มาร์ตี้นิ่งเงียบ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นนี้ จริงอยู่ที่ตอนแรกเขาต้องการจะซ้อนแผนของสายนภากับเฉลียวศรี เพื่อเป็นการสั่งสอนทั้งสองคนที่บังอาจตั้งตนเป็นศัตรูกับมารดาของเขา
แต่พอได้มีโอกาสพบเจอกับหนึ่งบุรุษ ทำให้เขาลืมแผนการดังกล่าวอย่างสนิท เพราะในหัวสมองของเขามัวคิดถึงเรื่องหนึ่งบุรุษเท่านั้น จนไม่มีที่ว่างให้คิดถึงเรื่องอื่นเลย
"หลังจากไบร์นี่แต่งงานกับพี่เรย์แล้ว พี่เดียวไปอยู่เมืองนอกกับผมนะครับ เราจะไปใช้ชีวิตคู่ที่นั่น ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ที่ไร่ไวน์ของผมมีงานให้พี่ทำเยอะมาก ผมรักพี่" มาร์ตี้โผเข้าซบหน้าอกชายคนรัก
"ผมก็รักคุณมาร์ตี้ครับ" หนึ่งบุรุษให้กำลังใจคนรัก