ตามภาพ ตามฝัน ไปปีนัง (ตอน 10)


ตอน 10
 
          หากเปรียบยุครุ่งเรืองของเมืองจอร์จทาวน์เป็นเหมือนฟองสบู่ ความมั่งคั่งร่ำรวยเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วคราว จากนั้นก็จางหายไป ฟองสบู่ของเมืองจอร์จทาวน์แตกแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เศษเสี้ยวความทรงจำจากอดีต ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คงจะเป็น เฉิง ฟัต เจ๋อ แมนชั่น (Cheong Fatt Tze Mansion) หรือเรียกกันติดปากว่า เดอะ บลู แมนชั่น (The Blue Mansion) อาคารสีน้ำเงินเข้มทั้งหลังจนเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านพักของเจ้าสัวผู้มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งของเมืองจอร์จทาวน์ กาลเวลาทำให้ เดอะ บลู แมนชั่น กลายเป็นอาคารร้างไร้คนพักอาศัย ก่อนที่จะได้รับการบูรณะจนสวยสดงดงามอย่างเช่นปัจจุบัน
          การค้นหาข้อมูลของ Kids on Bicycle ทำให้ค้นพบ เดอะ บลูแมนชั่น ด้วยความบังเอิญ ตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่พอทราบว่าปัจจุบัน เดอะ บลูแมนชั่น ได้กลายสภาพเป็นโรงแรมหรู เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปได้เข้าพัก เมื่อทราบดังนั้นแล้ว แรงบันดาลใจอย่างที่สองก็เกิดขึ้นทันที การจะสัมผัสเดอะ บลูแมนชั่น ได้ดีที่สุด ก็ต้องไปนอนพักสักคืน แต่เมื่อดูจากความเลิศหรูและประวัติอันยาวนานแล้ว ก็เริ่มหวั่นใจว่าจะจองห้องพักได้หรือไม่ และแล้วความปรารถนาก็เป็นจริง มีห้องพักห้องสุดท้ายรอผมอยู่ ทุกอย่างลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงตอนนี้ผมกำลังเข้าพักในอาคารโบราณสีน้ำเงินด้วยความตื่นเต้น และห้องพักในคืนนี้มีชื่อว่า
          Peony ที่หมายถึง ดอกโบตั๋น! ชื่อไพเราะเสียด้วย

          เดอะ บลู แมนชั่น ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1880 สำหรับเป็นคฤหาสน์เรือนพักของคหบดีชาวจีนผู้มั่งคั่ง ชื่อเจ้าสัว เฉิง ฟัต เจ๋อ ที่ร่ำรวยจากการค้าขายทางทะเล โดยเจ้าสัวไม่ได้เป็นชาวปีนังโดยกำเนิด แต่เป็นชาวจีนฮกเกี้ยนจากมณฑลกวางตุ้ง อพยพมาพร้อมกับความยากจนข้นแค้น ด้วยความปรารถนาจะเข้ามาแสวงโชคในดินแดนแห่งใหม่ และด้วยความขยันขันแข็ง ประกอบกิจการค้าขายจนรุ่งเรือง จนกลายมาเป็นมหาเศรษฐีระดับแถวหน้าของเมืองจอร์จทาวน์ ครอบครองธุรกิจที่ดินในหลายประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ส่วนการค้าขายสินค้าก็มีหลากหลาย อาทิ เครื่องเทศ ยางพารา ไวน์ ฯลฯ รวมถึงการเป็นเจ้าของบริษัทเดินเรือ สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้าง เดอะ บลูแมนชั่น นั้น ก็ไม่ได้มาจากที่ไหน เกิดจากหญิงอันเป็นที่รัก โดยประวัติเล่าว่า เจ้าสัวมีภรรยาถึงเก้าคน แต่หญิงที่เจ้าสัวรักมากที่สุด กลับเป็นภรรยาคนที่เจ็ด เดอะ บลูแมนชั่น จึงเป็นสัญลักษณ์ของความรักเหมือนกับทัชมาฮาลในประเทศอินเดีย โดยเจ้าสัวได้เชิญช่างฝีมือชาวจีนระดับปรมาจารย์จากจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อมาสรรค์สร้างคฤหาสน์สไตล์จีนโบราณผสมผสานกลิ่นไออารยธรรมตะวันตก เติมแต่งความโดดเด่นของสีน้ำเงินอมม่วงที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนในอินเดีย เท่านั้นยังไม่พอการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกก็เลิศหรูไม่มีที่ติ ด้วยฝีมือของช่างชาวจีนที่ใช้เครื่องกระเบื้องดินเผามาตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนโมเสก จากนั้นก็นำมาตกแต่งประดับประดาเป็นรูปคน สัตว์มงคลของจีน ตกแต่งไว้ในส่วนต่างๆ ของอาคาร โดยเฉพาะบริเวณจั่วมีความอย่างสวยงามที่สุด และได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเดอะ บลูแมนชั่น ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก สำหรับโครงสร้างของอาคารถูกออกแบบให้เป็นอาคารไตล์จีน บริเวณกลางบ้านจะเปิดโล่งให้อากาศหมุนเวียนตามหลักหวงจุ้ยของชาวจีนโบราณ เพิ่มเติมด้วยอาคารสองชั้นขยายออกเป็นปีกทั้งสองด้าน ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นห้องพักของสมาชิกในครอบครัว ส่วนคนรับใช้จะมีอาคารแยกต่างหากอยู่ด้านหลัง การตกแต่งภายในก็ประณีตไม่แพ้ด้านนอก ด้วยงานเหล็กหล่อจากช่างฝีมือตะวันตกประดับไว้โดยรอบของระเบียงชั้นสอง บันไดวนทั้งสองด้าน ซึ่งทั้งหมดนำเข้าจากเมืองกลาสโกว์  (Glasgow) ประเทศสก็อตแลนด์ ไม่เพียงเท่านั้น กระเบื้องปูพื้นลวดลายโบราณแปลกตานำเข้าจากประเทศอังกฤษ การผสมผสานระหว่างการตกแต่งของสองซีกโลก ตะวันออกและตะวันตกถูกสร้างสรรค์ราวกับศิลปะชั้นเลิศ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ความมั่งคั่งของเมืองจอร์จทาวน์
          แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เดอะ บลูแมนชั่น ที่งดงามตกทอดมาสู่สะใภ้ที่เป็นทายาทรุ่นสุดท้ายของตระกูล ประกอบกับความร่ำรวยมั่งคั่งได้จางหายไปจนหมดสิ้น การค้าไม่สามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลเหมือนในอดีต ส่งผลทำให้ เดอะ บลู แมนชั่น ไร้การดูแล ถูกทิ้งให้ทรุดโทรม จนเมื่อปี ค.ศ. 1989 ทายาทของเจ้าสัวก็เสียชีวิตลง
          เดอะ บลู แมนชั่น ได้กลายเป็นอาคารร้าง!
 
          รอยยิ้มของพนักงานต้อนรับสาวชาวจีนทักทายด้วยภาษาอังกฤษอันคล่องแคล่ว ให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง หลังจากตรวจสอบเอกสารการจองที่พักเรียบร้อยแล้ว น้องพนักงานก็พาผมไปยังห้องพักบริเวณอาคารที่เป็นปีกด้านขวา เมื่อถึงห้องที่มีป้ายชื่อติดเอาไว้ว่า Peony พนักงานก็บรรจงใช้กุญแจทองเหลืองรูปทรงโบราณไขเข้าห้องพัก ผมเชื่อว่าหลายคนคงคิดว่าด้านหลังประตู คงจะเป็นห้องพักที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าโบราณกับบรรยากาศน่ากลัว แต่เมื่อประตูถูกเปิดออกภาพในจินตนาการได้เลือนหายไปในบัดดล 
          อากาศที่เย็นสบายมาพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆ คล้ายกลิ่นหอมของดอกไม้ คลอเคล้าด้วยเสียงดนตรีจีนบรรเลงแผ่วเบา กับเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่จัดวางเข้ากับห้องพักสไตล์โบราณอย่างลงตัว ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เดอะ บูล แมนชั่น ได้กลายเป็นโรงแรมระดับโลกไปแล้ว ทั้งการบริการอย่างเป็นกันเอง อบอุ่นราวกับได้มาพักบ้านญาติสนิท เฟอร์นิเจอร์หรูหราตามแบบโรงแรมห้าดาว ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จนทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่พนักงานนำเครื่องดื่มและผ้าเย็นมาให้บริการ จากนั้นก็เดินหายไป และก็มารู้เอาตอนนี้เองว่า พนักงานได้เข้ามาเปิดห้องสร้างบรรยากาศอบอุ่นให้กับแขกผู้มาเยือนเกิดความประทับใจนั่นเอง 
          ผมบอกกับตัวเองว่านับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาที่ เดอะ บลู แมนชั่น จะขอใช้เวลาทั้งหมดจนถึงวินาทีสุดท้ายอยู่แต่ภายในโรงแรม เดินชม ถ่ายภาพ นั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจ นอนพักให้สบายอารมณ์ โดยจะไม่ยอมออกไปไหนเด็ดขาด

          ภูมิปัญญาโบราณของชาวอินเดียจากการใช้สีน้ำเงินอมม่วงที่ได้จากดอกอัญชันมาเป็นสีทาอาคาร ทำให้เกิดความงดงามแปลกตา และขณะที่ผมกำลังถ่ายภาพ เดอะ บลูแมนชั่น อยู่นั้น ผมสังเกตเห็นอาคารสีน้ำเงินอมม่วงเปลี่ยนสีได้ แดดจัดเป็นโทนสีหนึ่ง แต่พอเมฆบดบังดวงอาทิตย์ก็เปลี่ยนเป็นอีกโทนสีหนึ่ง เดอะ บลู แมนชั่น เปลี่ยนแปลงไปตามแสงที่ตกกระทบ เข้มอ่อนต่างกัน ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ยิ่งตอนค่ำคืนสีน้ำเงินอมม่วงเมื่อกระทบกับโคมไฟสีแดงที่ประดับประดาเรียงรายเอาไว้บริเวณทางเดิน ก็ยิ่งงดงามอีกเช่นเดียวกัน
          
          “คุณ คุณ ช่วยถ่ายภาพให้พวกเราหน่อยสิ”
          สองสาวจีนที่อยู่ใกล้ๆ ขอร้องให้ผมช่วยถ่ายภาพให้ ผมจัดแจงถ่ายภาพให้อย่างที่ต้องการ 
          “ใช้ได้มั้ยครับ” ผมส่งกล้องถ่ายภาพคืนให้พวกเธอ
          “ใช้ได้ ขอบคุณมาก ขอมุมนี้ด้วยซิ ต่อด้วยมุมนี้ด้วย”     
‘ไม่จ้างผมเป็นช่างภาพเสียเลยล่ะคุณผู้หญิงทั้งสอง’ แอบนึกในใจ 
          นอกจากแขกที่เข้าพักของโรงแรมจะสามารถเดินเล่นถ่ายภาพได้ทั่วทุกส่วนของ เดอะ บลู แมนชั่น แล้ว นักเที่ยวอื่นก็สามารถเข้าเข้าชม เดอะ บลู แมนชั่น ได้เช่นกัน ด้วยการซื้อตั๋วเข้าชม โดยในหนึ่งวันจะมีเพียงแค่สามรอบ เริ่มตั้งแต่เวลา 11.00 น. , 14.00 น. และ 15.30 น. ส่วนเวลาอื่นจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาภายในโดยเด็ดขาด! สำหรับนักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วจะสามารถเข้าชมได้เฉพาะส่วนด้านหน้าของอาคาร ห้องโถง และบริเวณชั้นสองที่จัดเอาไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ ส่วนปีกทั้งสองด้านของอาคารจะถูกสงวนเอาไว้ให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของแขกที่เข้าพัก จะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวอื่นเดินเข้าด้านใน ถือว่าการบริหารจัดการของ เดอะ บลู แมนชั่น ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
เวลาผ่านไปสักพัก สองสาวยังคงชี้นิ้วใช้ผมถ่ายภาพไม่ยอมหยุด จนผมชักรำคาญเต็มที คงจะต้องหนีเข้าไปในส่วนของห้องพักเสียแล้ว ผมคืนกล้องกับสองสาว จากนั้นก็รีบเดินผ่านประตูที่มีป้ายติดเอาไว้ว่าห้ามบุคคลภายนอกเข้า ผมหันมาสบตาเล็กน้อย ซึ่งก็เห็นสองสาวกำลังยืนมองด้วยความแปลกใจ คงสงสัยว่าเข้าไปได้ยังไงตรงบริเวณนั้น เขาห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปไม่ใช่เหรอ! 
และที่สำคัญยังถ่ายภาพไม่เสร็จเลย ออกมาก่อน... 
 
          หลังจากที่กาลเวลาทอดทิ้งให้ เดอะ บลู แมนชั่น รกร้างมาเป็นเวลาหลายปี ก็เริ่มมีแนวคิดพยายามผลักดันให้มีการบูรณะเดอะ บลู แมนชั่น และแล้วการบูรณะครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น แต่การซ่อมแซมอาคารเก่าอายุมากกว่าร้อยปีกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ตลอดระยะเวลาของการบูรณะซ่อมแซมพบกับปัญหาอุปสรรคนานัปการ เริ่มตั้งแต่การหาซื้อวัสดุตกแต่งที่เป็นของดั่งเดิมเหมือนกับในอดีต ปัจจุบันมีราคาแพงและหายากมาก นอกจากนั้นการหาช่างฝีมือชั้นยอดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบโมเสกเป็นรูปต่างๆ รวมถึงระยะเวลาในการทำงานที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาอุปสรรคทั้งสิ้น แต่ทุกคนก็ไม่ย่อท้อ การบูรณะยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึงห้าปี ด้วยเงินทุนมหาศาลถึง 7.6 ล้านริงกิต หรือราว 70 ล้านบาท จนในที่สุดปี ค.ศ. 1995 การบูรณะซ่อมแซมทุกอย่างก็เสร็จสมบูรณ์ เดอะ บลู แมนชั่น ได้ถูกเนรมิตให้กลับมางดงามดังเดิม และที่สำคัญ เดอะ บลู แมนชั่น ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเกาะปีนังไปเสียแล้ว
          หลังจากได้รับการบูรณะจนงดงาม เดอะ บลู แมนชั่น ได้รับรางวัลมากมาย อาทิ UNESCO Most Excellent’ Heritage Conservation Award ในปี ค.ศ. 2000 , Lonely Planet จัดลำดับให้เป็น The Greatest Mansions and grand houses หนึ่งในสิบโรงแรมที่น่าพักมากที่สุดของโลก ปัจจุบัน เดอะ บลู แมนชั่น ได้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่มรดกโลกของเมืองจอร์จทาวน์อีกด้วย
 
          นอกจากพื้นที่บางส่วนถูกจัดไว้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมแล้ว อาคารด้านหน้ายังมีห้องขนาดเล็กที่รวบรวมของที่ระลึกเกี่ยวกับ เดอะ บลู แมนชั่น และเมืองจอร์จทาวน์ ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสีน้ำ โปสการ์ด พวงกุญแจ และหนังสือ นอกจากนั้นยังมีเศษถ้วยกระเบื้องลายครามอายุเก่าแก่ที่นำมาทำเป็นพวงกุญแจ โดยพนักงานเล่าว่า เศษถ้วยกระเบื้องเหล่านี้ ถูกค้นพบจากซากเรือโบราณที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร ความเก่าแก่ไม่ต้องพูดถึง เก่าแก่และหายากแน่นอน น่าซื้อมาก แต่ด้วยราคาที่แพงระยับ ชิ้นเล็กๆ ก็ตกอยู่ที่ห้าสิบริงกิต ถึงจะอยากได้สักแค่ไหน ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ก่อน เพราะว่ายังต้องอยู่ที่ปีนังอีกหลายวัน ไม่อย่างนั้นหมดตูดกันพอดี และแล้วผมก็ได้เจอของที่กำลังตามหามานาน เป็นหนังสือชื่อว่า The Blue Mansion : The Story of Mandarin Splendour Reborn ตอนแรกคิดว่าคงต้องสั่งซื้อผ่านเว็บไซด์ต่างประเทศ แต่กลับมาเจอที่นี่ ถือว่าโชคดีมาก สำหรับราคานั้น ก็เท่ากับพวงกุญแจกระเบื้องลายครามนั่นแหล่ะ แต่เอาเป็นว่าถ้าหนังสือเล่มนี้จ่ายโดยไม่ต้องคิด สำหรับเนื้อหาของหนังสือจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ The Blue Mansion นับแต่อดีตถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาษาจีนและภาษาอังกฤษ และมีภาพถ่ายที่หาชมได้ยากในอดีต จากยุครุ่งเรืองจนถึงช่วงเวลาที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง และภาพถ่ายในช่วงเวลาของการบูรณะอาคาร จนมาถึงความสวยงามหลังจากที่ได้บูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว 
          ของที่ระลึกจาก The Blue Mansion ถือว่าถูกใจเอามากๆ 
 
          จนเมื่อถึงเวลาต้องลาจาก เวลาของ เดอะ บลู แมนชั่น ผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน จิตใจยังคงอาลัยอาวรณ์กับช่วงเวลาที่มีความสุข จนไม่อยากจากไปไหน 
          คงไม่มีคำใดจะกล่าวได้เหมาะสมกว่าการให้คำมั่นว่า 
 
‘ผมจะกลับมาที่ The Blue Mansion อีกครั้ง’ อย่างแน่นอน

by
กบในกะลาแก้ว

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่