สวัสดีครับ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 ผมได้มีโอกาส ออกจาก comfort zone ของตัวเอง เพราะปกติ จะไปแต่ ญี่ปุ่น หรือประเทศที่ไม่ได้ต้องลำบากอะไรมากนัก ครั้งนี้ ทำสิ่งที่แปลกออกไป คือ ไปปีนเขา ทั้งๆที่ตัวเอง ไม่เคยขึ้นภูกระดึง ไม่เคยไปนอนบนเขาที่ไหนเลย ครั้งนี้ถือว่าเป็นการ Challenge ตัวเองมากๆ
เริ่มตั้งแต่วันเดินทาง ผมเดินทาง ด้วยสายการบิน ไทยไลออนแอร์ SL220 เครื่องควรจะออกเที่ยง แต่ดีเลย์ไปนิดหน่อย ประมาณ 30 นาที
บนไฟท์ SL220 มีแจกอาหารและน้ำดื่มด้วย ผมเรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไร ขนมปังข้างในเป็นชีสและเห็ด คล้ายๆ พิซซ่า อร่อยมาก มาร้อนๆเลย
ใครทราบว่าหาซื้อทานได้ที่ไหน บอกพิกัดทีนะครับ
เครื่องใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึง สนามบิน ทรีภูวัน โดยสวัสดิภาพ สนามบินไม่มีเกต เหมือนสนามบิน ต่างจังหวัดมากๆ ของไทย ซึ่ง สนามบินอุดรธานีเรายังดีกว่านี้อีก

ลงจากเครื่องก็นั่งรถบัสไปสักประมาณ 200 เมตรก็ถึงประตูเข้า ตม.
ป้ายต้อนรับก่อนเข้าไปในอาคาร อากาศค่อนข้างเย็นมาก ประมาณ 10 องศาต้นๆ ในเดือน ธันวาคม
ข้างใน ตม.ไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ อยากจะบอกว่า ไม่เคยผ่าน ตม. ที่ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที เหมือนที่นี่เลย
ผมทำวีซ่ามาจากเมืองไทย ที่สถานทูต เนปาลประจำประเทศไทย ในราคา 1,000 บาท ทำง่ายมาก และใช้เวลาน้อยมากเช่นกัน
ผมแนะนำหากไม่รีบไปไหน มาทำ วีซ่าที่สนามบิน ขาเข้า เตรียมรูปถ่าย 2 นิ้ว พื้นหลังขาวมาให้เรียบร้อย 2 ใบ ใช้เวลาไม่มาก และไม่มีคนเยอะ ประหยัดเงินมากกว่า ที่จะวิ่งไปๆมาๆ ที่สถานทูตถึง 2 วัน
ส่วนตัวผม เดินตัวปลิว ลงบันไดออกมาเพื่อรอรับเป้ ที่สายพาน ก่อนถึง สายพานกระเป๋า มีสิ่งที่ไม่เคยเจอที่ประเทศไหนเลยก็คือ มี security check แสกนกระเป๋า และวัตถุโลหะ
ผมไม่แน่ใจว่าจะแสกนไปทำไม แต่ที่นี่ต้องแสกนทุกคน ก่อนถึงสายพานรับกระเป๋าครับ ไม่ต้องสงสัย ว่านี่คือทางออกหรือไม่ ใช่ครับ ทางออก !!!
รอกระเป๋านานพอสมควร ทั้งๆ ที่ไม่ได้ มีเครื่องลงมาก และไม่มี อะไรซับซ้อน....
พอออกมาจาก ศุลกากร ซึ่งไม่ได้เข้มงวดสักเท่าไร มีการตรวจ TAG กระเป๋าว่าหยิบมั่วกันรึเปล่าด้วยนะครับ เตรียมไว้ให้ตรวจหน่อยก็ดีครับ
การแลกเงินที่สนามบินขาเข้า มีร้านเดียวเท่านั้น ให้แลกไว้ก่อน แค่ค่ารถ (ประมาณ 900 รูปี)
ส่วนแถวๆ ทาเมล มีร้านแลกเงินมากมายครับ
ผมเดินออกมาจากสนามบิน และหารถแทกซี่ ไม่ต้องห่วง ถ้าท่านหน้าตาดูงงๆ และ
หน้าตาไม่เหมือนเนปาลีแล้วละก็ จะมีแทกซี่ ชาวเนปาลี รุมล้อมท่าน ราวกับท่านเป็น ดารา แล้วก็สรุปเงิน บนป้ายๆใหญ่ๆ หน้าสนามบินให้เสร็จสรรพ 900 รูปี หากต้องการไป กองกาบู บัส สเตชั่น ไม่สามารถต่อรอง ราคาได้เลย
ยกเว้น อยากได้ถูกกว่านี้ สัก 2-3 ร้อยรูปี ให้เดินออกไปนอกสนามบิน แล้วโบก แทกซี่ข้างนอก ซึ่งน่าจะต้องเดินไกล ประมาณ 400-500 เมตร
ตัดภาพมาถึง สถานีรถบัส ซึ่งผมจองรถบัสแบบ VIP ราคา ประมาณ 280 บาท จากในเนตมา รถออก 18.00 จะถึง โพครา 2.30
แต่ผมมาถึงสถานี 16.30 ดังนั้นจะมีเวลาว่างถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง การเดิน สำรวจ สถานีรถบัส จึงมาถึง พบว่าไม่มีข้าวขาย มีแต่ของทอด และขนมหวาน - น้ำอัดลม ผลไม้เท่านั้น และมีหนุ่มๆ ชาวเนปาลี รุมโทรศัพท์เครื่องเดียว ทอยลูกเต๋า เล่นอะไรกันสักอย่าง สนุกสนานกันเลยทีเดียว
คนที่เนปาลี หน้าโหดหน่อยแต่ใจดี ยิ้มแย้ม คุยกับเรา ไม่มีพิษภัยอะไรนะครับ ปลอดภัยมากๆ คนจะเยอะ น้องๆหมอชิต คนจะจ้องเรา ไม่ต้องกลัว เพราะเราเป็นคนหน้าแปลก และคำถามที่จะถูกถามคำแรก คือ where are you from ? ตอบไปใสๆ เลย Thailand ทุกคน รู้จัก ประเทศไทยของเราดีครับ
ถึงเวลา 17.30 ผมต้องไปแสดงตัวที่ขายตั๋วว่ามาถึงแล้วและให้เค้าพาไปที่รถบัส ซึ่งออกตรงเวลา ไม่ค่อยเลท
ถ้าไม่ทราบว่าตรงไหนคือที่ขายตั๋วรถของเรา ให้เอาที่เราจองไปถามคนที่ขายตั๋วนะครับ ทุกคนพร้อมจะช่วยเหลือมากๆ
นี่คือรถ ที่จะพาผมไป โพครา ในระยะทาง 200 กว่ากิโลกับ เวลา 8 ชม !!!!
รถจะจอดเป็นระยะ ให้เข้าห้องน้ำบ้าง ให้ทานข้าวบ้าง ซึ่งจอด 3-4 หน ห้องน้ำค่อนข้างสกปรก และกลิ่นแรง ให้สาวๆ เตรียมทิชชูเปียกไว้นะครับ ส่วนผู้ชายอย่างเรา ทนได้สบายๆ
บนรถ แจกมักกะโรนี +ไข่ต้ม ครึ่งฟอง และน้ำ 1.5 ลิตร 1 ขวดครับ
รสชาติมักกะนี กินกันตายได้ครับ ไม่ค่อยอร่อยนัก มีกลิ่นเครื่องเทศเล็กน้อย หนักไปทางจืด ถ้าใครเตรียมน้ำพริกเผามา จะช่วยตรงนี้ได้มากครับ
ผมมาถึงโพครา เวลา 3.30 เลทจากที่ควรถึง 2.30 รถไม่ได้สุดสายที่นี่ รถจะจอดข้างทาง แล้วปล่อยให้เราลง
แน่นอนไม่ต้องกลัว มีแทกซี่ รุมเราเหมือนเดิม ตอนตี 3 นี่แหละ 5-6 คันกันเลยทีเดียว ราคาก็ 500 รูปี (180 บาท) กับระยะทาง 3 กม.
ให้เค้าไปเถอะครับ เพราะ แทกซี่โทรหาโรงแรมให้เรา (ให้ตื่นมารับเรา 55555)
ที่พักที่นี่ พอใช้ได้ กับราคา ไม่ถึง 400 บาท น้ำอุ่นไม่มี ดีที่แอร์เป็นฮีทเตอร์ได้
วันนี้ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วนอนทันที!!!
เช้าวันใหม่ ที่โพครา วันนี้ ตั้งใจว่าจะต้องจ้างลูกหาบ 1 คน เพราะเมื่อวาน เป้ 12 กิโลกรัม เดินๆในสถานีรถบัส ก็ทำให้ปวดไหล่ได้แล้ว
มีคนบอกว่าโรงแรมจะทำให้ได้ทุกอย่าง แต่จริงๆไม่ใช่ เค้าส่งเราไปหา เอเจนซี่อีกที
วึ่งผมโดนบวก ทั้งค่าทำบัตร permit และใบเดินป่า รวมถึงลูกหาบด้วย สรุปจ่ายไป 14,000 รูปี (5,000 บาท) จริงๆ ไม่น่าเกิน 3,000 บาท ไม่รู้ ใครมีส่วนแบ่งตรงนี้บ้าง น่าจะ ทั้ง เอเจนซี่และ โรงแรมที่พามา เพราะลูกหาบ ผมโดนไป 25 USD ทั้งๆที่ควร 15USD ต่อวัน
ตรงนี้ใครมีข้อมูลช่วยกันแชร์หน่อยนะครับ
โรงแรมที่พัก (ไม่แนะนำ) ควรเลือกที่อื่น เพราะปัก Map ก็ผิด ไปปักใกล้ทะเลสาป เหมือนอยากจะหลอกลูกค้า เพราะใน Map ใกล้กับที่ทำ TIMs card ผมถึงเลือกที่นี่ แต่จริงๆ ห่างออกไป 2 กม.
บนกุญแจยังจะมีหน้ามาเขียนว่า lake side บ้าไปแล้ว ไกล 2 กม. แบบนี้เค้าไม่เรียก Lake side แล้ว มัน Hill side!!!
วันแรกที่ตั้งใจจะเดินขึ้นไป Ulleri ต้องเดินทางช้า กว่าจะได้เดิน ก็บ่าย 1 แล้ว เพราะกว่าจะรอทำบัตร รอ ลูกหาบ
เราเหมา แทกซี่ จาก โพครา มา nayapul ในราคา2,000 รูปี (720 บาท)
การเริ่ม Treaking เริ่มต้นที่นี่ หากใครอยากนั่งรถจี๊บขึ้นไปที่ Ulleri ก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องจ่ายเพิ่ม ผมเดิน Route ยอดฮิต ขอเดินบนถนนลูกรัง ฝุ่นเยอะๆไปเรื่อยๆครับ

ทางส่วนใหญ่ก่อนถึง Ulleri จะเป็นแบบนี้ เตรียม มาร์คปิดจมูกมาด้วยนะครับ เพราะมีรถจิ๊บ ที่วิ่งส่งคนจากข้างบนลงมาเป็นระยะ คาดว่าคง ไม่อยากเดินลงมาแล้ว (หมดแรง 5555)
วิวระหว่างทาง และจะมีร้านอาหาร รวมถึง Guest House ระว่างทางเดิน เพิ่งเข้าใจว่า หากใครอยากชิว ไม่อยากเดิน รวดเดียว 4-5 ชั่วโมง ก็สามารถ เดินไปแค่ 2 ชม. แล้วก็พักได้เลย เพราะสังเกตุจะมีที่พักแบบนี้ ตลอดทาง 2-3 ชม. จะเห็นตลอด
เดินไปเรื่อยๆครับ เจออะไรสวยงาม เราก็แวะถ่ายรูป สายชิว แต่หารู้ไม่ว่า กำลังจะเผชิญกับสิ่งที่ลำบากอยู่ข้างหน้า
การเดิน การก้าวแต่ละก้าว บนขอบหิน ต้องมีสติ และมองดูอย่างดี การวางเท้าผิด ชีวิตจะเปลี่ยนได้ ผมเกือบเดินไม่ไหว เพราะเป็นตะคริว จากการก้าว เหยียบหินแล้วพลาด ลื่นลงมา ปวดน่อง ต้องนั่งพัก นวดขาถึง 15 นาที
ขอบคุณยาหม่องตะไคร้จากลาวด้วยครับ (ไม่ได้สปอนเซอร์ 5555 )
ที่พัก และร้านอาหารที่ มีตลอดทาง
ที่ผมชี้ไปลิบๆ ยอดบนเขานั่นคือ ที่ๆต้องเดินไปให้ถึงวันนี้ !!! มันช่างท้อแท้นัก 55555
พอเราเริ่มเหนื่อย บันไดแต่ละขั้น มันก้าวขึ้นไปยากจริงๆ ก้าวไป 10 ขั้น ต้องพัก 2-3 นาที ไม่งั้นหายใจไม่ทัน อาจจะเพราะเป็นระดับความสูงที่ร่างกายกำลังปรับด้วย
จุดดราม่าสำคัญก็มาถึง เราควรจะถึง ที่พักก่อน 18.00 แต่เนื่องด้วย เราออกมาช้า ผมเดินช้า ขาเจ็บเป็นตะคริว แล้วแดดก็หมดไวมาก แสงหมดตั้งแต่ ก่อน 18.00 พอมืด ทุกอย่างก็เลวร้ายลง อากาศหนาวมาก การก้าวขาแต่ละก้าว ขึ้นบันไดหิน มันช่างยากเย็นมาก กล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมที่จะเป็นตะคริวได้ตลอดเวลา นั่งพักท่ามกลางความมืด ใจก็คิดว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ไม่ได้นะ....
กัดฟันเดินท่ามกลางความมืดไปอีก 1 ชม. กว่า ผมก็มาถึง Ulleri
หน้าตาของคนที่หิว และ บอกตัวเองว่า กูรอดแล้วโว้ยยยยยย
หมาตัวนี้ ผมไม่ทราบว่าเป็นของใคร เดินร่วมทางมากว่า 3 ชม. เดินนำทางมาตลอด ทำให้รู้สึกมีกำลังใจ แถมลูกหาบผม เปิดเพลงอินเดีย คลอให้กำลังใจตลอดทาง ปล.ลูกหาบผม อายุ 18
อาหารคืนนี้ ข้าวผัด ไก่+ไข่ อาหารบนนี้ จะราคาประมาณ 500-600 รูปี (ประมาณ 200 บาท) และมีแค่ ไข่ ไก่ และผัก
แนะนำควรมีน้ำพริกมาเสริม เพื่อความอร่อยและได้พลังใจ
เรื่องอาหาร ขนม โค๊ก กระทิงแดง ถ้ามีเงินก็ซื้อได้ทุกอย่างบนเขาครับ 555
อากาศหนาวเท่าไร ถามใจเธอดู
วันนี้ผมต้องเดินถึง Grorepani ก่อนมืดให้ได้ โดยออกเดินทางกันตั้งแต่ 10โมงเช้า จริงๆ ควรถึง Grorepani บ่าย 2 แต่ผมถึง 4 โมงเย็น
แสดงให้ถึงความเหนื่อยล้า และหยุดพักบ่อย เพราะอากาศที่สูงขึ้นนั่นเอง...
รางวัลที่มาถึง Grorepani ได้สำเร็จ...
คืนนี้ต้องรีบนอนครับ เพราะ พรุ่งนี้ต้องออกตั้งแต่ 6โมง เพื่อให้ถึง Poon hll ก่อน 7 โมง
ผมเจอ คนไทยสองคน เป็น คู่ หญิง และชายที่นี่ด้วย เป็น 2 คนไทย แรกที่ผมเจอ ตั้งแต่เดินขึ้นมา ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ เผื่อจะได้มาเห็นกระทู้นี้ของผม
ที่พักข้างบน ในห้องไม่มี ฮีทเตอร์นะครับ มีแต่ เตาไฟข้างล่าง ต้องมาสุมนั่งล้อมกันแบบนี้
แนะนำ ควรเตรียม Heater พกพาไป หรือ ถุงทรายร้อน เอาไว้ จับเวลานอน เพราะในห้องหนาวมาก ถึงต้องขนาด ห่มผ้าให้มิด ห้ามลมเข้ามาในผ้าห่ม หรือ สวมถุงมือ ถุงเท้านอนกันเลยทีเดียว
[CR] CR การเดินทาง Treaking Nepal - Poon hill คนเดียว ในช่วง low season ปีใหม่
เริ่มตั้งแต่วันเดินทาง ผมเดินทาง ด้วยสายการบิน ไทยไลออนแอร์ SL220 เครื่องควรจะออกเที่ยง แต่ดีเลย์ไปนิดหน่อย ประมาณ 30 นาที
บนไฟท์ SL220 มีแจกอาหารและน้ำดื่มด้วย ผมเรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไร ขนมปังข้างในเป็นชีสและเห็ด คล้ายๆ พิซซ่า อร่อยมาก มาร้อนๆเลย
ใครทราบว่าหาซื้อทานได้ที่ไหน บอกพิกัดทีนะครับ
เครื่องใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึง สนามบิน ทรีภูวัน โดยสวัสดิภาพ สนามบินไม่มีเกต เหมือนสนามบิน ต่างจังหวัดมากๆ ของไทย ซึ่ง สนามบินอุดรธานีเรายังดีกว่านี้อีก
ลงจากเครื่องก็นั่งรถบัสไปสักประมาณ 200 เมตรก็ถึงประตูเข้า ตม.
ป้ายต้อนรับก่อนเข้าไปในอาคาร อากาศค่อนข้างเย็นมาก ประมาณ 10 องศาต้นๆ ในเดือน ธันวาคม
ข้างใน ตม.ไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ อยากจะบอกว่า ไม่เคยผ่าน ตม. ที่ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที เหมือนที่นี่เลย
ผมทำวีซ่ามาจากเมืองไทย ที่สถานทูต เนปาลประจำประเทศไทย ในราคา 1,000 บาท ทำง่ายมาก และใช้เวลาน้อยมากเช่นกัน
ผมแนะนำหากไม่รีบไปไหน มาทำ วีซ่าที่สนามบิน ขาเข้า เตรียมรูปถ่าย 2 นิ้ว พื้นหลังขาวมาให้เรียบร้อย 2 ใบ ใช้เวลาไม่มาก และไม่มีคนเยอะ ประหยัดเงินมากกว่า ที่จะวิ่งไปๆมาๆ ที่สถานทูตถึง 2 วัน
ส่วนตัวผม เดินตัวปลิว ลงบันไดออกมาเพื่อรอรับเป้ ที่สายพาน ก่อนถึง สายพานกระเป๋า มีสิ่งที่ไม่เคยเจอที่ประเทศไหนเลยก็คือ มี security check แสกนกระเป๋า และวัตถุโลหะ
ผมไม่แน่ใจว่าจะแสกนไปทำไม แต่ที่นี่ต้องแสกนทุกคน ก่อนถึงสายพานรับกระเป๋าครับ ไม่ต้องสงสัย ว่านี่คือทางออกหรือไม่ ใช่ครับ ทางออก !!!
รอกระเป๋านานพอสมควร ทั้งๆ ที่ไม่ได้ มีเครื่องลงมาก และไม่มี อะไรซับซ้อน....
พอออกมาจาก ศุลกากร ซึ่งไม่ได้เข้มงวดสักเท่าไร มีการตรวจ TAG กระเป๋าว่าหยิบมั่วกันรึเปล่าด้วยนะครับ เตรียมไว้ให้ตรวจหน่อยก็ดีครับ
การแลกเงินที่สนามบินขาเข้า มีร้านเดียวเท่านั้น ให้แลกไว้ก่อน แค่ค่ารถ (ประมาณ 900 รูปี)
ส่วนแถวๆ ทาเมล มีร้านแลกเงินมากมายครับ
ผมเดินออกมาจากสนามบิน และหารถแทกซี่ ไม่ต้องห่วง ถ้าท่านหน้าตาดูงงๆ และ
หน้าตาไม่เหมือนเนปาลีแล้วละก็ จะมีแทกซี่ ชาวเนปาลี รุมล้อมท่าน ราวกับท่านเป็น ดารา แล้วก็สรุปเงิน บนป้ายๆใหญ่ๆ หน้าสนามบินให้เสร็จสรรพ 900 รูปี หากต้องการไป กองกาบู บัส สเตชั่น ไม่สามารถต่อรอง ราคาได้เลย
ยกเว้น อยากได้ถูกกว่านี้ สัก 2-3 ร้อยรูปี ให้เดินออกไปนอกสนามบิน แล้วโบก แทกซี่ข้างนอก ซึ่งน่าจะต้องเดินไกล ประมาณ 400-500 เมตร
ตัดภาพมาถึง สถานีรถบัส ซึ่งผมจองรถบัสแบบ VIP ราคา ประมาณ 280 บาท จากในเนตมา รถออก 18.00 จะถึง โพครา 2.30
แต่ผมมาถึงสถานี 16.30 ดังนั้นจะมีเวลาว่างถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง การเดิน สำรวจ สถานีรถบัส จึงมาถึง พบว่าไม่มีข้าวขาย มีแต่ของทอด และขนมหวาน - น้ำอัดลม ผลไม้เท่านั้น และมีหนุ่มๆ ชาวเนปาลี รุมโทรศัพท์เครื่องเดียว ทอยลูกเต๋า เล่นอะไรกันสักอย่าง สนุกสนานกันเลยทีเดียว
คนที่เนปาลี หน้าโหดหน่อยแต่ใจดี ยิ้มแย้ม คุยกับเรา ไม่มีพิษภัยอะไรนะครับ ปลอดภัยมากๆ คนจะเยอะ น้องๆหมอชิต คนจะจ้องเรา ไม่ต้องกลัว เพราะเราเป็นคนหน้าแปลก และคำถามที่จะถูกถามคำแรก คือ where are you from ? ตอบไปใสๆ เลย Thailand ทุกคน รู้จัก ประเทศไทยของเราดีครับ
ถึงเวลา 17.30 ผมต้องไปแสดงตัวที่ขายตั๋วว่ามาถึงแล้วและให้เค้าพาไปที่รถบัส ซึ่งออกตรงเวลา ไม่ค่อยเลท
ถ้าไม่ทราบว่าตรงไหนคือที่ขายตั๋วรถของเรา ให้เอาที่เราจองไปถามคนที่ขายตั๋วนะครับ ทุกคนพร้อมจะช่วยเหลือมากๆ
นี่คือรถ ที่จะพาผมไป โพครา ในระยะทาง 200 กว่ากิโลกับ เวลา 8 ชม !!!!
รถจะจอดเป็นระยะ ให้เข้าห้องน้ำบ้าง ให้ทานข้าวบ้าง ซึ่งจอด 3-4 หน ห้องน้ำค่อนข้างสกปรก และกลิ่นแรง ให้สาวๆ เตรียมทิชชูเปียกไว้นะครับ ส่วนผู้ชายอย่างเรา ทนได้สบายๆ
บนรถ แจกมักกะโรนี +ไข่ต้ม ครึ่งฟอง และน้ำ 1.5 ลิตร 1 ขวดครับ
รสชาติมักกะนี กินกันตายได้ครับ ไม่ค่อยอร่อยนัก มีกลิ่นเครื่องเทศเล็กน้อย หนักไปทางจืด ถ้าใครเตรียมน้ำพริกเผามา จะช่วยตรงนี้ได้มากครับ
ผมมาถึงโพครา เวลา 3.30 เลทจากที่ควรถึง 2.30 รถไม่ได้สุดสายที่นี่ รถจะจอดข้างทาง แล้วปล่อยให้เราลง
แน่นอนไม่ต้องกลัว มีแทกซี่ รุมเราเหมือนเดิม ตอนตี 3 นี่แหละ 5-6 คันกันเลยทีเดียว ราคาก็ 500 รูปี (180 บาท) กับระยะทาง 3 กม.
ให้เค้าไปเถอะครับ เพราะ แทกซี่โทรหาโรงแรมให้เรา (ให้ตื่นมารับเรา 55555)
ที่พักที่นี่ พอใช้ได้ กับราคา ไม่ถึง 400 บาท น้ำอุ่นไม่มี ดีที่แอร์เป็นฮีทเตอร์ได้
วันนี้ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วนอนทันที!!!
เช้าวันใหม่ ที่โพครา วันนี้ ตั้งใจว่าจะต้องจ้างลูกหาบ 1 คน เพราะเมื่อวาน เป้ 12 กิโลกรัม เดินๆในสถานีรถบัส ก็ทำให้ปวดไหล่ได้แล้ว
มีคนบอกว่าโรงแรมจะทำให้ได้ทุกอย่าง แต่จริงๆไม่ใช่ เค้าส่งเราไปหา เอเจนซี่อีกที
วึ่งผมโดนบวก ทั้งค่าทำบัตร permit และใบเดินป่า รวมถึงลูกหาบด้วย สรุปจ่ายไป 14,000 รูปี (5,000 บาท) จริงๆ ไม่น่าเกิน 3,000 บาท ไม่รู้ ใครมีส่วนแบ่งตรงนี้บ้าง น่าจะ ทั้ง เอเจนซี่และ โรงแรมที่พามา เพราะลูกหาบ ผมโดนไป 25 USD ทั้งๆที่ควร 15USD ต่อวัน
ตรงนี้ใครมีข้อมูลช่วยกันแชร์หน่อยนะครับ
โรงแรมที่พัก (ไม่แนะนำ) ควรเลือกที่อื่น เพราะปัก Map ก็ผิด ไปปักใกล้ทะเลสาป เหมือนอยากจะหลอกลูกค้า เพราะใน Map ใกล้กับที่ทำ TIMs card ผมถึงเลือกที่นี่ แต่จริงๆ ห่างออกไป 2 กม.
บนกุญแจยังจะมีหน้ามาเขียนว่า lake side บ้าไปแล้ว ไกล 2 กม. แบบนี้เค้าไม่เรียก Lake side แล้ว มัน Hill side!!!
วันแรกที่ตั้งใจจะเดินขึ้นไป Ulleri ต้องเดินทางช้า กว่าจะได้เดิน ก็บ่าย 1 แล้ว เพราะกว่าจะรอทำบัตร รอ ลูกหาบ
เราเหมา แทกซี่ จาก โพครา มา nayapul ในราคา2,000 รูปี (720 บาท)
การเริ่ม Treaking เริ่มต้นที่นี่ หากใครอยากนั่งรถจี๊บขึ้นไปที่ Ulleri ก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องจ่ายเพิ่ม ผมเดิน Route ยอดฮิต ขอเดินบนถนนลูกรัง ฝุ่นเยอะๆไปเรื่อยๆครับ
ทางส่วนใหญ่ก่อนถึง Ulleri จะเป็นแบบนี้ เตรียม มาร์คปิดจมูกมาด้วยนะครับ เพราะมีรถจิ๊บ ที่วิ่งส่งคนจากข้างบนลงมาเป็นระยะ คาดว่าคง ไม่อยากเดินลงมาแล้ว (หมดแรง 5555)
วิวระหว่างทาง และจะมีร้านอาหาร รวมถึง Guest House ระว่างทางเดิน เพิ่งเข้าใจว่า หากใครอยากชิว ไม่อยากเดิน รวดเดียว 4-5 ชั่วโมง ก็สามารถ เดินไปแค่ 2 ชม. แล้วก็พักได้เลย เพราะสังเกตุจะมีที่พักแบบนี้ ตลอดทาง 2-3 ชม. จะเห็นตลอด
เดินไปเรื่อยๆครับ เจออะไรสวยงาม เราก็แวะถ่ายรูป สายชิว แต่หารู้ไม่ว่า กำลังจะเผชิญกับสิ่งที่ลำบากอยู่ข้างหน้า
การเดิน การก้าวแต่ละก้าว บนขอบหิน ต้องมีสติ และมองดูอย่างดี การวางเท้าผิด ชีวิตจะเปลี่ยนได้ ผมเกือบเดินไม่ไหว เพราะเป็นตะคริว จากการก้าว เหยียบหินแล้วพลาด ลื่นลงมา ปวดน่อง ต้องนั่งพัก นวดขาถึง 15 นาที
ขอบคุณยาหม่องตะไคร้จากลาวด้วยครับ (ไม่ได้สปอนเซอร์ 5555 )
ที่พัก และร้านอาหารที่ มีตลอดทาง
ที่ผมชี้ไปลิบๆ ยอดบนเขานั่นคือ ที่ๆต้องเดินไปให้ถึงวันนี้ !!! มันช่างท้อแท้นัก 55555
พอเราเริ่มเหนื่อย บันไดแต่ละขั้น มันก้าวขึ้นไปยากจริงๆ ก้าวไป 10 ขั้น ต้องพัก 2-3 นาที ไม่งั้นหายใจไม่ทัน อาจจะเพราะเป็นระดับความสูงที่ร่างกายกำลังปรับด้วย
จุดดราม่าสำคัญก็มาถึง เราควรจะถึง ที่พักก่อน 18.00 แต่เนื่องด้วย เราออกมาช้า ผมเดินช้า ขาเจ็บเป็นตะคริว แล้วแดดก็หมดไวมาก แสงหมดตั้งแต่ ก่อน 18.00 พอมืด ทุกอย่างก็เลวร้ายลง อากาศหนาวมาก การก้าวขาแต่ละก้าว ขึ้นบันไดหิน มันช่างยากเย็นมาก กล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมที่จะเป็นตะคริวได้ตลอดเวลา นั่งพักท่ามกลางความมืด ใจก็คิดว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ไม่ได้นะ....
กัดฟันเดินท่ามกลางความมืดไปอีก 1 ชม. กว่า ผมก็มาถึง Ulleri
หน้าตาของคนที่หิว และ บอกตัวเองว่า กูรอดแล้วโว้ยยยยยย
หมาตัวนี้ ผมไม่ทราบว่าเป็นของใคร เดินร่วมทางมากว่า 3 ชม. เดินนำทางมาตลอด ทำให้รู้สึกมีกำลังใจ แถมลูกหาบผม เปิดเพลงอินเดีย คลอให้กำลังใจตลอดทาง ปล.ลูกหาบผม อายุ 18
อาหารคืนนี้ ข้าวผัด ไก่+ไข่ อาหารบนนี้ จะราคาประมาณ 500-600 รูปี (ประมาณ 200 บาท) และมีแค่ ไข่ ไก่ และผัก
แนะนำควรมีน้ำพริกมาเสริม เพื่อความอร่อยและได้พลังใจ
เรื่องอาหาร ขนม โค๊ก กระทิงแดง ถ้ามีเงินก็ซื้อได้ทุกอย่างบนเขาครับ 555
อากาศหนาวเท่าไร ถามใจเธอดู
วันนี้ผมต้องเดินถึง Grorepani ก่อนมืดให้ได้ โดยออกเดินทางกันตั้งแต่ 10โมงเช้า จริงๆ ควรถึง Grorepani บ่าย 2 แต่ผมถึง 4 โมงเย็น
แสดงให้ถึงความเหนื่อยล้า และหยุดพักบ่อย เพราะอากาศที่สูงขึ้นนั่นเอง...
รางวัลที่มาถึง Grorepani ได้สำเร็จ...
คืนนี้ต้องรีบนอนครับ เพราะ พรุ่งนี้ต้องออกตั้งแต่ 6โมง เพื่อให้ถึง Poon hll ก่อน 7 โมง
ผมเจอ คนไทยสองคน เป็น คู่ หญิง และชายที่นี่ด้วย เป็น 2 คนไทย แรกที่ผมเจอ ตั้งแต่เดินขึ้นมา ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ เผื่อจะได้มาเห็นกระทู้นี้ของผม
ที่พักข้างบน ในห้องไม่มี ฮีทเตอร์นะครับ มีแต่ เตาไฟข้างล่าง ต้องมาสุมนั่งล้อมกันแบบนี้
แนะนำ ควรเตรียม Heater พกพาไป หรือ ถุงทรายร้อน เอาไว้ จับเวลานอน เพราะในห้องหนาวมาก ถึงต้องขนาด ห่มผ้าให้มิด ห้ามลมเข้ามาในผ้าห่ม หรือ สวมถุงมือ ถุงเท้านอนกันเลยทีเดียว
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้