สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
เป็นลักษณะปกติของสินค้า ในตลาดสินค้าแฟชั่นครับ
นอกจากปกติมีต้นทุนค่าวิจัยจริงบ้างรองรับแล้ว (มีกลิ่นแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาบ้าง เป็นระยะ และคุณภาพการติดทน ก็ต่างกับน้ำหอมฉีดลงขวดเอง และมีกลิ่นเอกลักษณ์ ที่คนเคยเกี่ยวข้องกับน้ำหอมบ้าง ได้กลิ่น จะเดาได้ใกล้เคียง)
การเป็นสินค้าแฟชั่นยังมีเรื่องค่าการตลาด และค่าพรีเมี่ยมบวกเพิ่มเข้าไปจริงๆ
ที่ผู้ขายประเมินแล้วว่าลูกค้าต้องมีกำลังซื้อ และเต็มใจจะซื้อ
จึงเกิดกิจกรรม สนับสนุนการตลาดด้วย ในเงินไปทั้งโฆษณาปกติ ใช้สร้างแบรนด์ เป็น sponsor ร่วม
งานเดินแฟชั่นก็บ้าง พยายามให้โลโก้ตัวเองไปโผล่บนของใช้ทั่วไปบ้าง หรืออะไรก็ตามที่เป็น life style ยกระดับมูลค่าแบรนด์ ให้คนรู้สึกว่ามีค่าในตัวเอง
หลายกรกณี คนไม่ใช้น้ำหอม ก็ใช้ด้วย เป็นโฆษณาเคลื่อนที่ให้ brand โดยไม่รู้สึกถูกเป็นเครื่องมือ แต่ตรงข้าม ว่าดูดีมีรสนิยม อย่างเช่น เสิ้อผ้า หมวก แว่น ... บางราย ธุรกิจแฟชั่นจริงๆ กระเป๋านี่ขายเป็นล่ำเป็นสัน เจ้าของเดียวกัน ถือว่าลูกค้า Segment ตลาดเดียวกัน กระป๋ากับน้ำหอม ยี่ห้อสนับสุนซึ่งกันและกัน
เรียกว่าสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างท่านข้างบนว่ากันด้วยก็ได้ตามที่หลายท่านตั้งข้อสังเกตไว้
การตั้งค่าแยกประเภทรหัสภาษีของทางการศุลกากรในหลายประเทศส่วนใหญ่ จึงเก็บแบบ "ของฟุ่มเฟือย" แยกออกจริงๆ เป็นหมวดหมู่ต่างกับของใช้ดำเนินชีวิตปกติ
แต่คำว่า "ฟุ่มเฟือย" ไม่ได้ออกมาลักษณะตำหนิเสมอไป
บ่อยครั้งในการตลาด สิ่งที่แลกเปลี่ยนได้กลับมากับสิ่งที่จ่ายไป เป็นการใช้สินค้า ที่ดำนินชีวิต life style ของกลุ่มคนที่มีกำลังจ่าย
ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มคนเหล่าจริงอยู่แล้ว เพราะพ่อแม่รวยหรือมีคนสนับสนุนทางกรเงิน หรือคนอีกกลุ่มนั้นใครจะว่าอวดก็เถอะ ก็มีคนจำนวนมาก กำลังทำงานหาเงินสู้ อยากยกฐานะตัวเองไปอีกขั้น
เลยใช้แบรนด์เป็นเครื่องมือในการทำงาน การเข้าสังคม หรืออาจเป็นแรงบันดาลใจไปให้ถึงฐานะทางสังคม เป็นองค์ประกอบหนึ่ง เป็นการลงทุนของชีวิตด้านหนึ่ง ไม่ใช่แค่ใช้ๆ งั้นๆ หรืออวด แต่เป็นการรู้จักการใช้เครื่องมือประกอบ ที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมา เป้นเครื่องมือเสริมช่วยในการสร้างตัวเอง
แล้วแต่ใครจะใช้เป็นเครื่องมืออะไร อาจไม่เหมือนกัน ในแต่ละกลุ่มคน จึงมีราคาออกมาหลายราคา เรียกว่า Segmentation จัดลูกค้าออกมาเป็นกลุ่มๆ แบ่งราคาต่างๆ กัน บางทีก็เป็นแบรนด์ย่อยลงไป ไม่ให้เสียแบรนด์เดิมที่บวกค่าพรีเมี่ยมสูงชลูด เพื่อคนกำลังจ่ายน้อยลงอีกขั้นเต็มใจจ่าย นักการตลาดก็ประดิษฐ์มาอีกราคาอีกขั้นถัดลงไป
นอกจากปกติมีต้นทุนค่าวิจัยจริงบ้างรองรับแล้ว (มีกลิ่นแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาบ้าง เป็นระยะ และคุณภาพการติดทน ก็ต่างกับน้ำหอมฉีดลงขวดเอง และมีกลิ่นเอกลักษณ์ ที่คนเคยเกี่ยวข้องกับน้ำหอมบ้าง ได้กลิ่น จะเดาได้ใกล้เคียง)
การเป็นสินค้าแฟชั่นยังมีเรื่องค่าการตลาด และค่าพรีเมี่ยมบวกเพิ่มเข้าไปจริงๆ
ที่ผู้ขายประเมินแล้วว่าลูกค้าต้องมีกำลังซื้อ และเต็มใจจะซื้อ
จึงเกิดกิจกรรม สนับสนุนการตลาดด้วย ในเงินไปทั้งโฆษณาปกติ ใช้สร้างแบรนด์ เป็น sponsor ร่วม
งานเดินแฟชั่นก็บ้าง พยายามให้โลโก้ตัวเองไปโผล่บนของใช้ทั่วไปบ้าง หรืออะไรก็ตามที่เป็น life style ยกระดับมูลค่าแบรนด์ ให้คนรู้สึกว่ามีค่าในตัวเอง
หลายกรกณี คนไม่ใช้น้ำหอม ก็ใช้ด้วย เป็นโฆษณาเคลื่อนที่ให้ brand โดยไม่รู้สึกถูกเป็นเครื่องมือ แต่ตรงข้าม ว่าดูดีมีรสนิยม อย่างเช่น เสิ้อผ้า หมวก แว่น ... บางราย ธุรกิจแฟชั่นจริงๆ กระเป๋านี่ขายเป็นล่ำเป็นสัน เจ้าของเดียวกัน ถือว่าลูกค้า Segment ตลาดเดียวกัน กระป๋ากับน้ำหอม ยี่ห้อสนับสุนซึ่งกันและกัน
เรียกว่าสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างท่านข้างบนว่ากันด้วยก็ได้ตามที่หลายท่านตั้งข้อสังเกตไว้
การตั้งค่าแยกประเภทรหัสภาษีของทางการศุลกากรในหลายประเทศส่วนใหญ่ จึงเก็บแบบ "ของฟุ่มเฟือย" แยกออกจริงๆ เป็นหมวดหมู่ต่างกับของใช้ดำเนินชีวิตปกติ
แต่คำว่า "ฟุ่มเฟือย" ไม่ได้ออกมาลักษณะตำหนิเสมอไป
บ่อยครั้งในการตลาด สิ่งที่แลกเปลี่ยนได้กลับมากับสิ่งที่จ่ายไป เป็นการใช้สินค้า ที่ดำนินชีวิต life style ของกลุ่มคนที่มีกำลังจ่าย
ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มคนเหล่าจริงอยู่แล้ว เพราะพ่อแม่รวยหรือมีคนสนับสนุนทางกรเงิน หรือคนอีกกลุ่มนั้นใครจะว่าอวดก็เถอะ ก็มีคนจำนวนมาก กำลังทำงานหาเงินสู้ อยากยกฐานะตัวเองไปอีกขั้น
เลยใช้แบรนด์เป็นเครื่องมือในการทำงาน การเข้าสังคม หรืออาจเป็นแรงบันดาลใจไปให้ถึงฐานะทางสังคม เป็นองค์ประกอบหนึ่ง เป็นการลงทุนของชีวิตด้านหนึ่ง ไม่ใช่แค่ใช้ๆ งั้นๆ หรืออวด แต่เป็นการรู้จักการใช้เครื่องมือประกอบ ที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมา เป้นเครื่องมือเสริมช่วยในการสร้างตัวเอง
แล้วแต่ใครจะใช้เป็นเครื่องมืออะไร อาจไม่เหมือนกัน ในแต่ละกลุ่มคน จึงมีราคาออกมาหลายราคา เรียกว่า Segmentation จัดลูกค้าออกมาเป็นกลุ่มๆ แบ่งราคาต่างๆ กัน บางทีก็เป็นแบรนด์ย่อยลงไป ไม่ให้เสียแบรนด์เดิมที่บวกค่าพรีเมี่ยมสูงชลูด เพื่อคนกำลังจ่ายน้อยลงอีกขั้นเต็มใจจ่าย นักการตลาดก็ประดิษฐ์มาอีกราคาอีกขั้นถัดลงไป
แสดงความคิดเห็น
ทำไมน้ำหอมถึงมีราคาแพงมาก
เพื่อนซื้อ Dior กับ cc OO มาให้เป็นของขวัญวันเกิดเห็นราคาสะดุ้งโหยง ม้วนหน้า ตีลังกากลางบ้านเลย
ปกติใช้ Exit ,Axeที่ขายใน 7-11 ขวดละ 39 บาท หรือเต็มที่ 79 บาท
แต่ยอมรับว่า Dior กับ ccoo หอมติดนานจริงๆ ฉีดแค่ทีเดียวหอมยาวนานเช้า จรดค่ำเลย