[CR] แมวรีวิวด้วยความรัก ไทบ้านXBNK48 จากใจผู้สาวคนนี้

** คำเตือน สปอยล์ นิดหน่อย **

วันนี้เป็นวันแรกที่ "ไทบ้านxBNK48 จากใจผู้สาวคนนี้" เข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ ก็เชื่อว่าหลายเพจหลายคนที่ได้ดู ก็คงเริ่มเขียนความเห็นต่างๆเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้กันใหญ่ ตามหลังกลุ่มคนที่ดูจากรอบสื่อมวลชนมาก่อนหน้ามาแล้ว

สิ่งที่แมวตั้งใจมาคุยวันนี้ จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจโฟกัสตัวหนังเป็นหลัก แต่อยากจะชวนคุยเรื่องสังคมการรีวิวทุกว้นนี้แหละ หลังจากไปอ่านกระทู้ หรือโพสต์ต่างๆ ก็มักพบมุมมองต่อการรีวิวแตกต่างกันไป บางคนบอกว่าจะไม่เชื่อรีวิวใดๆอยากพิสูจน์ด้วยตัวเอง บางคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวผู้รีวิวว่าเชื่อถือได้มากขนาดไหน บางคนตั้งคำถามว่าเราควรอ่านรีวิวกันหรือไม่ และบางทีก็เลยเถิดไปถึงขั้นมองว่าการ พูดข้อเสียของหนังมาจากความไม่หวังดีไปเลย

สำหรับแมวเมื่อพูดถึงเรื่องต่างๆในสังคม แมวมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า มันยากที่จะมีวลีสั้นๆ หรือถ้อยคำใดใช้นิยามทุกสิ่งได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ควรมีสิ่งไหนถูกปฏิเสธ หรือกระทั่งเชิดชูว่าเป็นความจริงแท้ โดยไม่ได้ลงไปมองรายละเอียด เอาง่ายๆเราเคยเห็นประโยคที่ว่า ศิลปะไม่มีถูกผิด หรือหนังดีไม่ดีแล้วแต่คนมอง ฯลฯ สำหรับแมวแมวคิดว่า การใช้ถ้อยคำเหล่านี้อย่างไม่ระมัดระวังมันยากจะทำให้เกิดสังคมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ดีขึ้นมาได้

จริงอยู่ว่าศิลปะแขนงใดๆก็ตาม ความสุนทรีย์มันอาจจะเป็นเรื่องแล้วแต่คนมอง แต่อย่างน้อยๆมันก็ต้องมีพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับกันอยู่ ยกมาเฉพาะเรื่องหนัง แน่นอนการที่คุณจะชอบหรือไม่ชอบหนังเรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนบุคคล และไม่ควรจะมีใครไปละเมิดสิทธิ์แห่งความชอบนี้ได้ แต่ถ้ามีการวิจารณ์ไปถึงคุณค่า หรือความผิดถูกในศาสตร์ของภาพยนตร์แล้ว ตรงนี้ก็ควรใช้องค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับเป็นสากลมาจับ จะไปมองว่าแล้วแต่คนมองก็คงไม่ใช่ สรุปคืออย่างน้อยๆไม่ใช่คุณจะหยิบกล้องไปถ่ายอะไรมั่วๆแล้วมาบอกว่ามันเป็นภาพยนตร์ได้ โดยละเลยศาสตร์ของการแสดง การเล่าเรื่อง และงานภาพ รวมไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ

จากย่อหน้าบนแมวจึงอยากให้เพื่อนๆที่ได้อ่านรีวิวในโซเชี่ยลจากนี้ไป ลองจำแนกสิ่งที่ได้อ่าน ว่านั้นคืออะไร ระหว่าง ...

- การแสดงความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ บอกเล่าเรื่องราวที่ได้ดูมา ซึ่งในที่นี่จะหมายถึง "การรีวิว"

- การชี้ข้อดี ข้อด้อย ของตัวงาน ตามแนวทางของศาสตร์ภาพยนตร์ ซึ่งจะหมายถึง "การวิจารณ์"

เมื่อเราสามารแยกแยะได้ว่าเรากำลังอ่านสิ่งใดอยู่ เราก็จะรู้เท่าทันการจัดการความคิดความรู้สึกของเรากับสิ่งนั้น เช่นมีคนบอกว่า ไม่ชอบพล็อตเรื่องแนวนี้ ไม่ชอบหน้าจ๊อบซัง ไม่ชอบตอนจบ ฯลฯ เราจะถือว่านั่นคือรสนิยมความชอบส่วนบุคคล บางคนอาจใช้คำว่า จริต นั่นแปลว่า ต่อให้เค้ารู้สึกไม่ดีหรือไม่ชอบขนาดไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนั้นจะถูกตีคุณค่ามากน้อยไปตามความรู้สึกส่วนตัวของเขา

ในอีกด้าน หากเป็นการวิจารณ์ เช่นพูดถึงบทหนัง การกำกับภาพ หรือการแสดง ไม่จำเป็นว่าผู้วิจารณ์ จะต้องมีเครดิตในวงการภาพยนตร์ บทวิจารณ์เหล่านั้นจะสามารถพิสูจน์ตัวมันเอง ถ้ามันสมเหตุสมผล และสามารถอ้างอิงกับความรู้ด้านภาพยนตร์ได้ เช่นมีคนบอกว่าบทไม่ดีๆ เวลาพูดว่าบทไม่ดีมันพูดง่าย แต่ผู้พูดสามารถแยกแยะได้หรือไม่ว่าบทไม่ดีๆที่ว่าคืออะไร อะไรคือบท บางครั้งพออ่านๆไป อ้าว ที่เค้าพูดมันหมายถึงพล๊อต บางทีเป็นสตอรี่ บางทีหมายถึงไดอะล็อก หรือเค้าอาจจะไม่ชอบการลำดับภาพ แต่พอมาพูดรวมๆว่าบทไม่ดี ก็คงไม่ใช่การวิจารณ์ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ก็ถือว่าไม่ใช่บทวิจารณ์ที่มีมาตรฐานก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

รวมถึงถ้าจะมองไปไกลกว่านั้นพวกเราซึ่งเป็นแฟนคลับของน้องๆกันเอง แม้ว่าจะอ่านพบรีวิวหรือบทวิจารณ์ที่ไม่ชอบตัวหนัง ข้อบกพร่องของหนังอย่างไร หรือแม้แต่บอกว่าน้องเล่นไม่ดี ไม่มีเสน่ห์ ก็ไม่ได้แปลว่าผู้เขียนเหล่านั้นจะต้องการให้หนังประสบความล้มเหลว หรือไม่ต้องการให้คนไปดู ตรงข้ามเขาเหล่านั้นอาจจะกำลังเชียร์ด้วยความเป็นห่วง อยากให้หนังมีคุณภาพที่ดีพอที่จะทำให้ มีคนชอบในวงกว้าง เชียร์ให้หนังทำรายได้เยอะๆ เพราะนั้นมันย่อมเป็นผลดีกับน้องๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนคลับอย่างพวกเราคาดหวังไม่ใช่หรือ ตรงจุดนี้ก็อยากให้มองว่า การวิจารณ์ด้วยเจตนาที่ดีนั้นมีอยู่จริงๆนะ

จากนี้ไปก็อยากให้เพื่อนๆ เวลาอ่านรีวิวหรือบทวิจารณ์ใดๆลองจำแนก วิเคราะห์ รู้เท่าทันความคิดตัวเองและรู้จักประเมินสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ เชื่อว่าจะทำให้อ่านมันได้อย่างสนุกและมีความสุขขึ้นแน่นอน

เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ถ้าจะถามว่าแมวคิดยังไงกับ ภาพยนตร์เรื่อง "ไทบ้านxBNK48 จากใจผู้สาวคนนี้" บอกก่อนว่าตั้งแต่แรกที่รู้ว่ามีโปรเจกนี้ แมวก็เชียร์ไปพร้อมๆกับอยากรู้ว่าทีมไทบ้านจะใช้วิธีไหนในการนำ BNK แทรกเข้ามาในสตอรี่หลักที่มีไทม์ไลน์อยู่แล้ว และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คงไม่พ้นให้มันเป็นเส้นเรื่องพิเศษ ที่พากลุ่มน้องๆโคจรมาสัมผัสกับจักรวาลไทบ้าน อย่างผิวเผิน โดยไม่มีอิธิพลหรือกระทบกับเส้นเรื่องปกติ คือจบแล้วก็จบกันไป ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอะไรอีกใน ไทบ้านภาคต่อๆไป

หลังจากได้ดูหนังไปรอบหนึ่งเมื่อวันที่ 20 ถ้าให้บอกตรงๆก็คือ รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ซึ่งแมวมาพิจารณาตัวเองจนแน่ใจว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับความชอบไม่ชอบ แต่เป็นความเสียดายในตัวงานล้วนๆ เริ่มด้วยเรื่องธรรมชาติของไทบ้าน จุดที่แข็งแรงที่สุดของไทบ้านภาคก่อนๆคือ เรื่องราวที่เข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อน เสน่ห์ในความเป็นธรรมชาติของนักแสดง งานภาพที่ดี และการปั้นซีนดราม่าที่ค่อนข้างแม่นยำ(เป็นซีนๆไป) แต่จุดด้อยที่มีมาตลอดในทุกภาคคือ การเล่าเรื่องที่ไม่สมูท การลำดับเรื่องที่ไม่ต่อเนื่องและมีสัดส่วนแปลกๆ ซึ่งที่ผ่านมาจุดด้อยเหล่านี้จะถูกความง่ายของเนื้อเรื่องรวมถึงสเน่ห์ของตัวละครกลบจนมิด นั่นทำให้เราดูไทบ้านแล้วรู้สึกสนุกกับมันมาโดยตลอด

แต่ความเปลี่ยนแปลงมันมาเกิดขึ้นตอนโปรเจกไทบ้านxBNK48 ที่พาร์ทของตัว BNK ต้องเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างน้องๆ BNK (แสดงโดยน้องๆ BNK) กับครูก้อง ห้วยไร่ (แสดงโดยก้อง ห้วยไร่) ไปพร้อมๆกับการนำพาองค์กรฝ่าวิกฤติทั้งทางธุรกิจและบริษัทต้นสังกัดของทีมงาน BNK48 (นำโดยจ๊อบซัง) ซึ่งสตอรี่นี้ต้องพึ่งพาลำดับการเล่าเรื่องที่ดี ซึ่งเมื่อมันเป็นจุดด้อยของไทบ้านมาตลอด มันก็กลายเป็นแผลใหญ่ขึ้นมาในภาคนี้เอง

จะลองยกปัญหาที่พบเจอในเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่างสักสองสามข้อเช่น

การที่น้องๆ BNK จะต้องมีซีนที่รวมเป็นกลุ่มกันเสมอ เข้าใจว่ามีหลายครั้งที่น้องๆจะต้องแสดงโดยที่มีบทวางไว้คร่าวๆพูดไดอะล็อกกันเอง (ไม่แน่ใจว่าแอคติ้งโคชจะสามารถดูแลน้องๆได้ครบทั้ง 8 คนหรือไม่ หรือแมวก็ไม่แน่ใจว่าน้องๆมีแอคติ้งโคชรึเปล่า) ในกรณีที่ซีนนั้นเป็นซีนที่ต้องสร้างสถานการณ์ไต่ระดับขึ้นไปถึงจุดดราม่า เช่นตอนซ้อมร้องเพลงแล้วครูก้องโกรธ การที่น้องๆหลายคนเล่นเกินพอดี มันทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าน้องได้ตั้งใจกันจริงๆ มันดูเป็นการแสดง เหมือนน้องๆกำลัง "แกล้ง" ทำเละ เพื่อพาไปถึงจุดดราม่า และจุดนั้นจะทำให้ผู้ชมหลุดจากตัวหนัง กลายเป็นดูน้องๆถ่ายทำแสดงหนังกันอยู่นอกเซ็ท จนไม่แปลกใจเลยว่าหลังจากฉากนี้ หลายคนที่ดูจะมีคำถามเหมือนๆกันว่า "ทำไมครูก้องต้องไปง้อน้อง" ก็เพราะซีนก่อนหน้ามันไม่ทำงาน มันทำให้คนดูไม่รู้สึกถึงความพยายามของน้อง มันกลายเป็นคนดูส่วนใหญ่รู้สึกว่าน้องๆผิดกันหมด

ข้อต่อมาการที่ตัวละครในพาร์ทของไทบ้านดูเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวาจับต้องได้ มันทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบกับพาร์ทของน้องๆ BNK ยิ่งเราเห็นด้านธรรมชาติในด้านหนึ่งเท่าไหร่ เราก็จะรู้สึกถึงความปั้นแต่งในอีกด้านหนึ่งเท่านั้น ลองยกตัวอย่างฉากพนักงานส่งพัสดุมาส่งบัตรคอนเสิร์ตให้จาลอด ซีนนี้แทบจะปล่อยเล่นยาวๆได้เลยตั้งแต่นั่งคุยกัน บักมืดเล่นอะไรก๊อกแก๊กอยู่ตลอดเวลา พนักงานมาส่งของ ยกล้อออกไป ครูแก้วคุยกับจาลอด ฯลฯ มันดูลื่นไหลดูเพลินไปหมด ซึ่งนี่เป็นจุดเด่นที่มีมาตลอดของไทบ้าน เราแทบจะไม่ได้เห็นซีนลักษณะแบบนี้กับทางฝั่ง BNK เลย และสิ่งที่ขาดไปในฝั่ง BNK คือเราจะเห็นน้องๆรวมกันเป็นก้อนอยู่เสมอ การปฏิสัมพันธ์ของน้องๆในเรื่องจะเป็นแบบกลุ่มแทบตลอดเวลา เช่น น้องๆกับครูก้อง น้องๆกับจ๊อบซัง ฯลฯ แต่น้องๆแต่ละคนแทบจะไม่มีซีนที่ได้ปฏิสัมพันธ์กันเองในระหว่างการฝึกเลย มันยิ่งทำให้น้องดูเป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้เข้าไปใหญ่ คือแมวว่าคนดูยังรู้สึกเข้าถึงน้องๆได้ไม่มากพอนะ คิดเห็นต่างอย่างไรก็บอกได้นะ

นอกจากนี้การเล่าเรื่องที่ไม่สมูทซึ่งมีอยู่ประปรายทั้งเรื่อง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเกิดจากการถ่ายทำที่ไม่ต่อเนื่องหรือปัญหาการตัดต่อที่ได้ข่าวว่าตัดไปเยอะอยู่ มันทำให้สะดุดทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนสถานการณ์หรือพฤติกรรมของตัวละคร เช่น ครูก้องเปลี่ยนจากการรับงานเพื่อหลอกเอาเงินในทีแรก มาเป็นตั้งใจสอนน้องๆขึ้นมาทันทีหน้ามือเป็นหลังมือ (จะบอกว่าเพราะงานไม่ผ่านก็ดูจะเป็นเหตุผลที่เบาบางไป) หรือบักมืดที่ทำเรื่องให้น้องๆเดือนร้อนจนโดนจาลอดด่าขนาดนั้นแต่พอหมดจากซีนนั้น ก็เหมือนไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นเลย มีหลายคนบอกว่าไทบ้านที่ผ่านๆมาก็เป็นแบบนี้แหละก็อยากจะตั้งคำถามเหมือนกันว่าทำไมที่ผ่านๆ ถึงแม้จะรู้สึกถึงปัญหานี้เราก็ดูไทบ้านเรื่องอื่นๆได้อย่างสนุกสนาน แต่พอมาเป็นเรื่องนี้มันดันสะดุดขึ้นมาซะงั้น

นึกขึ้นได้อีกเรื่อง มีหลายคนรู้สึกไม่ชอบช่วงท้ายๆของหนัง แถมบางคนบอกเบื่อหน้าจ๊อบแล้ว ตรงนี้แมวเข้าใจนะ แมวคิดว่าส่วนหนึ่งที่ช่วงท้ายๆของหนังดูไม่ค่อยสนุกเพราะแมวคิดว่า ไดนามิกช่วงนี้มันโคตรจะกะฉึกกะฉักยึกยักๆเกินไป เค้าว่า conflict อะไรถ้ามันเกิดซ้ำๆมันจะกลายเป็นความน่าเบื่อ การที่วง BNK ถูกต้นสังกัดระงับโปรเจกแล้วได้กลับมาทำ แล้วก็ไประงับอีก ช่วงท้ายๆมันเกิดสิ่งเหล่านี้ติดๆกัน ถึงมันจะมีเหตุผลรองรับถูกต้องเข้าใจได้แต่กับทางอารมณ์ มันเป็นการแลนดิ้งที่ไม่ราบรื่นเอาซะเลย แล้วขนาดพวกเราเองรู้ระบบของ 48 Group มีความเข้าใจในความเป็นไปได้ของปัญหาการทำเพลง Original ยังรู้สึกแปลกๆ แล้วคนดูทั่วไปเค้ามาเจอแบบนี้เค้าจะไม่รู้สึกอิหยังวะกันเหรอ เดี๋ยวให้ เดี๋ยวไม่ให้ ดูทาง Boss World 48 เป็นองค์กรที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ซะงั้น อันนี้ก็เป็นความเห็นส่วนตัวนะหรือใครดูแล้วไม่ได้รู้สึกติดขัดก็มาแชร์กันนะ

จริงๆทีแรกว่าจะไม่เขียนอะไรแบบนี้เยอะเพราะกลัวจะเข้าใจผิดว่าหนังมันไม่สนุก คือแมวอยากจะบอกว่าแมวได้รับความสนุกสนานในการดูหนังเรื่องนี้นะ ออกตัวว่าอยากให้แยกกันระหว่างการวิจารณ์จุดบกพร่องของหนังกับความสุขที่ได้รับ หนังเรื่องนี้ทำให้แมวมีความสุข เป็นหนังที่แมวดูไป 2 ครั้งแล้ว และถ้ามีคนชวนแมวก็พร้อมจะไปดูอีกรอบแน่นอน ที่เราอยากมาคุยเพราะคิดว่าเรารักน้องๆ รู้สึกขอบคุณทีมไทบ้าน ที่มาร่วมงานกับน้องๆ การที่น้องๆได้เล่นหนังที่แมสในระดับดีทำให้คนได้รู้จักน้องมากขึ้น ทำไมเราจะไม่รู้สึกดีใจล่ะ ถึงจะเห็นแมวบ่นๆไปบ้างแต่ก็อยากให้ทุกคนไปดูนะ มีเพื่อนๆหลายคนที่ไปดูแล้วสนุกมากๆ ให้ 9/10 รักหนังเรื่องนี้ ร้องไห้กับมัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาโฟกัสกับจุดบกพร่องต่างๆเหล่านี้ ตัวแมวเองพอได้มาดูรอบ 2 ก็ปล่อยวางเรื่องพวกนี้ไป มาเสพความน่ารักของน้องๆ ของครูแก้วและทีมไทบ้าน แมวรู้สึกสนุกขึ้นกว่ารอบแรกเยอะเลยนะ ก็อยากจะบอกว่าไปดูกันเหอะ สนุกแน่นอน

สุดท้าย ถึงตัวหนังมันจะมีปัญหาอย่างที่แมวบ่นๆมา แต่นี่ก็เป็นหนังที่จะเป็นที่จดจำของแมวเรื่องหนึ่งเลยนะ

ถ้าจะถามคะแนนในความเป็นหนัง แมวให้ 6/10

แต่ความสุขที่แมวได้จากมันแมวให้ 8 ให้ 9 เลย ก็อยากจะบอกว่าจงไปดูเหอะ พี่เป้ของเรามีซีนดีๆเยอะและก็ขายของเก่งมากนะ อ่อที่สำคัญการเห็นพี่เป้แสดงแล้วน้ำตาไหลเป็นทาง แมวถือว่ามันมีค่าคุ้มเกินราคาตั๋วไปมากเลยล่ะ (คามิ PUPE ครับ)
ชื่อสินค้า:   ไทบ้านXBNK48 จากใจผู้สาวคนนี้
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่