เมื่อเราไม่อยากมีอาการซึมเศร้าอีกต่อไป by โยบอมมี

สวัสดีค่ะ โยบอมมี เองน้าา ^^
วันนี้เราอยากมาแชร์ประสบการณ์ อาการ ซึมเศร้า (ไม่ใช่โรคนะ) และวิธีที่ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นจนหาย
เพื่อที่อาจจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆหลายคน และ เพื่อให้กำลังใจทุกคน อยากให้รู้ว่าคุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้เจออะไรแบบนี้อยู่คนเดียวนะ *บีบมือ*

มาเริ่มกันเลย
.
.
.
มีอาการตอนไหน

ปกติเราเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว ค่อนข้างวิตกจริตกับทุกเรื่องรอบข้าง ใครทำอะไรนิดหน่อยก็คิดไปหมด
อ่อนแอ สู้ใครไม่เป็น ชอบโดนล้อเรื่องอ้วนด้วย เป็นคนเซนซิทีฟอีก TT แย่ๆๆ
มันเริ่มหนักตอนประมาณ ป.5  จู่ๆเราก็กลายเป็นเด็กเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร ชอบอยู่นิ่งๆ รู้สึกไร้ค่า
ถามตัวเองตลอดเลยว่า เราเกิดมาทำไมอ่ะ คิดเรื่องความตายตลอด ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับ
แต่ไม่เคยคิดทำร้ายตัวเองนะ เราเคยบอกแม่ว่า เราอาจะเป็นโรคซึมเศร้า แม่ไม่เชื่อ แม่ไม่คิดว่าเด็กจะเป็นได้ 
โชคดีที่เราไม่คิดเรื่องทำร้ายตัวเอง ไม่งั้นคงไม่ได้มานั่งตั้งกระทู้แบบนี้หรอก
ที่สำคัญ เราไม่เคยคิดปรึกษาใครเรื่องความรู้สึกพวกนี้เลย เหมือนเก็บไว้กับตัวเองคนเดียว กลัวเขาหาว่าบ้า (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมากๆ)

จุดเปลี่ยน

เวลาล่วงเลยมา 10 กว่าปี กับความรู้สึกพวกนี้ (พอมองย้อนกลับไปก็แบบ อยู่มาได้ไงเนี่ย*0*)
เคสของเราอ่ะ มันเป็นเพราะนิสัยและทัศนคติส่วนตัว การคิดลบ ต่างๆ เลยทำให้เราต้องวนลูปกับอาการพวกนี้
เราเริ่มทนไม่ไหว พยายามหาทางออก ด้วยการหาหนังสือจิตวิทยาอ่าน เลยรู้ว่าจริงๆเราไม่ได้บ้าหรอก เราแค่หลงทาง
เรารีเสิชเรื่องพวกนี้จริงจังมากๆ เกือบเคยจะเข้าคณะจิตวิทยาแล้ว เพราะอยากรักษาตัวเอง 5555
หนังสือพวกนี้ก็ดีอย่างที่ช่วยให้เรา หันกลับมามองตัวเองมากขึ้น คอยหมั่นสังเกตุอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง

พอเริ่มตามทันความรู้สึกของตัวเอง เริ่มจับทางทิศทางอารมณ์ และ เสียงในหัว ใช่ค่ะ! 
มันคือเสียงความคิดที่คอยบงการเราอีกที ยกตัวอย่าง ก็ เวลาเราเห็นคนอื่นที่มีความสุข มีชีวิตดีๆ
เราก็จะอิจฉา ว่าชีวิตเขาดีจัง ทำไม่เราห่วยแบบนี้ เราคงเป็นแบบเค้าไม่ได้หรอก 
เนี่ยๆ มันจะมาแพทเทินนี้เลย โห พอคิดอย่างงี้ก็เศร้าหนักเลย ท้อแท้ 
ถึงตอนนี้เราเลย สู้กับเสียงในหัว พูดให้ดังกว่ามันเลย ว่า แล้วทำไมเราจะทำชีวิตให้ดีขึ้นไม่ได้ เราอยากมีความสุขกับชีวิต ทำไมเราจะมีไม่ได้
เทคนิคนี้คล้ายกับ affirmation หรือ การใช้คำพูดเชิงบวกบ่อยๆเพื่อให้ประทับลงไปใน จิตใต้สำนึก

เราไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ ของเราจะออกแนว ไม่อยากมีชีวิตอยู่อ่ะ (แต่ก็ไม่อยากตาย)
เหมือนเลือกไม่ได้ว่าจะอยู่หรือไปดี เคยรู้สึกว่าเกือบจะเคยเสียสติด้วย จริงๆนะ เคยเป็นมะ
เราเลยมานั่งกับตัวเอง เอาวะ! ในเมื่อเรายังหายใจอยู่ เรา ก็ เลือก ที่ จะ อยู่
ณ จุดนี้ เราเลือกแล้วว่าจะอยู่ต่อ สู้ต่อ ไม่คิดเรื่องความตายแล้ว เพราะเราเลือกแล้ว 


วิธีที่เราใช้

วิธีเหล่านี้เราได้มาจากหนังสือหลายสิบเล่ม บทความหลายร้อยบทความ และการลองทำตาม เราเลือกอันที่เราทำแล้ว ได้ผลจริงๆ มาให้ลองอ่านกัน
เผื่อมันจะช่วยเพื่อนๆได้จริงๆ และจะเห็นว่า บางที สิ่งเล็กๆน้อยก็สามารถช่วยชีวิตคุณได้ ^^

1. ขอบคุณ 3 สิ่งทุกเช้า ตอนแรกแบบ หื้ออ มันจะได้ผลหรอ แค่ขอบคุณเองนะ แต่เมื่อไม่มีไรจะเสียละ ก็เลยลองทำดู
เราขอบคุณสิ่งเล็กๆน้อยๆทุกเช้าก่อนไปเรียน ตอนนั่งรถเมล์นี่แหละ อย่าง ขอบคุณที่วันนี้ท้องฟ้าสดใส (ดีกว่าฝนตก ถูกมะ) ขอบคุณที่รถเมล์มีที่ให้นั่ง
ขอบคุณที่มีแม่ทำอาหารให้กิน (หลายคนต้องหากินเองนะ) โอ้ยย ขอบคุณสารพัดเรื่อง แต่ขอย้ำว่า ต้องรู้สึกขอบคุณจริงๆนะ 
เราทำไปประมาณ สองอาทิตย์ เรารู้สึกได้เลยว่า ตอนเช้าเราอารมณ์ดีขึ้น จากตอนแรกจะซึมๆ เบื่อๆชีวิตทุกเช้า
หลังจากนั้น เราก็คิดทุกเช้าเลยว่าวันนี้จะขอบคุณไรดีน้าาา 

2. เขียนระบายความรู้สึกและอ่าน เป็นวิธีธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เราก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าวิธีนี้จะได้ผล
หลังจากเราเขียนระบายความทุกข์ เศร้าโศก ปัญหาทุกอย่างเท่าที่จะนึกออก
เราจะสมมติว่าเราเป็นอีกคนหนึ่งตอนนั่งอ่าน มันทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนมีคนคอยรับฟังเราอยู่จริงๆ นั่นคือ ตัวเราเอง (เนื่องจากเรายังไม่พูดเรื่องนี้กับใคร)
และเราจะเห็นบางอย่างที่เราไม่เห็น จริงๆ เอ้อ! พอเรามาอ่านนะ ก็โห ร้องไห้เลย เราเห็นเลยว่า ทำไมเราคิดลบได้ขนาดนี้ และทำร้ายตัวเองด้วยอดีตที่มันผ่านมานานมาก (เราย้ำคิดย้ำทำด้วยแหละ) บางทีการมานั่งอ่านในสิ่งที่ตัวเองเขียน เราอาจจะได้มองมุมที่กว้างขึ้น ด้วยวิธีนี้แหละที่จะช่วยให้เรามองตัวเองได้ชัดขึ้นและปรับเปลี่ยนความคิดได้ดีขึ้น จนตอนนี้จากที่เป็นคนเกลียดการเขียนคนหนึ่ง กลายเป็นคนชอบเขียนไปเลย ^^

3. อ่านหนังสือหรือดู video พัฒนาตัวเอง แรงบันดาลใจ วิธีนี้ช่วยเราในเรื่อง มุมมองในการใช้ชีวิต หรือแรงฮึดที่จะสู้ต่อ เราจะชอบดูหรือหรืออ่านเกี่ยวกับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เค้าจะชอบมานั่งเล่าย้อนไปเมื่อตอนที่ยังลำบาก เราเห็นแล้วแบบ เออ เขาทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้ละ 
เราชอบตามเรื่องของ โอปอล์ รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูสวยจากความคิด การอ่าน การพูดติดตลกของเขา เราเลยอยากฉลาดและเป็นคนตลกบ้าง555
เราเลยหาคลิปตลกๆดู กลายเป็นว่าการหัวเราะมันจะช่วยปรับอารมณ์เราด้วยส่วนหนึ่ง เราไม่ติดกับอาการเศร้าซึมอีก
ตอนนี้หัวเราะบ่อยจนจะเป็นบ้าล่ะ555 

4. ระบายความรู้สึกกับคนที่ไว้ใจ *ข้อนี้สำคัญมากนะ* เราเคยคิดว่า ความรู้สึกของเรา เราไม่จำเป็นต้องบอกใคร 
แต่ขอให้หาไว้อย่างน้อยสักคนหนึ่ง หรือหลายๆคนเลยก็ยิ่งดี เพราะเราจะได้ระบายเรื่องหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง และอีกเรื่องกับอีกคน
ในกรณีที่กลัวเขารำคาญอ่ะนะ เพราะ เรา พบ ว่า ถ้าเราไม่บอกใครเลย เราจะกลายเป็นคนเก็บกด 
เพื่อนเราอ่ะดูออก มันบอกว่าเราเก็บกด ก็แอบเคือง แต่ก็จริง กลายเป็นว่าหลายปีมานี้เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราเก็บกดมาตลอด
มีอะไรก็ไม่พูดไม่บอก ให้เขาเดาเอง นอกจากคนรอบข้างจะอึดอัดแล้ว มันยังไม่ดีต่อสุขภาพจิตเราอีกด้วย 
คุณจะรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ข้อนี้สำคัญ เพราะตอนเรามีความรู้สึกไม่อยากอยู่ มันก็มาจาก รู้สึกอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครเข้าใจเราเลยนั่นแหละ

*มีต่อเม้นล่าง*
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่