พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตที่พระเทวทัตทูลขอ ๕ ข้อ
พระเทวทัตแต่งตั้งหลักธรรมที่ภิกษุจะต้องประพฤติ ๕ ข้อเรียกว่า ปัญจวัตถุ ประกาศให้บริษัทของตนประพฤติ แล้วนำเหล่าสานุศิษย์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขอให้ออกพระพุทธบัญชา เป็นกฎที่ภิกษุทุกๆ รูปต้องดำเนินตาม ๕ ข้อนั้น (เสถียร โพธินันทะ. ๒๕๒๒. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, ๓๕.) คือ
๑. ภิกษุพึงเป็นผู้ถือยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิตรูปใดไปสู่ละแวกบ้าน รูปนั้นมีโทษ
ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับนั้น เพราะว่าอคติ เพราะว่า ที่ใดที่หนึ่งจะเลิศกว่าอีกที่หนึ่งไม่ได้ เป็นอคติ อยู่ที่ข้อวัตรปฏิบัติไม่ใช่อยู่ที่สถานที่ ถ้าอยู่ที่สถานที่แสดงว่าคนป่าก็เป็นพระอรหันต์หมด
๒. ภิกษุพึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดรับนิมนต์ รูปนั้นมีโทษ
ความคิดอย่างนี้ผิด เพราะว่า อคติ ถ้าพระเทวทัตไม่สามารถถอนอคติได้จะไม่มีทางผุดเกิดได้
อคติ เพราะว่า ญาติโยมมีธุระนิมนต์ไปที่บ้านก็ไม่ได้หมด แล้วเป็นอคติไหม? แล้วเราจะไปเทศนาสั่งสอนธรรมะแก่ประชาชนได้อย่างไร เราจะถือสิ่งใดเลิศกว่าสิ่งใดทั้งหมดไม่ได้ เป็นอคติ นี่คือหลักการ
๓. ภิกษุพึงถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดรับผ้าคฤหบดีรูปนั้นมีโทษ
เป็นอคติ ถ้าเป็นยุคสมัยปัจจุบันก็ไม่ได้แล้ว พระก็ไม่มีนุ่งห่มแล้ว เพราะว่าไม่รู้ว่าจะไปเอาผ้าบังสุกุลที่ไหนได้
๔. ภิกษุพึงถืออยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิตรูปใดเข้าสู่ที่มุงที่บัง รูปนั้นมีโทษ
เป็นอคติ
๕. ภิกษุไม่พึงฉันของสดคาว มีปลา เนื้อ เป็นต้นตลอดชีวิต รูปใดฉันรูปนั้นมีโทษ
เรากินอาหารสด คาว ขึ้นอยู่กับฐานจิตของเรา ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะไปกินอะไร
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตที่พระเทวทัตทูลขอ ๕ ข้อ
พระเทวทัตแต่งตั้งหลักธรรมที่ภิกษุจะต้องประพฤติ ๕ ข้อเรียกว่า ปัญจวัตถุ ประกาศให้บริษัทของตนประพฤติ แล้วนำเหล่าสานุศิษย์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขอให้ออกพระพุทธบัญชา เป็นกฎที่ภิกษุทุกๆ รูปต้องดำเนินตาม ๕ ข้อนั้น (เสถียร โพธินันทะ. ๒๕๒๒. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, ๓๕.) คือ
๑. ภิกษุพึงเป็นผู้ถือยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิตรูปใดไปสู่ละแวกบ้าน รูปนั้นมีโทษ
ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับนั้น เพราะว่าอคติ เพราะว่า ที่ใดที่หนึ่งจะเลิศกว่าอีกที่หนึ่งไม่ได้ เป็นอคติ อยู่ที่ข้อวัตรปฏิบัติไม่ใช่อยู่ที่สถานที่ ถ้าอยู่ที่สถานที่แสดงว่าคนป่าก็เป็นพระอรหันต์หมด
๒. ภิกษุพึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดรับนิมนต์ รูปนั้นมีโทษ
ความคิดอย่างนี้ผิด เพราะว่า อคติ ถ้าพระเทวทัตไม่สามารถถอนอคติได้จะไม่มีทางผุดเกิดได้
อคติ เพราะว่า ญาติโยมมีธุระนิมนต์ไปที่บ้านก็ไม่ได้หมด แล้วเป็นอคติไหม? แล้วเราจะไปเทศนาสั่งสอนธรรมะแก่ประชาชนได้อย่างไร เราจะถือสิ่งใดเลิศกว่าสิ่งใดทั้งหมดไม่ได้ เป็นอคติ นี่คือหลักการ
๓. ภิกษุพึงถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดรับผ้าคฤหบดีรูปนั้นมีโทษ
เป็นอคติ ถ้าเป็นยุคสมัยปัจจุบันก็ไม่ได้แล้ว พระก็ไม่มีนุ่งห่มแล้ว เพราะว่าไม่รู้ว่าจะไปเอาผ้าบังสุกุลที่ไหนได้
๔. ภิกษุพึงถืออยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิตรูปใดเข้าสู่ที่มุงที่บัง รูปนั้นมีโทษ
เป็นอคติ
๕. ภิกษุไม่พึงฉันของสดคาว มีปลา เนื้อ เป็นต้นตลอดชีวิต รูปใดฉันรูปนั้นมีโทษ
เรากินอาหารสด คาว ขึ้นอยู่กับฐานจิตของเรา ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะไปกินอะไร
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต