สวัสดีครับ
ตั้งแต่ทำงาน เปลี่ยนงานมาประมาณ 5 บริษัท บริษัทที่ 4 อยู่นานสุดเกือบ 5 ปี
แต่คิดถึงบ้านเลยหางานใหม่ เพราะตั้งแต่เรียนจบก็พลัดถิ่นไปทำงานไกลบ้านตลอด 6 ปี
ย้ายมาเข้าบ.ล่าสุดเพราะใกล้บ้าน ได้ไม่กี่เดือนแล้วถูกบีบ+สมัครใจลาออกมา
ซึ่งเรื่องราวและสาเหตุ ผมยกให้เป็นบริษัทที่ห่วยที่สุดที่เคยเจอมาเลยครับ
ผมทำงานตำแหน่งเซลส์ เรื่องที่ว่าแย่คือ (ยาวนะ ขอบคุณที่อ่านครับ)
1.เงินเดือนน้อย(น้อยกว่าที่เก่า 10% และน้อยกว่าที่เรียก 25% )
**จากข้อ 1 ผมลองสำรวจเพื่อนร่วมงาน (คุยเรื่องเงินเดือนเป็นเรื่องไม่ดี แต่ตอนนั้นจะลาออกแล้วเลยคุยกันกับแนวร่วม)
คำตอบคือเงินเดือนผมเยอะมากแล้ว ซึ่งผมแบบห๊ะ! บ้าบอมาก ตลกแล้ว
คำบอกเล่าคือ พวกเก่งๆเค้าก็ลาออกหนีหมดไปแล้ว ไม่ก็ที่เหลืออยู่ตอนนี้กำลังกำลังหางานใหม่กันให้ควัก
2.ค่าคอมฯไม่มี แต่ให้เป็น incentive ซึ่งเกณฑ์ที่ตั้งนี่แบบไม่มีทางเป็นไปได้เลย
**ถ้ารู้ตอนสัมภาษณ์ว่าโครงสร้างและความเป็นมา เป็นยังไง จะไม่เข้ามาทำครับ จริงๆเลย
ไม่สามารถ แจงรายละเอียดได้ จะเป็นการระบุถึงระเบียบบริษัทมากไปเกินไป
แต่สรุปคร่าวๆ ทีมนึงขายเป็น 10 ล้าน/ด. แต่ได้คอมกันคนละ 2000/ด. <<< ขายทำเขืออะไรครับ 2000
เซลส์ทั่วไป ถ้าขายกันดีๆปังๆ บางเดือนรับเป็นแสน หลายแสน (หลักแสนผมก็เคยได้)
ถ้าโคตรปังโปรดักส์ดี ฝีมือเทพจัด หลักล้านก็มี (เคยฟังเค้าเล่าอยากได้บ้าง 555)
3.สวัสดิการแย่ พักร้อนน้อย แถมดองจำนวนวัน 3 ปีขึ้นทีนึง และทำงาน 6 วัน
วันเสาร์ก็เหมือนมานั่งเล่น ซึ่งบางแผนกครึ่งบ่ายของทุกวันก็ นั่งเล่นอยู่แล้ว เหอะๆ ฮะๆ (กลอกตาบน)
ทำ 5 วันแล้วกระชับความเข้มข้นในการทำงานดีกว่าไหม ประเทศเจริญแล้วเค้าเริ่มทดลอง 4 วันกันแล้วด้วยซ้ำ
4.โบนัสให้เป็นวัน คือให้ไม่ถึงเดือน! คุณพระ (อันนี้ก็เพิ่งรู้ตอนเข้ามาทำแล้ว)
จากลองถามคนที่อยู่มา 20 ปี ก็ไม่ได้มีช่วงรุ่งเรืองแต่อย่างใดนะครับ เป็นแบบนี้ล่ะมา 20 ปีแล้ว
5.ค่าน้ำมัน อันนี้ Rate ดีอยู่ เหมือนจะเป็นรายได้หลักของเซลส์ที่นี่ คือทำตัวเป็น grab ครับ ขับรถทุกวัน วันละ 70-300 โล
เพื่อเอาค่าน้ำมัน ไปหาลูกค้าจริงไม่จริงไม่รู้ (บางคนบอกไปหน้าบ.ลูกค้าแล้วกลับเลยก็มี)
เสี่ยงตายทุกวัน เพื่อขับรถแลกเงิน แบบนี้ออกไปขับแทกซี่ ขับ Grab หรือขับรถส่งของก็ไม่ต่างกัน ได้เงินเยอะกว่าด้วย
ผิดวัตถุประสงค์การทำเซลส์มาก นี่ก็เปนอีกข้อที่รับไม่ได้ เพราะไม่ได้ใช่กลยุทธการขายอะไรเลย
**จากข้อ5 เซลส์ ที่นี่ไม่อยากเรียกว่าเซลส์เลยด้วยซ้ำ เซลส์จริงๆ รับความเป็นอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอก แต่ดูจาก
อัตราการจ้างที่บ.จ่ายแล้ว ก็ไม่แปลกใจ คำตอบมันอยู่ในคำถามแล้ว บางคนเปิดลูกค้าใหม่ยังไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
6.ที่ตกใจคือ จำนวนพนักงานเยอะกว่าบริษัทเก่า ประมาณ 2-3 เท่า อายุบริษัทพอๆกัน
แต่เลขประจำตัวพนักงานรันมากกว่าที่เก่าถึง 40 เท่า ใช่ครับ 40 เท่าจริงๆ ลองถามคนที่อยู่มาก่อน คำตอบคือ
อยู่กันไม่ทน ลาออกเปลี่ยนหน้ากันบ่อยมาก บางคน แค่หลัก วัน หรือ สัปดาห์ก็ออกแล้ว
***ตามหลักสัจธรรมของคน คุณภาพความเป็นอยู่ของคนกว่า 90% บนโลกใบนี้ เป็นไปตามรายได้ไม่ทางใดก็ทางนึง
ซึ่งความเป็นอยู่ของคนที่นี่ พูดไปก็ว่าดูถูก แต่ก็นั่นหล่ะ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ "ถ้ามีเงิน มีความสามารถ คงไม่อยู่แบบนี้"
ผมบอกตัวเองแล้วว่า ถ้าย้ายงานแล้วขอให้เจอเพื่อนร่วมงานที่ความเป็นอยู่+พื้นฐานดีกว่าเรา ให้เรากระจอกสุดเลยก็ได้
รวมถึงขอให้เจอคนเก่งๆ เยอะๆ เพราะนั่นสะท้อนว่า รายได้เค้าดี ความสามารถเค้าดี บริษัทจ้างแต่คนเก่งๆ มาทำงาน
เราจะต้องพัฒนาไปกับเค้าแน่ๆ แต่แม่มมม... สิ่งที่คิดกับสิ่งที่เจอ คือ หน้ามือ กับ ฝ่าตรีน
คุณภาพชีวิต ดีอยู่คือ เจ้าของบ. ครับ 5555 มันทำให้ผมนึกถึงภาพเสียดสีโลกทุนนิยมภาพนี้เลยนะ

และที่เป็นผลลัพธ์ ของทั้งมวลข้อ 1-6 บริษัท ทำให้บริษัทขาดคนมีฝีมือ และกำลังอยู่ในช่วงขาลงครับ
ดูผลประกอบการย้อนหลัง คือ ยอดขายตกหลายปีติดต่อกัน และปีล่าสุด เริ่มขาดทุนแล้วครับ
ที่โคตรตลกเลยคือ สเกลบริษัทใหญ่โต ทุนจดทะเบียนเยอะกว่าบริษัทเดิมผม เป็น 10 เท่า (ทุนจดทะเบียน 9 หลัก)
แต่ผลประกอบการขาดทุนไม่พอ ยอดขายก็ย่ำแย่ชนิดที่ว่าตกมาจะเท่าทุนจดทะเบียนอยู่แล้ว
**เห็นยอดต่อทีมสูง นึกว่ายอดขายมวลรวมจะเยอะ กลายเป็นว่าน้อยกว่าบ.เก่า 2-3 เท่า บ้าบอมาก**
อยู่ไปไม่กี่เดือนจนใกล้จะถึงตอนที่แตกหัก ก็ค้นพบว่า นอกจากเรื่องพื้นฐานจะแย่ วัฒนธรรมองค์กรก็แย่ไปด้วย
ผมเกิดคำถามว่า ทำไมอยู่กันแบบนี้ ทำไมถึงทำเหมือนถูกสะกดจิต เหมือนเกาหลีเหนือ ไม่มีอิสระทางความคิด
ประมาณว่า ไม่อร่อย ต้องบอก อร่อย ไม่งั้นอาจเสี่ยงกับสวัสดิภาพความเป็นอยู่ และก็เป็นเรื่องจริง
ผมโดนบีบให้ออก เพราะทอแลไม่เป็น แสดงอะไรออกมาตรงเกินไป
(เทกับข้าวที่ไม่อร่อยทิ้ง กินไม่ได้ โดนเรียกเข้าห้องเย็น บีบออกเลยครับ)
ฝ่ายบุคคลก็มัวแต่ Complain เสริมเรื่องการไหว้ศาลพระภูมิ กับการเดินสายไหว้ทุกโต๊ะทุกเช้า และการยิ้มแย้ม
ผมมาเป็นเซลส์หาลูกค้าหาเงินครับพี่ ไม่ได้มาหาเสียง
"I work for the money, if you need a loyalty please hire a dog"
คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวเลยครับ เพราะคนพวกนี้ Loyalty จนไม่มีเหตุผลเลย
หลังจากเกิดเหตุการณ์ 2 วัน ก็ลาออก.. และผมก็ได้คำตอบเลยว่า อ่อ... มีคนแบบนี้ช่วยปกครองคนอีกที เลยคัดแต่พวกหัวอ่อน
มาอยู่ด้วยกัน ใครที่ท่าจะมีหัวก้าวหน้า หรือไม่อ่อนตามระบบแสนคร่ำครึ ก็จะอยู่ไม่ได้และต้องถูกบีบออก
บริษัท ลดรายจ่ายหลายอย่างเพราะภาวะขาดทุนต่อเนื่อง ถึงขนาดต้องเอาทรัพย์สิน และหนี้สินมาจาระไนให้พนักงานฟัง
เพื่อเรียกความเชื่อมั่น ว่า "เราจะรอด" (คล้ายๆกับว่าไม่ต้องห่วงนะถ้าจะไม่รอดจริงๆ เด๋วขายบ้านขายรถ เอามาต่อชีวิต)
ตลกมาก ทำไมไม่ใช้แนวทางสร้าง Motivate ไม่ใช่มานั่งดราม่า
ออกมาซะได้โล่งใจ แต่ก็นึกแล้วแค้น ว่า สรุปต้องโดนบีบออก เพราะเทกับข้าวทิ้ง กับไม่ไหว้ศาลพระภูมิเนี่ยนะ ตลก Chip lost
เคยเจอบริษัทที่แย่ขนาดนี้กันไหมครับ สำหรับผมมันห่วยกว่าที่ไหนๆ ที่เคยเจอมาเลย
ตั้งแต่ทำงาน เปลี่ยนงานมาประมาณ 5 บริษัท บริษัทที่ 4 อยู่นานสุดเกือบ 5 ปี
แต่คิดถึงบ้านเลยหางานใหม่ เพราะตั้งแต่เรียนจบก็พลัดถิ่นไปทำงานไกลบ้านตลอด 6 ปี
ย้ายมาเข้าบ.ล่าสุดเพราะใกล้บ้าน ได้ไม่กี่เดือนแล้วถูกบีบ+สมัครใจลาออกมา
ซึ่งเรื่องราวและสาเหตุ ผมยกให้เป็นบริษัทที่ห่วยที่สุดที่เคยเจอมาเลยครับ
ผมทำงานตำแหน่งเซลส์ เรื่องที่ว่าแย่คือ (ยาวนะ ขอบคุณที่อ่านครับ)
1.เงินเดือนน้อย(น้อยกว่าที่เก่า 10% และน้อยกว่าที่เรียก 25% )
**จากข้อ 1 ผมลองสำรวจเพื่อนร่วมงาน (คุยเรื่องเงินเดือนเป็นเรื่องไม่ดี แต่ตอนนั้นจะลาออกแล้วเลยคุยกันกับแนวร่วม)
คำตอบคือเงินเดือนผมเยอะมากแล้ว ซึ่งผมแบบห๊ะ! บ้าบอมาก ตลกแล้ว
คำบอกเล่าคือ พวกเก่งๆเค้าก็ลาออกหนีหมดไปแล้ว ไม่ก็ที่เหลืออยู่ตอนนี้กำลังกำลังหางานใหม่กันให้ควัก
2.ค่าคอมฯไม่มี แต่ให้เป็น incentive ซึ่งเกณฑ์ที่ตั้งนี่แบบไม่มีทางเป็นไปได้เลย
**ถ้ารู้ตอนสัมภาษณ์ว่าโครงสร้างและความเป็นมา เป็นยังไง จะไม่เข้ามาทำครับ จริงๆเลย
ไม่สามารถ แจงรายละเอียดได้ จะเป็นการระบุถึงระเบียบบริษัทมากไปเกินไป
แต่สรุปคร่าวๆ ทีมนึงขายเป็น 10 ล้าน/ด. แต่ได้คอมกันคนละ 2000/ด. <<< ขายทำเขืออะไรครับ 2000
เซลส์ทั่วไป ถ้าขายกันดีๆปังๆ บางเดือนรับเป็นแสน หลายแสน (หลักแสนผมก็เคยได้)
ถ้าโคตรปังโปรดักส์ดี ฝีมือเทพจัด หลักล้านก็มี (เคยฟังเค้าเล่าอยากได้บ้าง 555)
3.สวัสดิการแย่ พักร้อนน้อย แถมดองจำนวนวัน 3 ปีขึ้นทีนึง และทำงาน 6 วัน
วันเสาร์ก็เหมือนมานั่งเล่น ซึ่งบางแผนกครึ่งบ่ายของทุกวันก็ นั่งเล่นอยู่แล้ว เหอะๆ ฮะๆ (กลอกตาบน)
ทำ 5 วันแล้วกระชับความเข้มข้นในการทำงานดีกว่าไหม ประเทศเจริญแล้วเค้าเริ่มทดลอง 4 วันกันแล้วด้วยซ้ำ
4.โบนัสให้เป็นวัน คือให้ไม่ถึงเดือน! คุณพระ (อันนี้ก็เพิ่งรู้ตอนเข้ามาทำแล้ว)
จากลองถามคนที่อยู่มา 20 ปี ก็ไม่ได้มีช่วงรุ่งเรืองแต่อย่างใดนะครับ เป็นแบบนี้ล่ะมา 20 ปีแล้ว
5.ค่าน้ำมัน อันนี้ Rate ดีอยู่ เหมือนจะเป็นรายได้หลักของเซลส์ที่นี่ คือทำตัวเป็น grab ครับ ขับรถทุกวัน วันละ 70-300 โล
เพื่อเอาค่าน้ำมัน ไปหาลูกค้าจริงไม่จริงไม่รู้ (บางคนบอกไปหน้าบ.ลูกค้าแล้วกลับเลยก็มี)
เสี่ยงตายทุกวัน เพื่อขับรถแลกเงิน แบบนี้ออกไปขับแทกซี่ ขับ Grab หรือขับรถส่งของก็ไม่ต่างกัน ได้เงินเยอะกว่าด้วย
ผิดวัตถุประสงค์การทำเซลส์มาก นี่ก็เปนอีกข้อที่รับไม่ได้ เพราะไม่ได้ใช่กลยุทธการขายอะไรเลย
**จากข้อ5 เซลส์ ที่นี่ไม่อยากเรียกว่าเซลส์เลยด้วยซ้ำ เซลส์จริงๆ รับความเป็นอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอก แต่ดูจาก
อัตราการจ้างที่บ.จ่ายแล้ว ก็ไม่แปลกใจ คำตอบมันอยู่ในคำถามแล้ว บางคนเปิดลูกค้าใหม่ยังไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
6.ที่ตกใจคือ จำนวนพนักงานเยอะกว่าบริษัทเก่า ประมาณ 2-3 เท่า อายุบริษัทพอๆกัน
แต่เลขประจำตัวพนักงานรันมากกว่าที่เก่าถึง 40 เท่า ใช่ครับ 40 เท่าจริงๆ ลองถามคนที่อยู่มาก่อน คำตอบคือ
อยู่กันไม่ทน ลาออกเปลี่ยนหน้ากันบ่อยมาก บางคน แค่หลัก วัน หรือ สัปดาห์ก็ออกแล้ว
***ตามหลักสัจธรรมของคน คุณภาพความเป็นอยู่ของคนกว่า 90% บนโลกใบนี้ เป็นไปตามรายได้ไม่ทางใดก็ทางนึง
ซึ่งความเป็นอยู่ของคนที่นี่ พูดไปก็ว่าดูถูก แต่ก็นั่นหล่ะ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ "ถ้ามีเงิน มีความสามารถ คงไม่อยู่แบบนี้"
ผมบอกตัวเองแล้วว่า ถ้าย้ายงานแล้วขอให้เจอเพื่อนร่วมงานที่ความเป็นอยู่+พื้นฐานดีกว่าเรา ให้เรากระจอกสุดเลยก็ได้
รวมถึงขอให้เจอคนเก่งๆ เยอะๆ เพราะนั่นสะท้อนว่า รายได้เค้าดี ความสามารถเค้าดี บริษัทจ้างแต่คนเก่งๆ มาทำงาน
เราจะต้องพัฒนาไปกับเค้าแน่ๆ แต่แม่มมม... สิ่งที่คิดกับสิ่งที่เจอ คือ หน้ามือ กับ ฝ่าตรีน
คุณภาพชีวิต ดีอยู่คือ เจ้าของบ. ครับ 5555 มันทำให้ผมนึกถึงภาพเสียดสีโลกทุนนิยมภาพนี้เลยนะ
และที่เป็นผลลัพธ์ ของทั้งมวลข้อ 1-6 บริษัท ทำให้บริษัทขาดคนมีฝีมือ และกำลังอยู่ในช่วงขาลงครับ
ดูผลประกอบการย้อนหลัง คือ ยอดขายตกหลายปีติดต่อกัน และปีล่าสุด เริ่มขาดทุนแล้วครับ
ที่โคตรตลกเลยคือ สเกลบริษัทใหญ่โต ทุนจดทะเบียนเยอะกว่าบริษัทเดิมผม เป็น 10 เท่า (ทุนจดทะเบียน 9 หลัก)
แต่ผลประกอบการขาดทุนไม่พอ ยอดขายก็ย่ำแย่ชนิดที่ว่าตกมาจะเท่าทุนจดทะเบียนอยู่แล้ว
**เห็นยอดต่อทีมสูง นึกว่ายอดขายมวลรวมจะเยอะ กลายเป็นว่าน้อยกว่าบ.เก่า 2-3 เท่า บ้าบอมาก**
อยู่ไปไม่กี่เดือนจนใกล้จะถึงตอนที่แตกหัก ก็ค้นพบว่า นอกจากเรื่องพื้นฐานจะแย่ วัฒนธรรมองค์กรก็แย่ไปด้วย
ผมเกิดคำถามว่า ทำไมอยู่กันแบบนี้ ทำไมถึงทำเหมือนถูกสะกดจิต เหมือนเกาหลีเหนือ ไม่มีอิสระทางความคิด
ประมาณว่า ไม่อร่อย ต้องบอก อร่อย ไม่งั้นอาจเสี่ยงกับสวัสดิภาพความเป็นอยู่ และก็เป็นเรื่องจริง
ผมโดนบีบให้ออก เพราะทอแลไม่เป็น แสดงอะไรออกมาตรงเกินไป
(เทกับข้าวที่ไม่อร่อยทิ้ง กินไม่ได้ โดนเรียกเข้าห้องเย็น บีบออกเลยครับ)
ฝ่ายบุคคลก็มัวแต่ Complain เสริมเรื่องการไหว้ศาลพระภูมิ กับการเดินสายไหว้ทุกโต๊ะทุกเช้า และการยิ้มแย้ม
ผมมาเป็นเซลส์หาลูกค้าหาเงินครับพี่ ไม่ได้มาหาเสียง
"I work for the money, if you need a loyalty please hire a dog"
คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวเลยครับ เพราะคนพวกนี้ Loyalty จนไม่มีเหตุผลเลย
หลังจากเกิดเหตุการณ์ 2 วัน ก็ลาออก.. และผมก็ได้คำตอบเลยว่า อ่อ... มีคนแบบนี้ช่วยปกครองคนอีกที เลยคัดแต่พวกหัวอ่อน
มาอยู่ด้วยกัน ใครที่ท่าจะมีหัวก้าวหน้า หรือไม่อ่อนตามระบบแสนคร่ำครึ ก็จะอยู่ไม่ได้และต้องถูกบีบออก
บริษัท ลดรายจ่ายหลายอย่างเพราะภาวะขาดทุนต่อเนื่อง ถึงขนาดต้องเอาทรัพย์สิน และหนี้สินมาจาระไนให้พนักงานฟัง
เพื่อเรียกความเชื่อมั่น ว่า "เราจะรอด" (คล้ายๆกับว่าไม่ต้องห่วงนะถ้าจะไม่รอดจริงๆ เด๋วขายบ้านขายรถ เอามาต่อชีวิต)
ตลกมาก ทำไมไม่ใช้แนวทางสร้าง Motivate ไม่ใช่มานั่งดราม่า
ออกมาซะได้โล่งใจ แต่ก็นึกแล้วแค้น ว่า สรุปต้องโดนบีบออก เพราะเทกับข้าวทิ้ง กับไม่ไหว้ศาลพระภูมิเนี่ยนะ ตลก Chip lost