สวัสดีทุกคน เราอ่านกระทู้พันธิปมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งตั้งกระทู้เป็นครั้งแรก
เราเคยป่วยเป็นโรคจิตเภท ช่วงมัธยม ประมาณ ม.2 เทอม 2 - ปิดเทอมก่อนขึ้นปี1
เราไปหาหมอครั้งแรก ตอน ม.3 เราคิดจะฆ่าตัวตายและเขียนจดหมายลาตาย ตอน ม.6
ตอนนี้เราเรียนอยู่ปี1 เทอม2 มหาลัยแห่งหนึ่งในไทย และอาการดีขึ้นมาก ราวกับเป็นคนปกติ
ก็อย่างที่บอกเป็นนัยไปแล้วในชื่อกระทู้ เราโชคดีมากๆ ตอนนั้น เราอยากฆ่าตัวตายเอง และเราก็เปลี่ยนใจเอง
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราอยากฆ่าตัวตาย
1. เราต้องการที่จะไม่เผชิญหน้า กับสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแย่ เช่น การ bully ที่โรงเรียนทางคำพูด อารมณ์ร้อนกว่าคนทั่วไปของพ่อ การทะเลาะกันของแม่กับแม่เลี้ยงของพ่อ
2. เราไม่อยากมีความทุกข์ใจอีก ถ้าเรามีชีวิตอยู่ต่อไป ยังไงมันก็หลีกเลี่ยงความทุกข์ไปไม่ได้หรอก เราเชื่อว่าความตายดีกว่า การมีชีวิตอยู่อย่างทรมานทางจิตใจแสนสาหัส แบบที่เราเคยเจอในวัยเด็ก
ซึ่งเราคิดว่าโรคทางจิตเวช ไม่ใช่สาเหตุ แต่เป็นตัวกระตุ้นการฆ่าตัวตาย ให้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นมากกว่า สมมติ เรามีแผลเลือดไหลเล็กๆ แผลหนึ่ง เรารอเวลาผ่านไปก็จบ ถ้าเราเป็นคนปกติ ทีนี้คนที่ป่วยแบบโรคทางจิตเวช มันจะคล้ายๆกับคนที่มีภาวะเลือดไหลไม่หยุดไง เขาจะรู้สึกผิดสูงมากๆ ว่าตัวเองไม่ดี ถ้าไม่มีเราทุกคนคง มีความสุขกว่านี้ เราก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน ในอดีต เราเคยคิดจนร้องไห้ต่อเนื่อง 4 ชม ติดมาแล้ว หลังจากนั้น เราปวดตาและปวดหัวมาก จนหลับไป ตั้งแต่ 5 โมงเย็น ปกตินอนหลัง 4 ทุ่ม
แล้วอะไรทำให้เราเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตาย
1. เราติดมหาลัยรอบ portfolio ไปแล้ว เราโชคดีกว่าคนที่ต้องมาสอบ กสพท 9วิชาสามัญ gat pat
2. เรารู้ว่า เราตายได้แค่รอบเดียว และเราอยู่ๆ โดยไร้เหตุผล เราดันคิดขึ้นได้ว่า ชีวิตมันก็เหมือนหนังสือ ถึงแม้บทแรกๆ คุณจะเขียนได้เเย่มาก ทว่าหากคุณไม่หยุดเขียน มันก็มีโอกาสไม่ใช่หรอ ที่มันจะเป็นหนังสือที่ดี น่าจดจำได้ เพราะบทหลังๆ คนเขียน เขียนได้ดีมาก จนทำให้ทุกคนที่อ่านมองข้ามบทแรกๆไป
จากที่คุณอ่านมา ไม่รู้คุณผู้อ่านจะสงสัยไหม แต่เราสงสัยนะ ทำไมไม่คิดจะฆ่าตัวตาย ตั้งแต่ ม.2-5 ละ ทำไมต้องมา ม.6 หลังสอบติดรอบพอร์ต แล้วด้วย
เราคิดว่าเป็นเพราะ
1. อาการโรคจิตเภท มันไม่ได้แย่มากๆ เท่าๆกันตลอดเวลาอ่ะ บางช่วงมันก็ดีเป็นพิเศษ บางช่วงก็แย่กว่าปกติ
2. พื้นฐานครอบครัวเรา มันไม่อบอุ่น จากมุมมองของเรา มาตั้งแต่เราจำความได้ เลยเป็นภูมิคุ้มกันให้เรามีความอดทนที่จะสู้กับปัญหาที่ใจเรา สร้างความรู้สึกขึ้น จากเหตุการณ์ที่แค่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะป่วยเป็นโรคจิตเภทก็ตาม
3. เราเสียความรู้สึกมากๆ กับคำพูดของพ่อ ตอนเช้าในวันที่เราเขียนจดหมายลาตาย และเกือบฆ่าตัวตาย
4. ถ้าเราสอบมหาลัยไม่ติด ในโอกาสครั้งแรกหรือ ม.6 ขณะที่คนที่เคย bully เราสอบติด มันคงจะทำร้ายสภาพจิตใจเรามากเกินไป ที่ผ่านมาเราเลยจดจ่อกับการสอบ จนเราติดรอบพอร์ตได้สำเร็จ 2 ที่ เป็นคณะที่ตรงกับความต้องการ หรือแนวโน้มของตลาดตอนนี้ ทั้งคู่ (จากความเห็นของหลายคนรอบตัวเรา) พอสอบติดละมันไม่มีอะไรให้จดจ่อ เลยฟุ้งซ่านได้ง่าย พอมาเรียนปี1 เทอมแรก เรารู้ว่าต้องจดจ่อกับการเรียนและเพื่อนๆ เรารู้สึกได้เลยว่าตัวเองฟุ้งซ่านน้อยลง
หลังจากเหตุการณ์ที่เราคิดจะฆ่าตัวตายผ่านไป เราก็มีอาการฟุ้งซ่าน มีความคิดและการแสดงออกบางอย่างแปลกๆ มีความทุกข์ใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับบางคน ที่เราเคยรู้จัก อยู่พักหนึ่ง ในช่วงปิดเทอมขึ้นปี1 พอเปิดเทอมมา เรามาอยู่หอ อยู่กับเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน เราวางตัวดี ร่าเริง เข้าหาผู้คน เราก็มีความสุขมากๆ เกรดเทอมแรก ก็อยู่ในเกณฑ์ได้เกียรตินิยม
เราโชคดีมากที่ไม่ฆ่าตัวตายในวันนั้น
เพราะชีวิตมันก็เหมือนกับความสว่างของพระจันทร์ มีแรม 15 ค่ำ คืนที่ไร้แสงสว่าง ถ้าเราอดทนรอมากพอ ขึ้น 15 ค่ำก็ต้องมาถึง พร้อมกับแสงสว่างในชีวิตของเรา
สำหรับอาการจิตเภทที่เราเคยเจอ ได้แก่ นอนไม่หลับ ใจสั่น หูแว่ว ซึมเศร้า ฟุ้งซ่าน เสพติดความเจ็บปวดทางร่างกาย คนรอบข้างรู้สึกว่าเราแปลกๆ เบื่อสิ่งที่เคยชอบ ตอนมัธยมมีเพื่อนน้อยกว่าตอนประถม ผลการเรียนตกต่ำลง เราเปลี่ยนหมอไป 3 คนแล้ว กว่าจะเจอหมอที่ทำให้พ่อเราเลิกโมโหร้ายได้ การรักษาของหมอ ตามหลักถ้าเป็นวัยรุ่นแบบเรา เขาจะรักษาพ่อแม่ด้วย เพราะการกระทำของพ่อแม่ บางครั้งทำร้ายลูกมากๆ พอๆกับที่เขามีเจตนาดี หวังให้เราประสบความสำเร็จ
จุดประสงค์ของกระทู้นี้
1. เราอยากให้ทุกคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย (โดยเฉพาะวัยรุ่น ที่ยังมีโอกาสอีกหลายสิบปีเลย) อดทนรอแบบเรา เเล้วจะเจอกับชีวิตที่มีความสุขเยอะมากๆ มีปัญหาน้อยมากๆ แบบเรา
2. เราอยากระบายความลับของเรา เพราะเราแทบจะไม่บอกใครที่มหาลัยเลย เรามีเพื่อนเยอะมากๆตอนนี้ มีคนที่ไม่เคยคุยกัน รู้จักเรา และทักเราก่อนเยอะมาก
3. เราอยากบอกว่าจิตแพทย์ช่วยคุณได้ และคุณมีสิทธิ์เปลี่ยนหมอนะ ถ้าหมอคนนั้นเข้าใจคุณได้ไม่ดีพอ หมอเขาก็อยากให้คนไข้หายแหละ แต่ถ้ามันเคมีเข้ากันไม่ได้จริงๆ เปลี่ยนหมอเป็นเรื่องที่ดีกว่า เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์
หมอคนแรก เราบอกหมอว่า อยากให้พ่อแม่เราทำกับเราแบบนี้ ละหมอก็บอกพ่อกับแม่เรา แล้วพวกเขาก็ทำตาม แต่ก่อนหน้านี้ที่เราบอกพวกเขาโดยตรง กลับไม่ทำตาม ตลกดี เราเลยเปลี่ยนโรงพยาบาลไปหาหมอคนที่ 2 ที่เขาขอเปลี่ยนหมอเอง ไปให้หมอคนที่สาม ซึ่งเป็นอาจารย์หมอรักษา
4. เราอยากให้คนทั่วไปเปลี่ยนความคิดว่า คนที่เป็นโรคทางจิตเวช ต้องไปรักษาแค่ตัวเขาคนเดียว อันที่จริง ต้องพาคนใกล้ชิดไปรักษาด้วย เพราะถ้าเขาพยายามฟื้นฟูจิตใจจากภายในจนเกือบจะหายดี แต่ได้รับความผิดหวังจากคนใกล้ชิดเป็นประจำ (โดยเฉพาะพ่อและแม่ที่เข้มงวดกับลูก) มันจะเหมือนมีมือไปเกาสะเก็ดแผล จนกลายเป็นแผลเลือดออกอยู่เรื่อยๆ
5. เราอยากบอกว่า โรคพวกนี้มันหายขาดได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนเป็นคุณอาการขนาดไหนด้วย ที่เราเป็นคือแค่เบื้องต้น มันเลยหายขาดได้ (ตอนนี้หมอให้กินยาหลังจากดีขึ้นสุดๆ ไปอีก 2ปี ตอนนี้ผ่านไป 9 เดือนละ เพื่อจะได้ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก โรคจิตเภทมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงกว่าไบโพล่าร์ และซึมเศร้า หมอบอก) (เรามีอาการประสาทหลอน แบบหูแว่ว คิดไปเอง ในระดับเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้หมอคนที่สาม คาดว่าเราเป็นจิตเภท) ถ้าคุณเป็นหนัก มันก็หายขาดยาก แต่ถ้าคุณกินยาสม่ำเสมอ ทุกวันกินยาลดโดปามีนไปตลอด คุณก็สามารถมีชีวิตปกติได้
ขอแนะนำเพิ่มเติม
1. การพบจิตแพทย์ เป็นเรื่องที่ปกติมากๆสำหรับเรา เเละอีกหลายๆคน (ตอนแรกพ่อเราไม่ยอมพาไปหา เพราะกลัวจะเสียประวัติ) คือคนป่วยควรได้รับการรักษา มันเป็นแค่โรคเกี่ยวกับอารมณ์ ลูกคุณไม่ได้ท้องในวัยเรียน ไม่ได้ค้ายาบ้า ไม่ได้ฆ่าคนตาย ลูกคุณไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด เขาหรือเธอแค่ป่วย กรุณาพาไปรักษาให้เร็วที่สุด เผื่อลูกของคุณเอง
2. ยาบางตัวก็มีผลข้างเคียงกับบางคน แต่ละคนไม่เหมือนกัน ควรปรึกษาหมอในการรับประทานยา ถ้ากินยาตัวนี้สัก 5-6 เดือนไม่มีปัญหาอะไร ก็ลองไปหาร้านขายยา ที่มียาตัวเดียวกัน แบบเดียวกันเด๊ะๆขาย เพราะซื้อยาที่ร้านจะถูกกว่าในโรงพยาบาล ราคาของยากลุ่มจิตเวชจะค่อนข้างแพงหน่อยนะ อันนี้บอกไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่ตกใจมากแบบเราตอนรู้ราคาครั้งแรก ถ้าอยู่กรุงเทพ แนะนำร้านขายยาแถว ฬ
3. คนที่ป่วยต้องพยายามมีสติ พยายามคิดทบทวนก่อนพูดหรือทำอะไรดีๆ เพราะเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ คุณมีสิทธิ์ที่จะเลื่อนการตัดสินใจ ไปตัดสินใจตอนที่คุณพร้อม ในหลายๆเรื่องที่ไม่ได้เร่งด่วนมากๆ จริงๆ
ป.ล. เราตั้งว่าจบปริญญาตรี 4 ปี เราจะไปต่อหมอ ฬ หลักสูตร 4 ปี เน้นจิตเเพทย์ เด็กและวัยรุ่น เพราะเราเชื่อว่าหมอที่เคยเป็นโรคจิตมาก่อน น่าจะเข้าใจความรู้สึกของคนไข้โรคจิตได้ดีกว่า หมอที่เป็นคนปกติ
https://raynus.wordpress.com/2020/02/02/%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%8b%e0%b8%b6%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a5/
https://www.bbc.com/news/technology-51315462
2 ข่าวข้างบน เป็นข่าวนำ AI มาใช้ทำยา(โรคย้ำคิดย้ำทำ), คัดกรองผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (ผ่านพฤติกรรมเล่นมือถือ) เดี่ยวนี้ โรคพวกนี้ได้รับการยอมรับ เห็นใจ เอาใจใส่ มากกว่า 5 ปีที่แล้วมาก (ตอนเราเริ่มป่วย สมัย ม.2) งั้นทุกคนที่ป่วยโรคพวกนี้อยู่ ต้องมั่นดูแลตัวเองดีๆนะ
สำหรับใครที่ป่วยอยู่ ใช้ภาษาอังกฤษได้ และบำบัดแนว CBT - cognitive behavior therapy อยู่ ลองดู แอพในมือถือชื่อ Woebot ได้เด้อออ เป็นแชทบอทบำบัด CBT ของต่างประเทศจ้า
หลักสูตรหมอ ฬ 4 ปีคือรับคนที่จบปริญญาตรีนะ เขาบอกว่าเป้าหมายคือ ขยายโอกาสการเป็นหมอ และสร้างหมอนักวิจัย เช่น สถิติทางการแพทย์ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ วิจัยยาเพื่อการแพทย์ไรงี้ ส่วนถ้าจบม.6 มาเรียนหมอเลยจะเรียน 6 ปี และตอนนี้มีโครงการหมอ+วิศวชีวการแพทย์ 7 ปีของรามา เปิดหลังจากเรารุ่นหนึ่งจ้า (ก็คือรุ่นแรกเป็น #dek63)
ถ้าเราเขียนอะไรไม่เคลียร์ หรือมีข้อผิดพลาดยังไง ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วย
เราคิดว่าเราไม่ควรระบายปัญหาส่วนตัว ไม่งั้นมันก็จะเหมือนการฟังคนอื่นบ่น เราเลยเขียนออกมาแบบนี้ หวังว่ามันจะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่เครียด เศร้า หรือป่วยด้านจิตเวชอยู่ มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นบ้างนะฮะ
ฆ่าตัวตายดีมั้ย โชคดีที่วันนั้น เราไม่ฆ่าตัวตาย
เราเคยป่วยเป็นโรคจิตเภท ช่วงมัธยม ประมาณ ม.2 เทอม 2 - ปิดเทอมก่อนขึ้นปี1
เราไปหาหมอครั้งแรก ตอน ม.3 เราคิดจะฆ่าตัวตายและเขียนจดหมายลาตาย ตอน ม.6
ตอนนี้เราเรียนอยู่ปี1 เทอม2 มหาลัยแห่งหนึ่งในไทย และอาการดีขึ้นมาก ราวกับเป็นคนปกติ
ก็อย่างที่บอกเป็นนัยไปแล้วในชื่อกระทู้ เราโชคดีมากๆ ตอนนั้น เราอยากฆ่าตัวตายเอง และเราก็เปลี่ยนใจเอง
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราอยากฆ่าตัวตาย
1. เราต้องการที่จะไม่เผชิญหน้า กับสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแย่ เช่น การ bully ที่โรงเรียนทางคำพูด อารมณ์ร้อนกว่าคนทั่วไปของพ่อ การทะเลาะกันของแม่กับแม่เลี้ยงของพ่อ
2. เราไม่อยากมีความทุกข์ใจอีก ถ้าเรามีชีวิตอยู่ต่อไป ยังไงมันก็หลีกเลี่ยงความทุกข์ไปไม่ได้หรอก เราเชื่อว่าความตายดีกว่า การมีชีวิตอยู่อย่างทรมานทางจิตใจแสนสาหัส แบบที่เราเคยเจอในวัยเด็ก
ซึ่งเราคิดว่าโรคทางจิตเวช ไม่ใช่สาเหตุ แต่เป็นตัวกระตุ้นการฆ่าตัวตาย ให้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นมากกว่า สมมติ เรามีแผลเลือดไหลเล็กๆ แผลหนึ่ง เรารอเวลาผ่านไปก็จบ ถ้าเราเป็นคนปกติ ทีนี้คนที่ป่วยแบบโรคทางจิตเวช มันจะคล้ายๆกับคนที่มีภาวะเลือดไหลไม่หยุดไง เขาจะรู้สึกผิดสูงมากๆ ว่าตัวเองไม่ดี ถ้าไม่มีเราทุกคนคง มีความสุขกว่านี้ เราก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน ในอดีต เราเคยคิดจนร้องไห้ต่อเนื่อง 4 ชม ติดมาแล้ว หลังจากนั้น เราปวดตาและปวดหัวมาก จนหลับไป ตั้งแต่ 5 โมงเย็น ปกตินอนหลัง 4 ทุ่ม
แล้วอะไรทำให้เราเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตาย
1. เราติดมหาลัยรอบ portfolio ไปแล้ว เราโชคดีกว่าคนที่ต้องมาสอบ กสพท 9วิชาสามัญ gat pat
2. เรารู้ว่า เราตายได้แค่รอบเดียว และเราอยู่ๆ โดยไร้เหตุผล เราดันคิดขึ้นได้ว่า ชีวิตมันก็เหมือนหนังสือ ถึงแม้บทแรกๆ คุณจะเขียนได้เเย่มาก ทว่าหากคุณไม่หยุดเขียน มันก็มีโอกาสไม่ใช่หรอ ที่มันจะเป็นหนังสือที่ดี น่าจดจำได้ เพราะบทหลังๆ คนเขียน เขียนได้ดีมาก จนทำให้ทุกคนที่อ่านมองข้ามบทแรกๆไป
จากที่คุณอ่านมา ไม่รู้คุณผู้อ่านจะสงสัยไหม แต่เราสงสัยนะ ทำไมไม่คิดจะฆ่าตัวตาย ตั้งแต่ ม.2-5 ละ ทำไมต้องมา ม.6 หลังสอบติดรอบพอร์ต แล้วด้วย
เราคิดว่าเป็นเพราะ
1. อาการโรคจิตเภท มันไม่ได้แย่มากๆ เท่าๆกันตลอดเวลาอ่ะ บางช่วงมันก็ดีเป็นพิเศษ บางช่วงก็แย่กว่าปกติ
2. พื้นฐานครอบครัวเรา มันไม่อบอุ่น จากมุมมองของเรา มาตั้งแต่เราจำความได้ เลยเป็นภูมิคุ้มกันให้เรามีความอดทนที่จะสู้กับปัญหาที่ใจเรา สร้างความรู้สึกขึ้น จากเหตุการณ์ที่แค่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะป่วยเป็นโรคจิตเภทก็ตาม
3. เราเสียความรู้สึกมากๆ กับคำพูดของพ่อ ตอนเช้าในวันที่เราเขียนจดหมายลาตาย และเกือบฆ่าตัวตาย
4. ถ้าเราสอบมหาลัยไม่ติด ในโอกาสครั้งแรกหรือ ม.6 ขณะที่คนที่เคย bully เราสอบติด มันคงจะทำร้ายสภาพจิตใจเรามากเกินไป ที่ผ่านมาเราเลยจดจ่อกับการสอบ จนเราติดรอบพอร์ตได้สำเร็จ 2 ที่ เป็นคณะที่ตรงกับความต้องการ หรือแนวโน้มของตลาดตอนนี้ ทั้งคู่ (จากความเห็นของหลายคนรอบตัวเรา) พอสอบติดละมันไม่มีอะไรให้จดจ่อ เลยฟุ้งซ่านได้ง่าย พอมาเรียนปี1 เทอมแรก เรารู้ว่าต้องจดจ่อกับการเรียนและเพื่อนๆ เรารู้สึกได้เลยว่าตัวเองฟุ้งซ่านน้อยลง
หลังจากเหตุการณ์ที่เราคิดจะฆ่าตัวตายผ่านไป เราก็มีอาการฟุ้งซ่าน มีความคิดและการแสดงออกบางอย่างแปลกๆ มีความทุกข์ใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับบางคน ที่เราเคยรู้จัก อยู่พักหนึ่ง ในช่วงปิดเทอมขึ้นปี1 พอเปิดเทอมมา เรามาอยู่หอ อยู่กับเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน เราวางตัวดี ร่าเริง เข้าหาผู้คน เราก็มีความสุขมากๆ เกรดเทอมแรก ก็อยู่ในเกณฑ์ได้เกียรตินิยม
เราโชคดีมากที่ไม่ฆ่าตัวตายในวันนั้น
เพราะชีวิตมันก็เหมือนกับความสว่างของพระจันทร์ มีแรม 15 ค่ำ คืนที่ไร้แสงสว่าง ถ้าเราอดทนรอมากพอ ขึ้น 15 ค่ำก็ต้องมาถึง พร้อมกับแสงสว่างในชีวิตของเรา
สำหรับอาการจิตเภทที่เราเคยเจอ ได้แก่ นอนไม่หลับ ใจสั่น หูแว่ว ซึมเศร้า ฟุ้งซ่าน เสพติดความเจ็บปวดทางร่างกาย คนรอบข้างรู้สึกว่าเราแปลกๆ เบื่อสิ่งที่เคยชอบ ตอนมัธยมมีเพื่อนน้อยกว่าตอนประถม ผลการเรียนตกต่ำลง เราเปลี่ยนหมอไป 3 คนแล้ว กว่าจะเจอหมอที่ทำให้พ่อเราเลิกโมโหร้ายได้ การรักษาของหมอ ตามหลักถ้าเป็นวัยรุ่นแบบเรา เขาจะรักษาพ่อแม่ด้วย เพราะการกระทำของพ่อแม่ บางครั้งทำร้ายลูกมากๆ พอๆกับที่เขามีเจตนาดี หวังให้เราประสบความสำเร็จ
จุดประสงค์ของกระทู้นี้
1. เราอยากให้ทุกคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย (โดยเฉพาะวัยรุ่น ที่ยังมีโอกาสอีกหลายสิบปีเลย) อดทนรอแบบเรา เเล้วจะเจอกับชีวิตที่มีความสุขเยอะมากๆ มีปัญหาน้อยมากๆ แบบเรา
2. เราอยากระบายความลับของเรา เพราะเราแทบจะไม่บอกใครที่มหาลัยเลย เรามีเพื่อนเยอะมากๆตอนนี้ มีคนที่ไม่เคยคุยกัน รู้จักเรา และทักเราก่อนเยอะมาก
3. เราอยากบอกว่าจิตแพทย์ช่วยคุณได้ และคุณมีสิทธิ์เปลี่ยนหมอนะ ถ้าหมอคนนั้นเข้าใจคุณได้ไม่ดีพอ หมอเขาก็อยากให้คนไข้หายแหละ แต่ถ้ามันเคมีเข้ากันไม่ได้จริงๆ เปลี่ยนหมอเป็นเรื่องที่ดีกว่า เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์
หมอคนแรก เราบอกหมอว่า อยากให้พ่อแม่เราทำกับเราแบบนี้ ละหมอก็บอกพ่อกับแม่เรา แล้วพวกเขาก็ทำตาม แต่ก่อนหน้านี้ที่เราบอกพวกเขาโดยตรง กลับไม่ทำตาม ตลกดี เราเลยเปลี่ยนโรงพยาบาลไปหาหมอคนที่ 2 ที่เขาขอเปลี่ยนหมอเอง ไปให้หมอคนที่สาม ซึ่งเป็นอาจารย์หมอรักษา
4. เราอยากให้คนทั่วไปเปลี่ยนความคิดว่า คนที่เป็นโรคทางจิตเวช ต้องไปรักษาแค่ตัวเขาคนเดียว อันที่จริง ต้องพาคนใกล้ชิดไปรักษาด้วย เพราะถ้าเขาพยายามฟื้นฟูจิตใจจากภายในจนเกือบจะหายดี แต่ได้รับความผิดหวังจากคนใกล้ชิดเป็นประจำ (โดยเฉพาะพ่อและแม่ที่เข้มงวดกับลูก) มันจะเหมือนมีมือไปเกาสะเก็ดแผล จนกลายเป็นแผลเลือดออกอยู่เรื่อยๆ
5. เราอยากบอกว่า โรคพวกนี้มันหายขาดได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนเป็นคุณอาการขนาดไหนด้วย ที่เราเป็นคือแค่เบื้องต้น มันเลยหายขาดได้ (ตอนนี้หมอให้กินยาหลังจากดีขึ้นสุดๆ ไปอีก 2ปี ตอนนี้ผ่านไป 9 เดือนละ เพื่อจะได้ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก โรคจิตเภทมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงกว่าไบโพล่าร์ และซึมเศร้า หมอบอก) (เรามีอาการประสาทหลอน แบบหูแว่ว คิดไปเอง ในระดับเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้หมอคนที่สาม คาดว่าเราเป็นจิตเภท) ถ้าคุณเป็นหนัก มันก็หายขาดยาก แต่ถ้าคุณกินยาสม่ำเสมอ ทุกวันกินยาลดโดปามีนไปตลอด คุณก็สามารถมีชีวิตปกติได้
ขอแนะนำเพิ่มเติม
1. การพบจิตแพทย์ เป็นเรื่องที่ปกติมากๆสำหรับเรา เเละอีกหลายๆคน (ตอนแรกพ่อเราไม่ยอมพาไปหา เพราะกลัวจะเสียประวัติ) คือคนป่วยควรได้รับการรักษา มันเป็นแค่โรคเกี่ยวกับอารมณ์ ลูกคุณไม่ได้ท้องในวัยเรียน ไม่ได้ค้ายาบ้า ไม่ได้ฆ่าคนตาย ลูกคุณไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด เขาหรือเธอแค่ป่วย กรุณาพาไปรักษาให้เร็วที่สุด เผื่อลูกของคุณเอง
2. ยาบางตัวก็มีผลข้างเคียงกับบางคน แต่ละคนไม่เหมือนกัน ควรปรึกษาหมอในการรับประทานยา ถ้ากินยาตัวนี้สัก 5-6 เดือนไม่มีปัญหาอะไร ก็ลองไปหาร้านขายยา ที่มียาตัวเดียวกัน แบบเดียวกันเด๊ะๆขาย เพราะซื้อยาที่ร้านจะถูกกว่าในโรงพยาบาล ราคาของยากลุ่มจิตเวชจะค่อนข้างแพงหน่อยนะ อันนี้บอกไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่ตกใจมากแบบเราตอนรู้ราคาครั้งแรก ถ้าอยู่กรุงเทพ แนะนำร้านขายยาแถว ฬ
3. คนที่ป่วยต้องพยายามมีสติ พยายามคิดทบทวนก่อนพูดหรือทำอะไรดีๆ เพราะเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ คุณมีสิทธิ์ที่จะเลื่อนการตัดสินใจ ไปตัดสินใจตอนที่คุณพร้อม ในหลายๆเรื่องที่ไม่ได้เร่งด่วนมากๆ จริงๆ
ป.ล. เราตั้งว่าจบปริญญาตรี 4 ปี เราจะไปต่อหมอ ฬ หลักสูตร 4 ปี เน้นจิตเเพทย์ เด็กและวัยรุ่น เพราะเราเชื่อว่าหมอที่เคยเป็นโรคจิตมาก่อน น่าจะเข้าใจความรู้สึกของคนไข้โรคจิตได้ดีกว่า หมอที่เป็นคนปกติ
https://raynus.wordpress.com/2020/02/02/%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%8b%e0%b8%b6%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a5/
https://www.bbc.com/news/technology-51315462
2 ข่าวข้างบน เป็นข่าวนำ AI มาใช้ทำยา(โรคย้ำคิดย้ำทำ), คัดกรองผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (ผ่านพฤติกรรมเล่นมือถือ) เดี่ยวนี้ โรคพวกนี้ได้รับการยอมรับ เห็นใจ เอาใจใส่ มากกว่า 5 ปีที่แล้วมาก (ตอนเราเริ่มป่วย สมัย ม.2) งั้นทุกคนที่ป่วยโรคพวกนี้อยู่ ต้องมั่นดูแลตัวเองดีๆนะ
สำหรับใครที่ป่วยอยู่ ใช้ภาษาอังกฤษได้ และบำบัดแนว CBT - cognitive behavior therapy อยู่ ลองดู แอพในมือถือชื่อ Woebot ได้เด้อออ เป็นแชทบอทบำบัด CBT ของต่างประเทศจ้า
หลักสูตรหมอ ฬ 4 ปีคือรับคนที่จบปริญญาตรีนะ เขาบอกว่าเป้าหมายคือ ขยายโอกาสการเป็นหมอ และสร้างหมอนักวิจัย เช่น สถิติทางการแพทย์ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ วิจัยยาเพื่อการแพทย์ไรงี้ ส่วนถ้าจบม.6 มาเรียนหมอเลยจะเรียน 6 ปี และตอนนี้มีโครงการหมอ+วิศวชีวการแพทย์ 7 ปีของรามา เปิดหลังจากเรารุ่นหนึ่งจ้า (ก็คือรุ่นแรกเป็น #dek63)
ถ้าเราเขียนอะไรไม่เคลียร์ หรือมีข้อผิดพลาดยังไง ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วย
เราคิดว่าเราไม่ควรระบายปัญหาส่วนตัว ไม่งั้นมันก็จะเหมือนการฟังคนอื่นบ่น เราเลยเขียนออกมาแบบนี้ หวังว่ามันจะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่เครียด เศร้า หรือป่วยด้านจิตเวชอยู่ มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นบ้างนะฮะ