ไม่แน่ใจว่ายุคสมัยนี้ส่วนใหญ่อ่านหนังสือกันเยอะไหม เพราะเชื่อว่าโลกอินเตอร์เน็ตทำให้คนเปลี่ยนไป อ่านแค่บทความในอินเตอร์เน็ตกันซะมากกว่า เราเองก็เริ่มอ่านหนังสือน้อยลงกว่าแต่ก่อนเยอะเลยทีเดียว
ขอเกริ่นก่อนว่าสมัยเด็กๆเราชอบอ่านหนังสือมากๆๆ (เป็นเด็กยุค90’s) การ์ตูนทั่วไปขายหัวเราะ/หนูหิ่น/ปังปอนด์/โดเรม่อน/ชินจัง/เดทโน้ต/โอซาว่าฮายกครัว บลาๆ ให้พูดก็พูดไม่หมด การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ตึ๋งหนืด ,แนวหัวแตงโม ,นิยายผี ลึกลับ สืบสวน ,นิตยสาร ,ดาราศาสตร์,หนังสือจิ๋วความรู้รอบตัว เป็นเล่มเล็กๆ เล็กมากกก ,โหราศาสตร์ , แม้แต่ Dictionary ยังมีเป็นสิบเล่ม เล็กกลางใหญ่มีหมดทุกไซส์ (อ่านไม่หมดหรอกแต่ซื้อไว้เพราะมันมีศัพท์อัพเดตใหม่ๆด้วย) จะบอกว่าอ่านได้เกือบทุกแนวในตอนเป็นเด็ก เจอหน้าหนังสือที่อยากซื้อก็ซื้อมาอ่านไม่ถูกใจก็วางทิ้งไว้ ผ่านไปเป็นปีกลับมาอ่านก็มี แต่ในส่วนของหนังสือสอบ หนังสือเรียนน้านนน ไม่น่าหมกหมุ่นเท่านี้5555 เลยไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือ
จำได้ว่าซื้อครั้งสุดท้ายที่อยู่บ้านหลังเก่าเมื่อราวๆ9ปีที่แล้วเป็นหนังสือที่พี่โน๊ต อุดมเขียน ..หนังสือที่มีไม่เคยนับแต่เชื่อว่าห้องหนังสือที่บ้านมีหนังสือเกิน5,000เล่มแน่ๆ ทุกอาทิตย์ ทุกเดือนมีเล่มไหนออกคือขอร้องให้แม่พาไปแผงหนังสือที่ตลาดหรือร้านหนังสือที่ห้างฯบ้างหละ เวลามันผ่านไปนานเสียจนสนิทกับเฮียเจ้าของแผงมาก เฮียแกคอโอซาว่าเหมือนกัน5555
จนกระทั่งวันที่บ้านมีปัญหา เราเรียนอยู่มหาลัยประมาณปี1.5 ซึ่งตอนนั้นอยู่หอพัก นานๆจะกลับบ้านที รอบนี้กลับไป อ่าวทำไมบ้านโล่ง!! คือต้องย้ายบ้านกระทันหันแม่ไม่เคยบอกว่าบ้านมีปัญหาอะไร มารับรู้เอาตอนที่เค้าจะย้ายบ้านกันแล้ว(อะเรื่องนี้ขอผ่าน)
แม่บอกอะไรทิ้งได้ก็ต้องทิ้งไม่จำเป็นจริงๆก็ให้หรือบริจาคเค้าไปหมดนะ รีบวิ่งไปบนบ้านหนังสือหายเกลี้ยงไม่เหลือสักเล่มจริงๆ หน้ามืดเลย จำได้ว่าร้องไห้หนักมากใจเสีย ใจมันสลายสุดๆ โวยวายแม่ไปพักนึงก็ตั้งสติ เพราะมีเรื่องปัญหาที่บ้านให้สติหลุดกว่านั้นอีกเยอะ และก็ต้องจำใจยอมรับ ตอนนั้นที่ควรทำคือต้องเข้าใจสภาวะที่บ้านตอนนั้นให้ได้ และปลง ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงหนังสือพวกนั้นอยู่เลย
มาถึงเรื่องหัวข้อกระทู้หลังจากเกริ่นมาซะยาวเหยียดขอบคุณนะที่อ่านกันถึงตรงนี้
ก็คือล่าสุดกลับมาติดอ่านหนังสือหนักๆ อีกครั้งเพราะเจอนักเขียนที่มีสำนวนและรสชาติการเขียนที่อร่อย ได้ประโยชน์ ข้อคิดมากมายทั้งเรื่องการใช้ชีวิต จิตวิทยา และธุรกิจ ที่สำคัญบทหนึ่งต้องมีหลุดขำยิ้มไปหัวเราะไป อ่านไปเรื่อยๆแล้วไม่น่าเบื่อ เพลินมาก
รู้ตัวอีกทีจะจบแล้วหรอ? เห้ยยยจะบทสุดท้ายแล้ว ความรู้สึกเดจาวูมาก มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนเด็กเลย ยังไม่อยากให้ถึงบทสุดท้ายเสียดายจัง อยากให้มีต่อไปแบบไม่มีวันจบ เลยเก็บบทสุดท้ายไว้อ่านตอนได้เล่มใหม่มา หรือรอเล่มใหม่วางแผง มีคนบอกว่ามันคล้ายๆกับคนที่เก็บของอร่อยไว้กินคำสุดท้ายในชาม คล้ายๆแหละ
แค่อยากถามว่ามีใครเป็นเหมือนกันไหมอารมณ์แบบนี้ จริงๆมันเป็นความสุขเล็กๆที่เกิดขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้เจอหนังสือและนักเขียนที่ถูกจริตกับเรา มาคุยกันได้นะหนอนหนังสือยุค 90’s บางทีอาจจะมีหนังสือบางเล่มที่เราลืมกันไปแล้วมาขุดกันหน่อยนะ อยากรื้อฟื้น
ไม่อยากให้หนังสือที่อ่านถึงบทสุดท้าย ?
ขอเกริ่นก่อนว่าสมัยเด็กๆเราชอบอ่านหนังสือมากๆๆ (เป็นเด็กยุค90’s) การ์ตูนทั่วไปขายหัวเราะ/หนูหิ่น/ปังปอนด์/โดเรม่อน/ชินจัง/เดทโน้ต/โอซาว่าฮายกครัว บลาๆ ให้พูดก็พูดไม่หมด การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ตึ๋งหนืด ,แนวหัวแตงโม ,นิยายผี ลึกลับ สืบสวน ,นิตยสาร ,ดาราศาสตร์,หนังสือจิ๋วความรู้รอบตัว เป็นเล่มเล็กๆ เล็กมากกก ,โหราศาสตร์ , แม้แต่ Dictionary ยังมีเป็นสิบเล่ม เล็กกลางใหญ่มีหมดทุกไซส์ (อ่านไม่หมดหรอกแต่ซื้อไว้เพราะมันมีศัพท์อัพเดตใหม่ๆด้วย) จะบอกว่าอ่านได้เกือบทุกแนวในตอนเป็นเด็ก เจอหน้าหนังสือที่อยากซื้อก็ซื้อมาอ่านไม่ถูกใจก็วางทิ้งไว้ ผ่านไปเป็นปีกลับมาอ่านก็มี แต่ในส่วนของหนังสือสอบ หนังสือเรียนน้านนน ไม่น่าหมกหมุ่นเท่านี้5555 เลยไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือ
จำได้ว่าซื้อครั้งสุดท้ายที่อยู่บ้านหลังเก่าเมื่อราวๆ9ปีที่แล้วเป็นหนังสือที่พี่โน๊ต อุดมเขียน ..หนังสือที่มีไม่เคยนับแต่เชื่อว่าห้องหนังสือที่บ้านมีหนังสือเกิน5,000เล่มแน่ๆ ทุกอาทิตย์ ทุกเดือนมีเล่มไหนออกคือขอร้องให้แม่พาไปแผงหนังสือที่ตลาดหรือร้านหนังสือที่ห้างฯบ้างหละ เวลามันผ่านไปนานเสียจนสนิทกับเฮียเจ้าของแผงมาก เฮียแกคอโอซาว่าเหมือนกัน5555
จนกระทั่งวันที่บ้านมีปัญหา เราเรียนอยู่มหาลัยประมาณปี1.5 ซึ่งตอนนั้นอยู่หอพัก นานๆจะกลับบ้านที รอบนี้กลับไป อ่าวทำไมบ้านโล่ง!! คือต้องย้ายบ้านกระทันหันแม่ไม่เคยบอกว่าบ้านมีปัญหาอะไร มารับรู้เอาตอนที่เค้าจะย้ายบ้านกันแล้ว(อะเรื่องนี้ขอผ่าน)
แม่บอกอะไรทิ้งได้ก็ต้องทิ้งไม่จำเป็นจริงๆก็ให้หรือบริจาคเค้าไปหมดนะ รีบวิ่งไปบนบ้านหนังสือหายเกลี้ยงไม่เหลือสักเล่มจริงๆ หน้ามืดเลย จำได้ว่าร้องไห้หนักมากใจเสีย ใจมันสลายสุดๆ โวยวายแม่ไปพักนึงก็ตั้งสติ เพราะมีเรื่องปัญหาที่บ้านให้สติหลุดกว่านั้นอีกเยอะ และก็ต้องจำใจยอมรับ ตอนนั้นที่ควรทำคือต้องเข้าใจสภาวะที่บ้านตอนนั้นให้ได้ และปลง ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงหนังสือพวกนั้นอยู่เลย
มาถึงเรื่องหัวข้อกระทู้หลังจากเกริ่นมาซะยาวเหยียดขอบคุณนะที่อ่านกันถึงตรงนี้
ก็คือล่าสุดกลับมาติดอ่านหนังสือหนักๆ อีกครั้งเพราะเจอนักเขียนที่มีสำนวนและรสชาติการเขียนที่อร่อย ได้ประโยชน์ ข้อคิดมากมายทั้งเรื่องการใช้ชีวิต จิตวิทยา และธุรกิจ ที่สำคัญบทหนึ่งต้องมีหลุดขำยิ้มไปหัวเราะไป อ่านไปเรื่อยๆแล้วไม่น่าเบื่อ เพลินมาก
รู้ตัวอีกทีจะจบแล้วหรอ? เห้ยยยจะบทสุดท้ายแล้ว ความรู้สึกเดจาวูมาก มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนเด็กเลย ยังไม่อยากให้ถึงบทสุดท้ายเสียดายจัง อยากให้มีต่อไปแบบไม่มีวันจบ เลยเก็บบทสุดท้ายไว้อ่านตอนได้เล่มใหม่มา หรือรอเล่มใหม่วางแผง มีคนบอกว่ามันคล้ายๆกับคนที่เก็บของอร่อยไว้กินคำสุดท้ายในชาม คล้ายๆแหละ
แค่อยากถามว่ามีใครเป็นเหมือนกันไหมอารมณ์แบบนี้ จริงๆมันเป็นความสุขเล็กๆที่เกิดขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้เจอหนังสือและนักเขียนที่ถูกจริตกับเรา มาคุยกันได้นะหนอนหนังสือยุค 90’s บางทีอาจจะมีหนังสือบางเล่มที่เราลืมกันไปแล้วมาขุดกันหน่อยนะ อยากรื้อฟื้น