ดวงอาทิตย์
NSO/NSF/AURA ภาพขยายผิวหน้าของดวงอาทิตย์มองดูคล้ายกับผิวของข้าวโพดคั่ว
กล้องโทรทรรศน์สังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ แดเนียล เค. อิโนะอุเอะ (DKIST) ของสหรัฐฯ สามารถบันทึกภาพขยายบริเวณผิวหน้าของดวงอาทิตย์ ซึ่งมีความละเอียดคมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมาได้สำเร็จ โดยภาพที่ปรากฏเป็นกระแสความร้อนและพลาสมาที่ไหลวนปั่นป่วนอยู่
ภาพนี้บันทึกในระยะห่างถึง 149 ล้านกิโลเมตรจากพื้นโลก โดยผิวหน้าของดวงอาทิตย์มองดูคล้ายกับกลุ่มเซลล์ในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต หรือบางคนมองว่าคล้ายกับผิวของข้าวโพดคั่ว
โครงสร้างที่ดูคล้ายเซลล์ดังกล่าวนั้น แต่ละส่วนมีขนาดใหญ่เท่ากับประเทศฝรั่งเศสหรือรัฐเทกซัสของสหรัฐฯ เลยทีเดียว โดยตรงใจกลางที่เป็นสีเหลืองสว่าง คือวัสดุต่าง ๆ จากด้านในของดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยตัวขึ้นสู่ผิวหน้า มีอุณหภูมิสูงถึง 6,000 องศาเซลเซียส และเป็นรากฐานของสนามแม่เหล็กที่มีทิศทางชี้ขึ้นด้านบน ส่วนเส้นสีดำที่เหมือนกับรอยแตกนั้น คือบริเวณที่พลาสมาหรือกลุ่มก๊าซและอนุภาคมีประจุพลังงานสูงกำลังเย็นตัวลง
กล้องโทรทรรศน์ DKIST ตั้งอยู่ที่เกาะเมาอีของรัฐฮาวาย บนยอดภูเขาไฟที่สูงถึง 3,000 เมตร โดยเป็นกล้องสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ที่มีกระจกปฐมภูมิขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกระจกนี้ช่วยทำหน้าที่รับและรวมแสง กล้องโทรทรรศน์นี้สามารถจะขยายให้เห็นผิวหน้าของดวงอาทิตย์ในบริเวณที่มีความกว้างเพียง 30 กิโลเมตรได้ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ที่ 1.4 ล้านกิโลเมตร
กล้องโทรทรรศน์ดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เพื่อศึกษาพลวัตรทางแม่เหล็กไฟฟ้าและความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ซึ่งอาจปลดปล่อยพลังงานระดับมหาศาลในรูปของพายุสุริยะมายังโลกได้ทุกขณะ
นักดาราศาสตร์ผู้ควบคุมกล้องโทรทรรศน์ DKIST บอกว่า ต้องการจะสร้างองค์ความรู้เพื่อการพยากรณ์ “สภาพอากาศในอวกาศ” (space weather) ที่ทำนายล่วงหน้าถึงการปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะช่วยให้หลีกเลี่ยงความเสียหายต่อระบบโทรคมนาคมและความเสียหายทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของโลก
ในช่วงสุดสัปดาห์หน้าที่แหลมคานาเวอรัลในรัฐฟลอริดา จะมีการนำส่งยานโคจรสำรวจดวงอาทิตย์ “โซลาร์ ออร์บิเทอร์” (Solar orbiter) ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ โดยยานนี้จะทำงานสนับสนุนการศึกษาดวงอาทิตย์ของกล้อง DKIST อีกทางหนึ่ง
Cr.
https://www.khaosod.co.th/bbc-thai/news_3495463
ดาวพลูโต
ยานอวกาศ นิว โฮไรซอน ขององค์การนาซา ส่งภาพถ่ายใหม่ของดาวเคราะห์แคระ พลูโต กลับมายังโลกแล้ว โดยเป็นแสดงให้เห็นพื้นผิวของดาวพลูโตที่คมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยยานอวกาศ นิว โฮไรซอน (ขอบฟ้าใหม่) ซึ่งลอยผ่านดาวดวงในระยะที่ใกล้ที่สุดไปเมื่อเดือนก.ค.2558 โดยภาพถ่ายดังกล่าวมีความละเอียดประมาณ 80 เมตรต่อพิกเซล
ภาพล่าสุดแสดงให้เห็นทิวทัศน์ของภูเขาซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า อัล-ไอดริซี, ทุ่งน้ำแข็งที่มีชื่อเล่นว่า สปุตนิค พลานุม และหลุมบ่อบนพื้นผิวดาวอย่างชัดเจน
นายอลัน สเติร์น จากสถานบันวิจัย เซาท์เวสต์ ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา และเป็นหัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ นิว โฮไรซอน ระบุว่า "ภาพถ่ายใหม่เหล่านี้ได้เปิดหน้าต่างที่มีความละเอียดสูงมากสู่ธรณีวิทยาของดาวพลูโตแก่พวกเรา"
ทั้งนี้ ยานอวกาศ นิว โฮไรซอน ซึ่งมีขนาดเท่าเปียโน สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการลอยผ่านดาวพลูโตในระยะใกล้ที่สุด โดยห่างเพียง 12,500 กม. และสามารถถ่ายภาพและเก็บข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับดาวดวงนี้ได้เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบัน ยานอวกาศ นิว โฮไรซอน ยังคงเดินทางลึกเข้าไปในอวกาศ ซึ่งตอนนี้มันอยู่ห่างจากดาวพลูโตประมาณ 167 ล้านกม. และห่างจากโลกประมาณ 5.2 พันล้านกม. และมีกำหนดบินผ่านดาวเคราะห์น้อย '2014 เอ็มยู69' (2014 MU69) ในแถบไคเปอร์ (kuiper belt) อันเป็นวงแหวนนอกวงโคจรของดาวเนปจูนซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งมากมาย
Cr.
https://www.thairath.co.th/content/545109?cx_testId=0&cx_testVariant=cx_0&cx_artPos=4#cxrecs_s
ดวงจันทร์ยูโรปา
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2561 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือนาซา แถลงข่าวยืนยันการพบน้ำพุพ่นออกมาจากพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปา โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่วิเคราะห์ข้อมูลจากยานกาลิเลโอที่บันทึกไว้เมื่อ 21 ปีก่อนและภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลประกอบกัน
เมื่อปี 2555 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้บันทึกภาพดวงจันทร์ยูโรปาที่กำลังพ่นบางสิ่งออกไปในอวกาศเป็นระยะทางถึง 200 กิโลเมตร นักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นน้ำจากใต้ผิวน้ำแข็งที่ถูกพ่นออกมา แต่ด้วยขีดจำกัดทางเครื่องมือทำให้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่กำลังพวยพุ่งออกมาจากพื้นผิวของมันคืออะไร
การวิจัยในครั้งนี้นำทีมโดย ดร.เซียนจือ เจีย นักฟิสิกส์อวกาศ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา
นาซาจะเริ่มภารกิจสำรวจดวงจันทร์ยูโรปาอีกครั้งภายใต้ชื่อภารกิจว่า ยูโรปาคลิปเปอร์ (Europa Clipper) ประมาณปี 2563 เป็นต้นไป วางแผนให้ยานอวกาศเข้าใกล้ดวงจันทร์ยูโรปาถึง 40 ครั้ง มีระยะห่างตั้งแต่ 100 กิโลเมตรจนถึง 15 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นการบินเฉียดที่ใกล้ที่สุดและจงใจให้บินผ่านตำแหน่งที่มีการพ่นน้ำออกมา เพื่อเก็บตัวอย่างของน้ำและอนุภาคต่าง ๆ นำมาวิเคราะห์ต่อไป
ทั้งนี้ ดวงจันทร์ยูโรปา เป็นดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี มีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกเล็กน้อย พื้นผิวเป็นน้ำแข็งที่มีความเรียบมาก ความเรียบในระดับนี้บ่งชี้ว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยาทำให้ร่องรอยอุกกาบาตต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเลือนหายไป (ในขณะที่ดวงจันทร์ของโลกเราไม่มีความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยาใด ๆ ทำให้รอยอุกกาบาตที่เกิดขึ้นไม่เลือนหายไป) นอกจากนี้หลักฐานจำนวนมาก เช่น ลักษณะของเปลือกที่เป็นน้ำแข็ง น้ำพุที่พุ่งออกมาจากผิวที่ความสูงกว่า 200 กิโลเมตรจากพื้นผิว ทำให้นักดาราศาสตร์มั่นใจว่าภายใต้เปลือกน้ำแข็งประมาณ 170 กิโลเมตร มีชั้นของมหาสมุทรอยู่
Cr.
https://www.posttoday.com/world/551365
ดาวพฤหัสบดี
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมานี้องค์การ NASA ได้ทำการปล่อยภาพของดาว จูปิเตอร์ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ดาวพฤหัส ออกมาให้สาธารณะชนทั่วโลกได้เห็น เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะดาวจูปิเตอร์มันสวยงามจนผู้คนนึกว่าภาพวาดสีน้ำมันกันเลยทีเดียว
ภาพดาวพฤหัสบดีที่น่าทึ่งเหล่านี้ มาจากกล้องจูโนแคม (JunoCam) ของนาซา รวมถึงภาพไซโคลนที่เกิดขึ้นบริเวณขั้วของดาวพฤหัสบดี
นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะดวงนี้ โดยอุปกรณ์ตรวจจับของกล้องจูโนแคม จะทำการวัดองค์ประกอบของดาวพฤหัสบดี เพื่อพยายามไขความลับของการก่อตัวขึ้นของดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโลก 1,300 เท่า
ดร. แคนไดซ์ แฮนเซน จากสถาบันวิทยาศาสตร์ด้านการศึกษาดาวเคราะห์ ในรัฐแอริโซนา เป็นผู้นำโครงการจูโนแคม เธอได้นำเสนอภาพถ่ายที่น่าทึ่งจากกล้องนี้ ที่สหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกันในกรุงวอชิงตัน ดีซี
ดาวพฤหัสบดีนั้น พื้นผิวเป็นก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมเหลว บนดาวมีพายุความเร็วสูงพัดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรามองดาวพฤหัสบดีจากกล้องดูดาวจะพบว่ามีจุดใหญ่ๆบนดาว จุดนั้นคือพายุขนาดใหญ่ที่พัดรุนแรงตลอดเวลา
ที่มา Cr : facebook.com/innocencelost.art
Cr.
http://pailom-np.tripod.com/kidknowledge/html_galaxy/thursday.html
Cr.
http://www.girldaily.com/lifestyle/lifestyle-news/1009653
ดาวพุธ
ดาวพุธมีบรรยากาศห่อหุ้มเบาบางมาก ซึ่งประกอบไปด้วย ก๊าซไฮโดรเจน ฮีเลียมออกซิเจน และอาร์กอน แกนกลางของดาวพุธประกอบด้วยเหล็ก พื้นผิวของดาวพุธมีลักษณะคล้ายดวงจันทร์
มนุษย์ได้ส่งยานอวกาศ มารีเนอร์ 10 ไปสำรวจและทำแผนที่พื้นผิวดาวพุธเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2517 แต่เพราะการที่มันอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากจึงสามารถทำแผนที่ได้เพียงร้อยละ 45 ของพื้นที่ทั้งหมด
ดาวพุธมีพื้นผิวที่เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตมากมาย มีบางบริเวณ มีลักษณะเป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งสันนิษฐานว่าเกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตในยุคเริ่มแรกของระบบสุริยะ ทำให้พื้นที่โดยรอบกลายเป็นเทือกเขาที่สูง แอ่งที่ราบแคลอริส (Caloris Basin) นั้นมี เส้นผ่านศูนย์กลางที่กว้างถึง 1,300 กิโลเมตร
นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่า แอ่งที่ราบขนาดใหญ่นี้เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตในยุคเริ่มแรกของระบบสุริยะ ซึ่งการชนในครั้งนั้นรุนแรงมากจนทำให้พื้นผิวด้านตรงข้ามแอ่ง ได้รับคลื่นกระแทกจนปูดขึ้นกลายเป็นหน้าผาสูงชัน
จากภาพถ่ายที่ได้จากยานมารีเนอร์ 10 จุดศูนย์กลางของ หลุมอยู่ในเงามืดและสังเกตเห็นเพียงแนวขอบหลุมที่ประกอบไปด้วยเทือกเขาที่ต่อเนื่องกัน เทือกเขา เหล่านี้มีความสูงถึง 2 กิโลเมตร
Cr.
https://sites.google.com/a/web1.dara.ac.th/daraastro-solarsystem/daw-kheraah/daw-phuth
ดาวศุกร์
ภาพถ่ายพื้นผิวดาวศุกร์จากยานยูเอส แม็กเจลแลน (ภาพ-NASA)
ยานแมกเจลแลน (Magellan) ของสหรัฐอเมริกา โคจรสำรวจรอบดาวศุกร์ในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๗ ได้เก็บข้อมูลด้วยระบบเรดาร์สามารถส่องทะลุชั้นเมฆหนาทึบ เปิดเผยถึงลักษณะภูมิประเทศของดาวศุกร์ ด้วยภาพถ่าย ที่แตกต่างจากภาพในช่วงคลื่นแสง ที่ตาคนมองเห็นได้ตามปกติ
ดาวศุกร์เป็นดินแดนแห่งซากภูเขาไฟ มีเถ้าและลาวาไหลทับถมอยู่ทั่วไป ภูเขาไฟขนาดต่างๆ กัน กระจายอยู่ทั่วดวง แต่ไม่เรียงตัวต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
มีหลุมอุกกาบาตกระจายทั่วดวงจำนวนนับพันแห่ง พบมากในบริเวณพื้นที่ต่ำ หลุมอุกกาบาตหลายแห่งถูกลาวาไหลท่วมท้น พื้นผิวมีร่องเป็นทางยาว คล้ายกับถูกกัดเซาะยาวเหยียดหลายพันกิโลเมตร ลักษณะคล้ายแม่น้ำ หรือที่ราบลุ่มน้ำท่วมขัง และดินดอนปากแม่น้ำบนโลก แต่ดาวศุกร์ร้อนเกินกว่าที่จะมีน้ำเหลวอยู่ได้ และมีกระแสลมอ่อน ซากการกร่อนจึงไม่ได้เกิดจากกระแสน้ำและกระแสลม แต่เกิดจากหินหนืด และกระแสธารลาวามากมายที่ปะทุออกมาจากภูเขาไฟ บนดาวศุกร์
บรรยากาศเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีฝุ่นกำมะถัน จากการระเบิดของภูเขาไฟคละคลุ้ง รวมตัวกับไอน้ำ เกิดเป็นเมฆสีเหลือง ห่อหุ้มหนาทึบ และกลายเป็นฝนกรดกำมะถัน ทำให้บรรยากาศของดาวศุกร์เต็มไปด้วยก๊าซพิษ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกำเนิด ของสิ่งมีชีวิต
Cr.
https://sites.google.com/site/butterict/home/phun-phiw-khxng-daw-sukr By Butterict
Cr.
https://www.matichon.co.th/lifestyle/tech/news_1190842
ดาวอังคาร
นาซ่า ได้รวบรวมภาพถ่ายจากรถหุ่นยนต์สำรวจซึ่งได้ถ่ายภาพพื้นผิว และสภาพแวดล้อมของดาวอังคาร ที่เต็มไปด้วยฝุ่นจำนวนมาก องค์ประกอบของดินส่วนใหญ่เป็นเหล็ก ทำให้ดาวอังคารมีสีเหมือนสนิมเหล็ก เมื่อดูในระยะใกล้จะเห็นคลื่นทรายสีส้ม บางแห่งมีก้อนหินระเกะระกะทั่วไป
มีหน้าผาสูงชัน และสันเขาเป็นแนวยาว เต็มไปด้วยทุ่งหินทราย สีแดงกว้างใหญ่แห้งแล้งบางครั้งเกิดแผ่นดินไหว บริเวณขั้วหนาวเย็น และใต้ผิวดินมีโคลนน้ำแข็ง อดีตมีมหาสมุทรขนาดใหญ่ และมีหุบเหวต่างๆ มากมาย หุบเหวขนาดใหญ่เหยียดยาวผ่ากลางดาวอังคารบริเวณ เส้นศูนย์สูตร ชื่อ หุบเหวมารีเนอร์( Mariner Valley )ซึ่งเป็นหุบเหวขนาดใหญ่กว้างขนาดเท่ากับความกว้างของทวีปอเมริกาเหนือ
ขอบคุณภาพจาก voicetv.co.
Cr.
http://www.sunandstar.net/
Cr.
https://koonnarin.wordpress.com/ดาวเคราะห์/สภาพแวดล้อมพื้นผิวดาว
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา
ภาพพื้นผิวหน้าของดาวต่างๆจากยานสำรวจ
NSO/NSF/AURA ภาพขยายผิวหน้าของดวงอาทิตย์มองดูคล้ายกับผิวของข้าวโพดคั่ว
กล้องโทรทรรศน์สังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ แดเนียล เค. อิโนะอุเอะ (DKIST) ของสหรัฐฯ สามารถบันทึกภาพขยายบริเวณผิวหน้าของดวงอาทิตย์ ซึ่งมีความละเอียดคมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมาได้สำเร็จ โดยภาพที่ปรากฏเป็นกระแสความร้อนและพลาสมาที่ไหลวนปั่นป่วนอยู่
ภาพนี้บันทึกในระยะห่างถึง 149 ล้านกิโลเมตรจากพื้นโลก โดยผิวหน้าของดวงอาทิตย์มองดูคล้ายกับกลุ่มเซลล์ในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต หรือบางคนมองว่าคล้ายกับผิวของข้าวโพดคั่ว
โครงสร้างที่ดูคล้ายเซลล์ดังกล่าวนั้น แต่ละส่วนมีขนาดใหญ่เท่ากับประเทศฝรั่งเศสหรือรัฐเทกซัสของสหรัฐฯ เลยทีเดียว โดยตรงใจกลางที่เป็นสีเหลืองสว่าง คือวัสดุต่าง ๆ จากด้านในของดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยตัวขึ้นสู่ผิวหน้า มีอุณหภูมิสูงถึง 6,000 องศาเซลเซียส และเป็นรากฐานของสนามแม่เหล็กที่มีทิศทางชี้ขึ้นด้านบน ส่วนเส้นสีดำที่เหมือนกับรอยแตกนั้น คือบริเวณที่พลาสมาหรือกลุ่มก๊าซและอนุภาคมีประจุพลังงานสูงกำลังเย็นตัวลง
กล้องโทรทรรศน์ DKIST ตั้งอยู่ที่เกาะเมาอีของรัฐฮาวาย บนยอดภูเขาไฟที่สูงถึง 3,000 เมตร โดยเป็นกล้องสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ที่มีกระจกปฐมภูมิขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกระจกนี้ช่วยทำหน้าที่รับและรวมแสง กล้องโทรทรรศน์นี้สามารถจะขยายให้เห็นผิวหน้าของดวงอาทิตย์ในบริเวณที่มีความกว้างเพียง 30 กิโลเมตรได้ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ที่ 1.4 ล้านกิโลเมตร
กล้องโทรทรรศน์ดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เพื่อศึกษาพลวัตรทางแม่เหล็กไฟฟ้าและความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ซึ่งอาจปลดปล่อยพลังงานระดับมหาศาลในรูปของพายุสุริยะมายังโลกได้ทุกขณะ
นักดาราศาสตร์ผู้ควบคุมกล้องโทรทรรศน์ DKIST บอกว่า ต้องการจะสร้างองค์ความรู้เพื่อการพยากรณ์ “สภาพอากาศในอวกาศ” (space weather) ที่ทำนายล่วงหน้าถึงการปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะช่วยให้หลีกเลี่ยงความเสียหายต่อระบบโทรคมนาคมและความเสียหายทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของโลก
ในช่วงสุดสัปดาห์หน้าที่แหลมคานาเวอรัลในรัฐฟลอริดา จะมีการนำส่งยานโคจรสำรวจดวงอาทิตย์ “โซลาร์ ออร์บิเทอร์” (Solar orbiter) ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ โดยยานนี้จะทำงานสนับสนุนการศึกษาดวงอาทิตย์ของกล้อง DKIST อีกทางหนึ่ง
Cr.https://www.khaosod.co.th/bbc-thai/news_3495463
ดาวพลูโต
ยานอวกาศ นิว โฮไรซอน ขององค์การนาซา ส่งภาพถ่ายใหม่ของดาวเคราะห์แคระ พลูโต กลับมายังโลกแล้ว โดยเป็นแสดงให้เห็นพื้นผิวของดาวพลูโตที่คมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยยานอวกาศ นิว โฮไรซอน (ขอบฟ้าใหม่) ซึ่งลอยผ่านดาวดวงในระยะที่ใกล้ที่สุดไปเมื่อเดือนก.ค.2558 โดยภาพถ่ายดังกล่าวมีความละเอียดประมาณ 80 เมตรต่อพิกเซล
ภาพล่าสุดแสดงให้เห็นทิวทัศน์ของภูเขาซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า อัล-ไอดริซี, ทุ่งน้ำแข็งที่มีชื่อเล่นว่า สปุตนิค พลานุม และหลุมบ่อบนพื้นผิวดาวอย่างชัดเจน
นายอลัน สเติร์น จากสถานบันวิจัย เซาท์เวสต์ ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา และเป็นหัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ นิว โฮไรซอน ระบุว่า "ภาพถ่ายใหม่เหล่านี้ได้เปิดหน้าต่างที่มีความละเอียดสูงมากสู่ธรณีวิทยาของดาวพลูโตแก่พวกเรา"
ทั้งนี้ ยานอวกาศ นิว โฮไรซอน ซึ่งมีขนาดเท่าเปียโน สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการลอยผ่านดาวพลูโตในระยะใกล้ที่สุด โดยห่างเพียง 12,500 กม. และสามารถถ่ายภาพและเก็บข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับดาวดวงนี้ได้เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบัน ยานอวกาศ นิว โฮไรซอน ยังคงเดินทางลึกเข้าไปในอวกาศ ซึ่งตอนนี้มันอยู่ห่างจากดาวพลูโตประมาณ 167 ล้านกม. และห่างจากโลกประมาณ 5.2 พันล้านกม. และมีกำหนดบินผ่านดาวเคราะห์น้อย '2014 เอ็มยู69' (2014 MU69) ในแถบไคเปอร์ (kuiper belt) อันเป็นวงแหวนนอกวงโคจรของดาวเนปจูนซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งมากมาย
Cr.https://www.thairath.co.th/content/545109?cx_testId=0&cx_testVariant=cx_0&cx_artPos=4#cxrecs_s
ดวงจันทร์ยูโรปา
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2561 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือนาซา แถลงข่าวยืนยันการพบน้ำพุพ่นออกมาจากพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปา โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่วิเคราะห์ข้อมูลจากยานกาลิเลโอที่บันทึกไว้เมื่อ 21 ปีก่อนและภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลประกอบกัน
เมื่อปี 2555 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้บันทึกภาพดวงจันทร์ยูโรปาที่กำลังพ่นบางสิ่งออกไปในอวกาศเป็นระยะทางถึง 200 กิโลเมตร นักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นน้ำจากใต้ผิวน้ำแข็งที่ถูกพ่นออกมา แต่ด้วยขีดจำกัดทางเครื่องมือทำให้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่กำลังพวยพุ่งออกมาจากพื้นผิวของมันคืออะไร
การวิจัยในครั้งนี้นำทีมโดย ดร.เซียนจือ เจีย นักฟิสิกส์อวกาศ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา
นาซาจะเริ่มภารกิจสำรวจดวงจันทร์ยูโรปาอีกครั้งภายใต้ชื่อภารกิจว่า ยูโรปาคลิปเปอร์ (Europa Clipper) ประมาณปี 2563 เป็นต้นไป วางแผนให้ยานอวกาศเข้าใกล้ดวงจันทร์ยูโรปาถึง 40 ครั้ง มีระยะห่างตั้งแต่ 100 กิโลเมตรจนถึง 15 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นการบินเฉียดที่ใกล้ที่สุดและจงใจให้บินผ่านตำแหน่งที่มีการพ่นน้ำออกมา เพื่อเก็บตัวอย่างของน้ำและอนุภาคต่าง ๆ นำมาวิเคราะห์ต่อไป
ทั้งนี้ ดวงจันทร์ยูโรปา เป็นดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี มีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกเล็กน้อย พื้นผิวเป็นน้ำแข็งที่มีความเรียบมาก ความเรียบในระดับนี้บ่งชี้ว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยาทำให้ร่องรอยอุกกาบาตต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเลือนหายไป (ในขณะที่ดวงจันทร์ของโลกเราไม่มีความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยาใด ๆ ทำให้รอยอุกกาบาตที่เกิดขึ้นไม่เลือนหายไป) นอกจากนี้หลักฐานจำนวนมาก เช่น ลักษณะของเปลือกที่เป็นน้ำแข็ง น้ำพุที่พุ่งออกมาจากผิวที่ความสูงกว่า 200 กิโลเมตรจากพื้นผิว ทำให้นักดาราศาสตร์มั่นใจว่าภายใต้เปลือกน้ำแข็งประมาณ 170 กิโลเมตร มีชั้นของมหาสมุทรอยู่
Cr.https://www.posttoday.com/world/551365
ดาวพฤหัสบดี
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมานี้องค์การ NASA ได้ทำการปล่อยภาพของดาว จูปิเตอร์ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ดาวพฤหัส ออกมาให้สาธารณะชนทั่วโลกได้เห็น เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะดาวจูปิเตอร์มันสวยงามจนผู้คนนึกว่าภาพวาดสีน้ำมันกันเลยทีเดียว
ภาพดาวพฤหัสบดีที่น่าทึ่งเหล่านี้ มาจากกล้องจูโนแคม (JunoCam) ของนาซา รวมถึงภาพไซโคลนที่เกิดขึ้นบริเวณขั้วของดาวพฤหัสบดี
นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะดวงนี้ โดยอุปกรณ์ตรวจจับของกล้องจูโนแคม จะทำการวัดองค์ประกอบของดาวพฤหัสบดี เพื่อพยายามไขความลับของการก่อตัวขึ้นของดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโลก 1,300 เท่า
ดร. แคนไดซ์ แฮนเซน จากสถาบันวิทยาศาสตร์ด้านการศึกษาดาวเคราะห์ ในรัฐแอริโซนา เป็นผู้นำโครงการจูโนแคม เธอได้นำเสนอภาพถ่ายที่น่าทึ่งจากกล้องนี้ ที่สหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกันในกรุงวอชิงตัน ดีซี
ดาวพฤหัสบดีนั้น พื้นผิวเป็นก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมเหลว บนดาวมีพายุความเร็วสูงพัดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรามองดาวพฤหัสบดีจากกล้องดูดาวจะพบว่ามีจุดใหญ่ๆบนดาว จุดนั้นคือพายุขนาดใหญ่ที่พัดรุนแรงตลอดเวลา
ที่มา Cr : facebook.com/innocencelost.art
Cr.http://pailom-np.tripod.com/kidknowledge/html_galaxy/thursday.html
Cr.http://www.girldaily.com/lifestyle/lifestyle-news/1009653
ดาวพุธ
ดาวพุธมีบรรยากาศห่อหุ้มเบาบางมาก ซึ่งประกอบไปด้วย ก๊าซไฮโดรเจน ฮีเลียมออกซิเจน และอาร์กอน แกนกลางของดาวพุธประกอบด้วยเหล็ก พื้นผิวของดาวพุธมีลักษณะคล้ายดวงจันทร์
มนุษย์ได้ส่งยานอวกาศ มารีเนอร์ 10 ไปสำรวจและทำแผนที่พื้นผิวดาวพุธเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2517 แต่เพราะการที่มันอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากจึงสามารถทำแผนที่ได้เพียงร้อยละ 45 ของพื้นที่ทั้งหมด
ดาวพุธมีพื้นผิวที่เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตมากมาย มีบางบริเวณ มีลักษณะเป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งสันนิษฐานว่าเกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตในยุคเริ่มแรกของระบบสุริยะ ทำให้พื้นที่โดยรอบกลายเป็นเทือกเขาที่สูง แอ่งที่ราบแคลอริส (Caloris Basin) นั้นมี เส้นผ่านศูนย์กลางที่กว้างถึง 1,300 กิโลเมตร
นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่า แอ่งที่ราบขนาดใหญ่นี้เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตในยุคเริ่มแรกของระบบสุริยะ ซึ่งการชนในครั้งนั้นรุนแรงมากจนทำให้พื้นผิวด้านตรงข้ามแอ่ง ได้รับคลื่นกระแทกจนปูดขึ้นกลายเป็นหน้าผาสูงชัน
จากภาพถ่ายที่ได้จากยานมารีเนอร์ 10 จุดศูนย์กลางของ หลุมอยู่ในเงามืดและสังเกตเห็นเพียงแนวขอบหลุมที่ประกอบไปด้วยเทือกเขาที่ต่อเนื่องกัน เทือกเขา เหล่านี้มีความสูงถึง 2 กิโลเมตร
Cr. https://sites.google.com/a/web1.dara.ac.th/daraastro-solarsystem/daw-kheraah/daw-phuth
ดาวศุกร์
ภาพถ่ายพื้นผิวดาวศุกร์จากยานยูเอส แม็กเจลแลน (ภาพ-NASA)
ยานแมกเจลแลน (Magellan) ของสหรัฐอเมริกา โคจรสำรวจรอบดาวศุกร์ในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๗ ได้เก็บข้อมูลด้วยระบบเรดาร์สามารถส่องทะลุชั้นเมฆหนาทึบ เปิดเผยถึงลักษณะภูมิประเทศของดาวศุกร์ ด้วยภาพถ่าย ที่แตกต่างจากภาพในช่วงคลื่นแสง ที่ตาคนมองเห็นได้ตามปกติ
ดาวศุกร์เป็นดินแดนแห่งซากภูเขาไฟ มีเถ้าและลาวาไหลทับถมอยู่ทั่วไป ภูเขาไฟขนาดต่างๆ กัน กระจายอยู่ทั่วดวง แต่ไม่เรียงตัวต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
มีหลุมอุกกาบาตกระจายทั่วดวงจำนวนนับพันแห่ง พบมากในบริเวณพื้นที่ต่ำ หลุมอุกกาบาตหลายแห่งถูกลาวาไหลท่วมท้น พื้นผิวมีร่องเป็นทางยาว คล้ายกับถูกกัดเซาะยาวเหยียดหลายพันกิโลเมตร ลักษณะคล้ายแม่น้ำ หรือที่ราบลุ่มน้ำท่วมขัง และดินดอนปากแม่น้ำบนโลก แต่ดาวศุกร์ร้อนเกินกว่าที่จะมีน้ำเหลวอยู่ได้ และมีกระแสลมอ่อน ซากการกร่อนจึงไม่ได้เกิดจากกระแสน้ำและกระแสลม แต่เกิดจากหินหนืด และกระแสธารลาวามากมายที่ปะทุออกมาจากภูเขาไฟ บนดาวศุกร์
บรรยากาศเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีฝุ่นกำมะถัน จากการระเบิดของภูเขาไฟคละคลุ้ง รวมตัวกับไอน้ำ เกิดเป็นเมฆสีเหลือง ห่อหุ้มหนาทึบ และกลายเป็นฝนกรดกำมะถัน ทำให้บรรยากาศของดาวศุกร์เต็มไปด้วยก๊าซพิษ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกำเนิด ของสิ่งมีชีวิต
Cr.https://sites.google.com/site/butterict/home/phun-phiw-khxng-daw-sukr By Butterict
Cr.https://www.matichon.co.th/lifestyle/tech/news_1190842
ดาวอังคาร
นาซ่า ได้รวบรวมภาพถ่ายจากรถหุ่นยนต์สำรวจซึ่งได้ถ่ายภาพพื้นผิว และสภาพแวดล้อมของดาวอังคาร ที่เต็มไปด้วยฝุ่นจำนวนมาก องค์ประกอบของดินส่วนใหญ่เป็นเหล็ก ทำให้ดาวอังคารมีสีเหมือนสนิมเหล็ก เมื่อดูในระยะใกล้จะเห็นคลื่นทรายสีส้ม บางแห่งมีก้อนหินระเกะระกะทั่วไป
มีหน้าผาสูงชัน และสันเขาเป็นแนวยาว เต็มไปด้วยทุ่งหินทราย สีแดงกว้างใหญ่แห้งแล้งบางครั้งเกิดแผ่นดินไหว บริเวณขั้วหนาวเย็น และใต้ผิวดินมีโคลนน้ำแข็ง อดีตมีมหาสมุทรขนาดใหญ่ และมีหุบเหวต่างๆ มากมาย หุบเหวขนาดใหญ่เหยียดยาวผ่ากลางดาวอังคารบริเวณ เส้นศูนย์สูตร ชื่อ หุบเหวมารีเนอร์( Mariner Valley )ซึ่งเป็นหุบเหวขนาดใหญ่กว้างขนาดเท่ากับความกว้างของทวีปอเมริกาเหนือ
ขอบคุณภาพจาก voicetv.co.
Cr. http://www.sunandstar.net/
Cr.https://koonnarin.wordpress.com/ดาวเคราะห์/สภาพแวดล้อมพื้นผิวดาว
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา