งง!เกี่ยวกับโรงพยาบาลศูนย์ควบคุมไวรัสโคโรนาในจีน.

เขาสร้างเสร็จเปิดทำการได้อย่างไร?ภายใน 10 วัน เท่าที่ดูในข่าวก็เห็นเป็นตึกเป็นศูนย์ที่ทำการสมบรูณ์ มีขนาดใหญ่(มาก) ไหนจะติดตั้งระบบต่างไปและ อุปกรณ์ต่างๆจนใช้การรับผู้ป่วยได้ในเวลาอันเหลือเชื่อ! ในทางวิศวกรรมเขาทำได้อย่างไร?.
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เล่าเรื่อง Huoshenshan โรงพยาบาลโคโรน่า!
.
ช่วงนี้คงไม่มีเรื่องไหนจะดังไปกว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือมีตัวย่อว่า nCoV และขณะนี้ ที่ฮ็อตที่สุด โจษจันที่สุด ย่อมหนีไม่พ้น รพ.หว่อเสินซาน ที่รัฐบาลของลุงสีเนรมิตขึ้นมา ภายในเวลาสัปดาห์เดียว
.
ซึ่งมีกำหนดจะตัดริบบิ้นเริ่มงานวันนี้แล้วนั่นเอง!
.
รพ.นี้มาจากไหน อะไรยังไง ตามมาค่ะ
.
+++
.
ก่อนอื่น เราต้องรู้ก่อนว่า ทำไมเราต้องสร้างโรงพยาบาลนี้
.
เรื่องเริ่มขึ้นตั้งแต่ 20 ปีก่อน ในยุค 2003 ขณะ SARs ซึ่งเป็นโคโร่น่าไวรัสกลายพันธุ์ ที่ก่อให้เกิดการระบาดระดับสะเทือนโลกตัวแรก ระบาดหนักจนเกิดรับได้
.
ขณะนั้นโลกต่างจากทุกวันนี้ เราไม่มีความรู้เรื่องโรคกำเนิดใหม่ ทั้งไม่ระวังไม่เคร่งครัดนัก
.
เหตุการณ์คล้าย MERS-CoV ที่เกาหลี (ซึ่งได้เคยเขียนถึง) เมื่อมีผู้ติดเชื้อเข้าถึงการรักษา โรงพยาบาลกลับกลายเป็นสถานที่แพร่กระจาย ด้วยผู้ติดเชื้อจะพบเจอคนไข้โรคอื่นซึ่งอ่อนแอได้ง่าย ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อเข้าดูแลตรวจรักษา ก็มีโอกาสติดต่อเช่นกัน
.
โดยย่อ รพ.ที่ปักกิ่งกลายเป็นรังโรค ทั้งสูญเสียทรัพยากรบุคคล แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทุกระดับ กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจลืม
.
และเมื่อวิเคราะห์ลงลึก นอกจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ ปัญหาการจัดการกลับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
.
รพ.ส่วนใหญ่มีปัญหาคนไข้ล้นมือ เมื่อเพิ่มคนไข้ติดเชื้อ ด้วยเชื้อโรคที่เจ้าหน้าที่ ไม่เคยพบ หรือมีประสบการณ์มาก่อน ย่อมทำให้การรักษาขลุกขลักขาดตอน ห่วงหน้าพะวงหลังกับคนไข้ทั่วไปที่มีอยู่เดิม
.
ที่สุดรัฐบาลก็สร้าง “รพ.เสี่ยวทังซาน” ขึ้น เพื่อรองรับ SARs โดยเฉพาะ
.
ทั้งโครงสร้างสถานที่ ทั้งระบบบริหารจัดการ มุ่งเน้นลดการแพร่กระจาย สร้างความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่ และจัดระบบให้สามารถดูแลรักษาได้เต็มที่ ในกลุ่มผู้ป่วยรูปแบบเดียวกัน
.
ผู้ป่วย SARs ระยะหลังที่ได้เข้า รพ.เสี่ยวทังซานนั้น กลับมีอัตราตายที่ต่ำกว่าช่วงแรกอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้รับการดูแลอย่างดี จากการบริหารทรัพยากรอย่างดีนั่นเอง
.
รพ.หว่อเสินซาน (火神山医院)จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อสู้กับ nCoV ด้วยประการฉะนี้
.
—-
.
อันที่จริง หากมองข้ามเรื่องเศร้าๆไป เราจะพบว่า การสร้างหว่อเสินซานนั้นมีสีสันมาก
.
จีนตัดสินใจสร้างหว่อเสินซานในวันที่ 23 ม.ค. และเริ่มสร้างจริง 25 ม.ค. ก่อนจะปิดงานในวันที่ 2 ก.พ.
.
ใช้เวลาโดยคร่าว 9 วัน กับโรงพยาบาลขนาด 1,000 เตียง
.
เทียบกับการสร้าง รพ. โดยทั่วไปที่ใช้เวลาเป็นปีๆ นี่มันเร็วเกินไปแล้ว!!
.
หลังจบงาน มีสรุปเหตุการณ์โดยย่อออกมาทันทีค่ะ (แต่ยังไม่เป็นทางการ อาจเปลี่ยนแปลง) เล่าถึงการก่อสร้าง ประกอบด้วย 3 ระยะ
.
ระยะ 1 - ปรับระดับพื้นผิว และงานฐานราก ระยะนี้คือระยะที่พวกเราเห็นกองทัพรถแม็คโครนับร้อย แข่งกันเกลี่ยดินอย่างเมามัน ยั้วเยี้ยจนแทบไม่เชื่อสายตา
.
รายงานเล่าว่า ช่วงแรกคนไม่พอค่ะ แต่จากนั้นเพียงวันเดียว กลับรวบรวมคนได้มหาศาล สามารถผลัดเวรขึ้นงานตลอด 24 ชั่วโมง จนงานแล้วเสร็จในพริบตา
.
ระยะ 2 - งานก่อประกอบ เนื่องจากหว่อเสินซานเป็น รพ.เฉพาะกิจ เน้นเร็ว ตรงวัตถุประสงค์ ไม่เน้นสวยงาม ไม่เน้นจิปาถะหรือเผื่อต่อขยาย การก่อสร้างจึงเป็นแบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป นำมาต่อประกอบกัน จุดนี้ร่นเวลาได้มาก
.
ถึงจะใช้เวลาน้อย แต่จะว่าง่ายดายก็ไม่ใช่
.
เพราะนี่คือการต่อประกอบ รพ. ขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยระบบควบคุมโรคแบบพิเศษ ภายใต้สถานการณ์ที่เร่งรัด ซึ่งต้องการการวางแผนอย่างดี และเทคโนโลยีการต่อประกอบขั้นสูง
.
หลายท่านอาจพอทราบ ช่วง 20 ปีให้หลัง เมื่อจีนเร่งสร้างสาธารณูปโภคระดับเมกะโปรเจคต์ เช่น รถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ หรือสะพานข้ามเหวทะลุภูเขา วิศวกรต้องประสบปัญหาอย่างมาก กับการก่อสร้างบนภูมิประเทศที่ไม่ธรรมดา ทั้งต้องทำงานกับภูมิอากาศที่ผันผวน ซึ่งมีผลต่อการคำนวณระดับสูงหลายอย่าง
.
ที่สุดแล้ววิศวกรจีนได้พัฒนาอุปกรณ์สำหรับช่วยก่อสร้างขึ้นมา ซึ่งสามารถทำงานได้รวดเร็ว แม่นยำ ทรงพลัง เหนือกว่าอุปกรณ์จากต่างชาติทั่วไป เรียกขานกันว่า 大国重器 ซึ่งแปลว่า “สมบัติล้ำค่าแห่งชาติอันยิ่งใหญ่” นั่นเอง
.
การต่อประกอบหว่อเสินซานจึงไม่นับว่ายากเกินไป แม้ว่ามันจะไม่ง่ายเลยก็ตามที
.
ระยะ 3 - ติดตั้งระบบต่างๆ นอกจากน้ำไฟที่นับว่าธรรมดา ข้อเด่นของรพ.หว่อเสินซาน คือครอบคลุมด้วยระบบ 5G
.
ขณะที่เราหาอ่านอยู่นี้ ยังไม่ทราบว่านอกจากควบคุมระบบทางการแพทย์ทั่วไปแล้ว ยังวางแผนใช้ทำอะไร แต่ 5G โดยดั้งเดิมเป็นพื้นฐานของ internet of things (IOT) ที่เครื่องมือต่างๆสามารถปฏิบัติงานและสื่อสารกันเองได้ (เช่น พยาบาลวัดความดัน เครื่องวัดความดันก็ส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ นำไปคำนวณ หรือแจ้งแพทย์ต่อให้เอง) บางทีเราอาจได้เห็นการพัฒนาใหม่ๆจากหว่อเสินซานครั้งนี้
.
ในที่หว่อเสินซานก่อสร้างเสร็จอย่างเต็มที่ พร้อมๆกับทีมเจ้าหน้าที่ ถูกพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์สู่ห้องพักที่หว่อเสินซาน
.
—-
.
แต่แม้การก่อสร้างนับว่ามีสีสันน่าติดตาม แต่แก่นแท้ของโรงพยาบาล ยังคงอยู่ที่ Infectious Control (IC)
.
แม้ข่าวจะรายงานว่า หว่อเสินซานมีห้องจำนวนมาก มี ICU อย่างเพียงพอ แต่สิ่งสำคัญที่สุดกลับเป็นห้อง “negative pressure”
.
ตัวโรค nCoV แม้ถูกคาดว่าติดต่อผ่านสารคัดหลั่ง (Droplet Transmission - ไอจามน้ำมูกน้ำ
ลายโดนเรา) แต่เพราะหลักฐานยังไม่แน่ชัด ทั้งยังมีอันตรายมาก จึงถูกประกาศให้ใช้มาตรการเทียบเท่าติดต่อผ่านการหายใจ (Airborne Transmission - แค่หายใจร่วมกันก็ติด)
.
ตามมาตรฐาน ผู้ป่วยต้องถูกกักไว้ในห้องที่เชื้อจะไม่มีทางลอยออกมา ห้องนั้นต้องถูกปรับให้ความดันภายในต่ำกว่าภายนอก สิ่งนี้เรียกว่า ห้อง negative pressure
.
ทางการเคลมว่าหว่อเสินซานจะเป็น negative pressure ทั้งรพ.ค่ะ นับว่าน่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะห้องหนึ่งๆค่าสร้างนับว่าไม่ธรรมดา
.
อย่างไรก็ดี ห้องธรรมดาของหว่อเสินซาน 1 ห้องมี 2 เตียง 1 ระบบ negative pressure ถือเป็นการแยกโรคแบบจัดโซน คือจัดผู้ป่วยโรคเดียวกันไว้ด้วยกัน บางส่วนยังกังวลกับเรื่องนี้ แต่ถ้ามองแบบทั่วไป หว่อเสินซานญาติเฝ้าไม่ได้ ถ้าต้องอยู่คนเดียวคงเปล่าเปลี่ยวมากแน่ๆ
.
สำหรับระบบอื่นๆ มีระบบกำจัดขยะติดเชื้อ และระบบบำบัดน้ำที่ถูกต้องทันสมัย นับว่าครบครันและถูกต้องตามระบบ IC ขณะนี้
.
—-
.
เช้านี้เป็นวันทำงานวันแรกของ รพ.หว่อเสินซาน
.
แม้เสียงชื่นชมจะมาจากทั่วทุกสารทิศ แต่บางส่วนยังกังวลต่อเหตุการณ์ที่กำลังตามมา รวมถึงสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่ ที่รับคำสั่งเป็นแนวหน้าเข้าทำงานในหว่อเสินซาน เพราะนั่นเท่ากับว่า แม้คุณจะแค่ทำงานเล็กๆน้อยๆในรพ. แต่คุณก็ถูกล้อมรอบด้วย nCoV จำนวนนับพัน
.
ในเวยป๋อจีนตอนนี้ แม้ยังมี hatespeech ด่าคนอู่ฮั่นอยู่บ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยข้อความให้กำลังต่อเจ้าหน้าที่หน้างาน ที่ต่อสู้กับโรคร้ายอย่างไม่กลัวความตาย
.
+++
.
สำหรับประเทศไทย คงต้องบอกว่าโชคดี เรามีผู้ป่วยวัณโรค(และวัณโรคดื้อยา)จำนวนมาก จึงมีห้อง negative pressure แทบทุก รพ. เพียงพอต่อการรองรับหากเกิดเหตุจริง (แต่อาจต้องย้ายวัณโรคออกมา)
.
เช้านี้ทุกคนก็ยังทำงานอย่างเต็มที่
เรามาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กันค่ะ

https://www.facebook.com/crazyindailylife/photos/a.1791985037777637/2224367847872685/
ความคิดเห็นที่ 5
ทางวิศวกรรม เรียกว่า precast ครับ (อาจได้ยินหลายชื่อ prefab, prefabrication, prebuilt ) สร้างมาก่อน แล้วเอามารวมกันหน้างาน

แล้วการออกแบบ minimize ลดงานให้มากที่สุด

จะเห็นว่าเป็นอาคารแค่ 2 ชั้น จึงไม่ได้ใช้ฝังฐานรากตอกเข็มลึกๆ แบบตึกสูง แบบที่ต้องการใช้ไปหลายสิบปี
แต่ 2 ชั้น ที่ไม่ต้องกลัวล้ม เพราะใช้ตัวมันเองเป็นฐานใหญ่ แบบรถแข่ง F1 ที่ล้อบานๆ ทรงรถ แผ่ๆ เตี้ยๆ หรือรถที่ไปแต่งโหลดมา เข้าโค้งอย่างมันส์
(เทียบกับตึกสูง คือรถทัวร์โย่งๆ หลายชั้น หรือรถขนอ้อย... แค่เลี้ยวธรรมยิ้ม็เสียวว๊าบ ลุ้นไม่ให้ท่านโย่ง ตะแคงลงไปนอน)
จึงแค่ปรับหน้าดินให้แข็งแรง แล้วเอามาวางเลยแบบ container แต่ไม่ใช่ตู้อิสระ โครงสร้างต่อกันถ่ายแรงยึดโยงกัน


ตัวผนังหลายท่านอาจเคยได้ยินตู้ออฟฟิศหรือบ้านแบบ kinockdown กันมาแล้ว
คล้ายเป็น container แบบบาง แบบเหล็กแผ่นประกอบ ข้างในฉีดโฟม เป็นฉนวนความร้อน กันเสียงได้ เคยทดลองพิสูจน์มา ว่าอุณหภูมิข้างในกับนอกต่างกันได้ ติดแอร์ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเปลืองแบบตู้เหล็กธรรมดา เพราะโฟมเป็รนฉนวนความร้อนอย่างดี
ทำเป็นผนังที่โรงงาน แล้วลำเลียงมาประกอบเข้ากับโครงสร้าง




คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ





อย่างที่พวกบริษัทมือถือ ยุคไม่นานนี่เอง 5-10 ปีก่อน สั่งตู้พวกนี้มาทำวางตามสถานี ขนาดเล็กๆ ไม่กี่ 10 ตู้ ก็ยังรอเป็นหลายเดือน (ยุคนี้ ปรับปรุงตู้สถานี เป็นรุ่น outdoor เป็นส่วนใหญ่ เลยไม่ค่อยได้สั่งกันแล้ว)

แต่อันนี้ ก็เพราะความเป็นจีน ที่ผลิต mass อยู่แล้ว พวกบริษัทที่ผลิต ต้องเอามาจากจากคลังที่ขายอยู่แล้วบ้างจำนวนมาก ถ้าของที่อื่นหรือของไทย ไม่กล้าผลิตทิ้งไว้เยอะ ขายไม่ออก กลายเป็นสินค้าคงคลังล้นเกิน แล้วมีค่าเช่าคลังอีก เลยประกอบจำวงนตามสั่ง


แต่ก็แน่นอนต้องอาศัยการจัดการที่ดี เพราะเร่งวันเร่งคืน งานเยอะ อย่างที่ว่ากันข้างบนงานไฟฟ้า ก้ใช้เวลา แต่ก็ระดมคน
แล้วอุปกรณ์การแพทย์ อันไหนทำพร้อมกันได้ แทบจะเดินชนกัน
ทุกอย่างต้องทำคู่ขนานทำต้นแบบลองนอกงานมาก่อนระหว่างรอ แล้วเอามา implement ต่อเนื่องกันไม่ขาดตอน ทุกวินาทีมีค่า ไม่ต้องมีหบุด คนเหนื่อยก็สลับกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่