10 คำถามยอดฮิตที่หมอเด็กมักเจอบ่อยๆ

10 คำถามยอดฮิตที่หมอเด็กมักเจอบ่อยๆ
     การเลี้ยงเด็กซักคนสมัยนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก (แต่หลายคนน่าจะบอกว่ายากมากกว่า จริงมั้ยครับ 😊) เพราะมีทั้งความรู้สมัยใหม่จากตำราและเว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมา คุณพ่อคุณแม่จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะเลือกปฏิบัติตามคำแนะนำอันไหนเพื่อให้เหมาะกับลูกที่สุด 
     และเมื่อคิดไม่ตก ตัดสินใจไม่ถูก คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักเลือกที่จะมาปรึกษากับคุณหมอ เพราะปัญหาของเด็กนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพ โภชนาการ พัฒนาการ ที่อาจจะไม่เป็นไปตามวัย รวมถึงปัญหาทางสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน  
     วันนี้พี่หมอเลยถือโอกาสรวบรวมคำถามที่คุณพ่อคุณแม่มักจะถามกันเข้ามา และคำแนะนำจากคุณหมอเด็กที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมานำเสนอ เพื่อเป็นแนวทางให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูกกันนะครับ
 
1. ลูกควรกินนมแค่ไหนจึงจะเพียงพอ? 
     สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ต้องการให้น้ำนมของตัวเองมีพอที่จะเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณหมอมีหลักกว้างๆ มาแนะนำดังนี้ครับ 
     · ทารกแรกเกิดจะกินนมทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ครั้งละ 1-2 ออนซ์ และจะต้องการเพิ่มเป็นครั้งละ 2-4 ออนซ์ตามอายุที่เพิ่มขึ้น หรือเท่ากับ 5.5 ออนซ์/น้ำหนักตัว/วัน เช่น น้ำหนัก 4 กิโลกรัม ทารกจะต้องการนม 5.5 x 4 = 22 ออนซ์/วัน ทั้งนี้ สำหรับเด็กแรกเกิด - 6 เดือน การกินนมอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว เมื่ออายุมากกว่า 6 เดือนจึงค่อยให้ดื่มน้ำและกินอาหารเสริมได้ โดยคุณแม่อาจสังเกตจากการที่ลูกกินนมมากกว่า 32 ออนซ์ต่อวัน 
     · ช่วงอายุ 4-5 เดือน คุณพ่อคุณแม่ควรพยายามงดนมมื้อกลางคืน และงดให้ลูกดูดนมจากขวดหลังให้อาหารเสริม เมื่ออายุ 9 เดือน 
     · เมื่ออายุ 1 ขวบขึ้นไป อาจงดให้นมบางมื้อ และเริ่มฝึกให้ลูกใช้ถ้วยหัดดื่ม รวมถึงให้รับประทานอาหารหลัก 5 หมู่ ทั้ง 3 มื้อ และดื่มนมเสริมวันละ 2-4 แก้ว (หรือเท่ากับนม 16-32 ออนซ์)
 
2. ทำไมลูกไม่ตื่นกินนมกลางคืน?
     ข้อนี้ถือเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลให้กับคุณแม่ส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ควรต้องกังวลนะครับ เพราะ
เมื่อเด็กมีอายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป สมองส่วนควบคุมการนอนก็จะทำงานได้ดีขึ้น ทำให้เด็กสามารถนอนหลับยาวได้ถึง 7-8 ชั่วโมง จึงไม่จำเป็นต้องกินนมมื้อดึก เพราะส่วนใหญ่เด็กที่ตื่นขึ้นมาไม่ได้เกิดจากการหิวนม แต่ต้องการให้กล่อมมากกว่า คุณแม่จึงควรแค่จับตัวหรือตบก้นเบาๆ เพื่อให้ลูกหลับต่อ แต่ถ้าคุณแม่เลือกที่จะให้นมทุกครั้งที่ลูกร้องกลางดึก ก็อาจจะสร้างนิสัยให้ลูกไม่สามารถนอนหลับได้ ถ้าไม่ได้กินนม 
 
3. ลูกท้องอืด ท้องผูก ท้องเสียต้องทำอย่างไร? 
     อาการท้องอืดของเด็กนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น แพ้อาหาร กินนมมากไป หรือแม้แต่การร้องไห้มากไปก็ทำให้ท้องอืดได้เช่นกัน ซึ่งถ้ากินนมมากไป คุณแม่ก็สามารถจับเรอ เพื่อช่วยให้ลูกสบายท้องขึ้น 
     สำหรับปัญหาท้องผูก ให้คุณแม่สังเกตจากการถ่าย ถ้าลูกถ่ายออกมาเหมือนอึกระต่าย โดยเฉพาะในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน แม้จะถ่ายทุกวัน ก็ถือว่าไม่ปกติ คุณแม่ควรพาลูกมาพบคุณหมอ เพราะถ้าปล่อยไว้อาจเป็นปัญหาเรื้อรังได้ 
     ส่วนอาการท้องเสีย หากลูกถ่ายเหลวมากหรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติมากกว่า 3 ครั้ง ภายใน 1 วัน คุณแม่ควรรีบพาลูกมาพบคุณหมอโดยเร็ว เนื่องจากลูกมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ หรือขาดสารอาหารได้ครับ
 
4. ทำไมลูกน้อยชอบดูดนิ้ว?
     เด็กเล็กๆ ที่อายุ 4-5 เดือน การดูดนิ้วมือถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเป็นวัยที่กำลังสำรวจร่างกายตนเอง คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรห้าม หรือดึงมือออก แต่อาจหลอกล่อด้วยของเล่นแทน 
     สำหรับเด็กโต การดูดนิ้วอาจเกิดจากความเคยชิน หรือเป็นวิธีที่เด็กใช้ปลอบใจตัวเอง ดังนั้น ถ้าลูกโตแล้วแต่ยังชอบดูดนิ้ว คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรดุหรือดึงนิ้วออกจากปากอย่างแรงจนลูกตกใจ แต่ควรหาของเล่นหรือกิจกรรมที่สนุกๆ มาให้ทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและให้เด็กๆ ได้ฝึกพัฒนาการใช้มือแทนนะครับ
 
5. ลูกนอนหายใจเสียงดังอันตรายมั้ย?
     ภาวะหายใจเสียงดังขณะหลับอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ  เช่น  เป็นหวัดคัดจมูก หรืออาจเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากภาวะต่อมทอนซิล ต่อมอะดีนอยด์โต หรือปัญหาการนอนอื่นๆ  เช่น การนอนกรน คุณพ่อคุณแม่จึงควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษา เพราะเด็กอาจจะพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้มีผลกระทบต่ออารมณ์และสมอง ทั้งในแง่ของการเรียนรู้และสมาธิ ยิ่งถ้าทิ้งไว้นานก็อาจเป็นอันตรายได้ เพราะการนอนกรน อาจทำให้เด็กมีอาการหายใจกระตุกเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้ขาดอากาศในขณะนอนหลับได้ครับ
 
6. โรคภูมิแพ้เป็นกรรมพันธุ์?
     โรคภูมิแพ้เป็นโรคไม่ติดต่อและไม่ใช่การติดเชื้อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น พ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ก็อาจส่งผลให้ลูกมีโอกาสเสี่ยงเป็นภูมิแพ้มากขึ้น ดังนั้น วิธีที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดภูมิแพ้ในปัจจุบันก็คือ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 4-6 เดือน โดยหลีกเลี่ยงการดื่มนมวัวเป็นอาหารเสริมในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีแรก ซึ่งโอกาสที่เด็กที่แพ้นมวัวจะหายก่อนอายุ 1 ขวบมีประมาณ 50% และหายเมื่ออายุ 3 ขวบ มีมากถึง 80-90% เลยทีเดียวครับ   
 
7. ทำไมลูกกินน้อยหรือเบื่ออาหาร?
     เมื่อถึงวัยที่เริ่มรับรู้รสชาติได้ เด็กๆ ก็มักจะเลือกกินมากขึ้น ทำให้เด็กบางคนเริ่มกินน้อยลงหรือเกิดการเบื่ออาหาร ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะต้องคอยบังคับให้ลูกกิน แต่นั่นก็จะยิ่งทำให้เด็กต่อต้านและไม่กินอาหารมากยิ่งขึ้น ดังนั้น วิธีรับมือก็คือ คุณพ่อคุณแม่ควรใจแข็ง ไม่ให้ขนมขบเคี้ยวหรือนมระหว่างมื้อและอดทนรอจนลูกรู้สึกหิวเอง ที่สำคัญ ควรจำกัดเวลาในการกินอาหารแต่ละมื้อให้อยู่ใน 30 นาที โดยให้เด็กรับประทานด้วยตัวเองจนหมด หรือจนรู้สึกอิ่ม
 
8. ทำไมลูกไม่พูด?
     ปัญหาการพูดของเด็กสามารถพบได้บ่อย ทั้งไม่พูด พูดช้า และพูดภาษาต่างดาว และเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตได้ง่าย พี่หมอจะแบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้ครับ 
     · เด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป ถ้ายังไม่พูดหรือไม่เข้าใจคำสั่ง ถือว่าเด็กมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปกติ 
     · เด็กอายุ 2 ขวบ ควรเข้าใจคำพูดและสามารถบอกความต้องการของตัวเองอย่างง่ายๆ ได้ และแม้จะยังพูดเป็นภาษาต่างดาว แต่ทางการแพทย์ก็ไม่ถือว่าผิดปกติ เนื่องจากเด็กอาจขาดการกระตุ้นจากคุณพ่อคุณแม่ หรือดูทีวี/แท๊ปเล็ตมากเกินไป 
     · เด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป ควรพูดภาษาปกติและเข้าใจบทสนทนาได้ แต่ถ้ายังพูดภาษาต่างดาวอยู่ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กนะครับ 
     คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยเสริมพัฒนาการทางภาษาให้ลูก ๆ ได้ด้วยการอ่านหนังสือ เล่านิทาน หรือพูดคุย นอกจากจะช่วยเสริมทักษะด้านภาษาแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความรักความผูกพันในครอบครัวอีกด้วยครับ
 
9. ทำไมลูกขี้โมโห
     เด็กที่มีอายุ 1-3 ปี เป็นวัยที่ยังคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดี  อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะสื่อสารหรือแสดงออกได้มากพอ เด็กๆ จึงเลือกที่จะระบายออกมาด้วยการกรีดร้อง หรือทำร้ายตัวเองโดยเฉพาะในเวลาที่ไม่ได้ดั่งใจ คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่จึงมักแก้ปัญหาด้วยการตามใจและให้ในสิ่งที่เด็กต้องการ ซึ่งทำให้เด็กจดจำและทำแบบเดิมซ้ำๆ 
     ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ถูกวิธีก็คือ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรยินยอมให้ในสิ่งที่เด็กต้องการ แต่ต้องพยายามทำความเข้าใจอารมณ์และความต้องการที่แท้จริงของเด็ก และค่อยๆ สอนให้เขาสื่อสารในสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น ถ้าเด็กร้องกรี๊ดเสียงดัง คุณพ่อคุณแม่ควรยืนดูห่างๆ และรอให้เด็กสงบก่อนค่อยเข้าไปพูดคุย ก็จะช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการจัดการและควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้น 
     ในกรณีที่เด็กทำร้ายตัวเอง คนอื่น หรือทำลายข้าวของ คุณพ่อคุณแม่ควรจับเด็กมานั่งกอดไว้จนกว่าจะสงบ โดยให้กอดในขณะที่เด็กหันหน้าออก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กที่กำลังโกรธทุบตีคุณพ่อคุณแม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เด็กก็จะต่อต้านและพยายามดิ้นมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็อาจต้องกอดให้แน่นขึ้น และต้องอดทนจนกว่าลูกจะสงบ   หากคุณพ่อคุณแม่ทำเช่นนี้ทุกครั้ง เด็กก็จะเรียนรู้ว่า การทำแบบนี้จะไม่ได้รับการตามใจ เด็กก็จะลดและเลิกพฤติกรรมเหล่านี้ไปเอง
     หรือในขณะที่เด็กกำลังอาละวาด คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรดุหรือสอนทันที เพราะจะทำให้เด็กยิ่งหงุดหงิดและไม่ฟัง  และเมื่อเด็กสงบลงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรให้ในสิ่งที่เด็กต้องการ เนื่องจากเด็กอาจเข้าใจได้ว่า ถึงอาละวาดแล้วจะโดนดุ แต่สุดท้ายก็จะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่ดี หรือถ้าคุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีดุ ตี หรือตะโกนแข่งกับเด็ก สุดท้ายเด็กก็จะซึมซับและเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้นของเราไป พี่หมอแนะนำว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็นและมีความอดทนกับช่วงเวลานี้  เพราะเมื่อโตขึ้น เด็กก็จะค่อยๆ เรียนรู้และควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ได้ดีขึ้นครับ
         
10. ทำไมลูกชอบตีเพื่อน?
     ปัญหาเด็กตีเพื่อนจะคล้ายๆ กับเด็กขี้โมโห คืออาจมีสาเหตุมาจากการที่เด็กยังไม่รู้จักวิธีการสื่อสารเพื่อบอกความต้องการของตัวเอง หรืออาจจะเลียนแบบมาจากผู้ใหญ่ หรือรายการทีวี รวมทั้งการเล่นเกมที่มีการใช้ความรุนแรง 
     ถ้าคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกตีคนอื่น ก็ไม่ควรที่จะตีหรือลงโทษอย่างรุนแรง แต่ต้องใช้วิธีการพูดคุยทำความเข้าใจ เช่น หากพบว่าลูกทำท่าจะทำร้ายคนอื่น ก็ให้รีบจับแขนทั้งสองข้าง มองหน้าลูก พร้อมกับพูดเสียงเข้มว่า “หยุด” หรือ “ไม่ตี” จากนั้นก็ค่อยๆสอนลูกว่าไม่ควรแย่งของคนอื่น ต้องรู้จักการรอคอยและแบ่งปัน รวมถึงให้ย้ำว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่อนุญาตให้ลูกไปทำร้ายคนอื่น 
     ในกรณีที่พบว่าลูกทำร้ายเพื่อนไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องจัดการลูกทันที โดยให้รีบจับลูกแยกออกมาและพูดให้ลูกได้สติ ที่สำคัญคือไม่ควรทำโทษหรือตีลูกอย่างรุนแรง ไม่อย่างนั้นคุณพ่อ คุณแม่ จะกลายเป็นต้นแบบของความรุนแรงให้ลูกได้ครับ 
 
     การเลี้ยงเด็กซักคนอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริง แต่ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป ถ้าคุณพ่อคุณแม่ให้ความรักและดูแลเอาใจใส่ ซึ่งกว่าที่พวกเค้าจะเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่และเอาตัวรอดได้ในสังคม คุณพ่อคุณแม่ก็คงต้องเจอบททดสอบต่างๆ อีกมาก 
     ...แต่ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร พี่หมอก็เชื่อว่าความรักและความเข้าใจนี่แหละครับที่จะช่วยให้ทุกครอบครัวผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี  
 
     เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวนะครับ ❤ ❤ ❤
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่