ธรรมชาติสัมผัส : เข้าใจแก่นแท้ของเนเจอริซึ่มสำหรับคนไทย
โดย คนไทยทันโลก
ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่ผมแสวงหาคือ ความเท่าเทียม ความเป็นอิสระ และความมั่นใจ และผมเชื่อว่า คนไทยหลายล้านคน คิดเหมือนกับผม แต่ยังคงหลงทางอยู่ในวงจร และยังคิดไม่ตกว่า ความเท่าเทียมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความเป็นอิสระมีขอบเขตที่ไหน และจะสร้างความมั่นใจจากแก่นแท้ได้อย่างไร
ผมพบคำตอบในธรรมชาติสัมผัส หรือเนเจอริซึ่ม (naturism) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีมาเป็นร้อยปีในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จะลองเล่าดูนะครับ เพื่อให้คนไทยเข้าใจแนวคิดนี้
ร่างกายและการดำเนินชีวิตของคนทั่วโลกตั้งแต่อดีตกาล
ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ และอาณาจักรโรมัน การนุ่งน้อยห่มน้อยเป็นเรื่องปกติ เพราะสภาพอากาศหรือวิธีชีวิตอำนวย นักกีฬาโอลิมปิกโบราณก็จะใส่แค่ผ้าคลุมบางๆ เพื่อการขยับสรีระที่คล่องตัว หรือจะเห็นได้จากภาพโบราณ วุฒิสมาชิกกรีกจะใส่ toga (โทกา) หรือเสื้อคลุมหลวมๆ ขณะที่รูปปั้นโบราณจะเน้นร่างกายเปลือยของผู้หญิงและผู้ชายอันสวยงาม เช่น รูปปั้น Venus de Milo และ David อันโด่งดัง
ในหลายประเทศ การใช้ชีวิตแบบไม่ต้องใส่เสื้อผ้ารัดกุม เป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมและวิธีชีวิตประจำวัน ในโอกาสที่เหมาะสม เช่นในญี่ปุ่น ในอดีต ออนเซนตามหมู่บ้านเป็นการแช่รวมชาย-หญิง โดยไม่ถือสากัน เป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่บ้าน คนไทยเองคุ้นเคยกับการแช่บ่อน้ำแร่ร้อนออนเซน ถึงขั้นหลงใหล พอไปกรุ๊ปทัวร์คนไทยก็จะแอบไปออนเซนตอนค่ำๆ เพื่อไม่เจอคนในกรุ๊ปไทยด้วยกัน เจอแต่ญี่ปุ่นได้ไม่อาย แต่พอเจอคนไทยกันเองก็จะรีบหนีออก
เยอรมนี ออสเตรีย สวิส ต่างมีวัฒนธรรมแช่บ่อน้ำร้อน (thermal bath) มานาน ฟินแลนด์มีวัฒนธรรมเซาน่าที่โด่งดังทั่วโลก ซึ่งการแช่บ่อน้ำร้อนและการใช้เซาน่า ตามประเพณีแล้ว ทำโดยเปลื้องเสื้อผ้า ประเทศเหล่านี้ เปิดเรื่องเนเจอริซึ่มมาตั้งแต่ในอดีต เพราะถือว่าร่างกายมนุษย์มาจากธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมชาติ ค่านิยมตามยุคสมัยได้ทำให้มีการมองร่างกายเป็นเรื่องน่าอาย
ความสมดุลของร่างกาย
ยกตัวอย่าง ทุกคนเคยเดินออกจากห้องอาบน้ำที่บ้านมาที่ห้องนอน ร้อยทั้งร้อยคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสบายตัวมาก คำถามคือทำไมถึงจะขยายขอบเขตความสบายตัวนี้ไม่ได้ เช่น ไปเดินสบายๆ ในห้องรับแขก หรือให้แสงแดดสายลมสัมผัสร่างกายในสวนของบ้านคุณ ผมเอง ทำงานใส่เสื้อเชิร์ต เสื้อสูท หนักๆ มาเป็นเวลากว่า 20 ปี ทำให้เป็น office syndrome ปวดไหล่ ถ้ามีโอกาส คงรีบไปผ่อนคลายแบบข้างต้น เพื่อสุขภาพ เพื่อความสมดุล
คงต้องมองถึงบริบท (context) ด้วยครับ มีหลายสถานการณ์ที่มีคนเปลื้องผ้าหรือห่มน้อย แต่ไม่เกี่ยวกับเซ็กซ์ หรืออะไรที่ทะลึ่งเลย เช่น แม่ให้นมลูก บางทีผมก็เดินผ่านเห็นหน้าอกคุณแม่ หรือหมอทำคลอด เห็นฉากนู๊ดทุกวันแต่เขาก็ไม่คิดทะลึ่งอไรเพราะบริบทมันไม่ใช่ หรือพวกหัวศิลปินวาดภาพนู๊ด มันคือศิลปะจริงๆ หากผู้อ่านลองแยกแยะ
ขอเรียนว่า การที่หลักคิดของเนเจอริซึ่มไม่เกี่ยวข้องกับเซ็กซ์ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพราะแนวคิดเริ่มจากการยอมรับว่าร่างกายคือของธรรมชาติ บริบทคือการสัมผัสธรรมชาติเพื่อความสมดุลของสุขภาพ หรือแม้กระทั่งการปลงต่อเรื่องต่างๆ การสงบนึ่งของจิตใจก็อยู่ในแนวคิดนี้ นอกจากนี้ การเป็นเนเจอริสเสริมสร้างความภูมิใจในร่างกายของตนเองได้อย่างดี ไม่มีใครมีหุ่นที่สมบูรณ์ แต่ที่สำคัญ คือการมีสุขภาพที่ดี
ในประเทศไทยเอง ถือว่ามีสังคมย้อนแย้ง เพราะขณะที่เราปล่อยให้มีโชว์ลามกและย่านอบายมุขที่เปิดเผยมาหลายสิบปี แต่กลับยังไม่เข้าใจแก่นแท้ของหลักเนเจอริซึ่ม ซึ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและการผ่อนคลาย
การสร้างความเข้าที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญ ผมเชื่อว่าคนไทยเปิดใจต่อเรื่องนี้ได้ อันจะช่วยให้เป็นสังคมที่เปิดรับ และสุขภาพกายและใจดีขึ้นความเดิมอีกหลายเท่าครับ
ธรรมชาติสัมผัส : เข้าใจแก่นแท้ของ " เนเจอริซึ่ม " สำหรับคนไทย
โดย คนไทยทันโลก
ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่ผมแสวงหาคือ ความเท่าเทียม ความเป็นอิสระ และความมั่นใจ และผมเชื่อว่า คนไทยหลายล้านคน คิดเหมือนกับผม แต่ยังคงหลงทางอยู่ในวงจร และยังคิดไม่ตกว่า ความเท่าเทียมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความเป็นอิสระมีขอบเขตที่ไหน และจะสร้างความมั่นใจจากแก่นแท้ได้อย่างไร
ผมพบคำตอบในธรรมชาติสัมผัส หรือเนเจอริซึ่ม (naturism) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีมาเป็นร้อยปีในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จะลองเล่าดูนะครับ เพื่อให้คนไทยเข้าใจแนวคิดนี้
ร่างกายและการดำเนินชีวิตของคนทั่วโลกตั้งแต่อดีตกาล
ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ และอาณาจักรโรมัน การนุ่งน้อยห่มน้อยเป็นเรื่องปกติ เพราะสภาพอากาศหรือวิธีชีวิตอำนวย นักกีฬาโอลิมปิกโบราณก็จะใส่แค่ผ้าคลุมบางๆ เพื่อการขยับสรีระที่คล่องตัว หรือจะเห็นได้จากภาพโบราณ วุฒิสมาชิกกรีกจะใส่ toga (โทกา) หรือเสื้อคลุมหลวมๆ ขณะที่รูปปั้นโบราณจะเน้นร่างกายเปลือยของผู้หญิงและผู้ชายอันสวยงาม เช่น รูปปั้น Venus de Milo และ David อันโด่งดัง
ในหลายประเทศ การใช้ชีวิตแบบไม่ต้องใส่เสื้อผ้ารัดกุม เป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมและวิธีชีวิตประจำวัน ในโอกาสที่เหมาะสม เช่นในญี่ปุ่น ในอดีต ออนเซนตามหมู่บ้านเป็นการแช่รวมชาย-หญิง โดยไม่ถือสากัน เป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่บ้าน คนไทยเองคุ้นเคยกับการแช่บ่อน้ำแร่ร้อนออนเซน ถึงขั้นหลงใหล พอไปกรุ๊ปทัวร์คนไทยก็จะแอบไปออนเซนตอนค่ำๆ เพื่อไม่เจอคนในกรุ๊ปไทยด้วยกัน เจอแต่ญี่ปุ่นได้ไม่อาย แต่พอเจอคนไทยกันเองก็จะรีบหนีออก
เยอรมนี ออสเตรีย สวิส ต่างมีวัฒนธรรมแช่บ่อน้ำร้อน (thermal bath) มานาน ฟินแลนด์มีวัฒนธรรมเซาน่าที่โด่งดังทั่วโลก ซึ่งการแช่บ่อน้ำร้อนและการใช้เซาน่า ตามประเพณีแล้ว ทำโดยเปลื้องเสื้อผ้า ประเทศเหล่านี้ เปิดเรื่องเนเจอริซึ่มมาตั้งแต่ในอดีต เพราะถือว่าร่างกายมนุษย์มาจากธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมชาติ ค่านิยมตามยุคสมัยได้ทำให้มีการมองร่างกายเป็นเรื่องน่าอาย
ความสมดุลของร่างกาย
ยกตัวอย่าง ทุกคนเคยเดินออกจากห้องอาบน้ำที่บ้านมาที่ห้องนอน ร้อยทั้งร้อยคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสบายตัวมาก คำถามคือทำไมถึงจะขยายขอบเขตความสบายตัวนี้ไม่ได้ เช่น ไปเดินสบายๆ ในห้องรับแขก หรือให้แสงแดดสายลมสัมผัสร่างกายในสวนของบ้านคุณ ผมเอง ทำงานใส่เสื้อเชิร์ต เสื้อสูท หนักๆ มาเป็นเวลากว่า 20 ปี ทำให้เป็น office syndrome ปวดไหล่ ถ้ามีโอกาส คงรีบไปผ่อนคลายแบบข้างต้น เพื่อสุขภาพ เพื่อความสมดุล
คงต้องมองถึงบริบท (context) ด้วยครับ มีหลายสถานการณ์ที่มีคนเปลื้องผ้าหรือห่มน้อย แต่ไม่เกี่ยวกับเซ็กซ์ หรืออะไรที่ทะลึ่งเลย เช่น แม่ให้นมลูก บางทีผมก็เดินผ่านเห็นหน้าอกคุณแม่ หรือหมอทำคลอด เห็นฉากนู๊ดทุกวันแต่เขาก็ไม่คิดทะลึ่งอไรเพราะบริบทมันไม่ใช่ หรือพวกหัวศิลปินวาดภาพนู๊ด มันคือศิลปะจริงๆ หากผู้อ่านลองแยกแยะ
ขอเรียนว่า การที่หลักคิดของเนเจอริซึ่มไม่เกี่ยวข้องกับเซ็กซ์ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพราะแนวคิดเริ่มจากการยอมรับว่าร่างกายคือของธรรมชาติ บริบทคือการสัมผัสธรรมชาติเพื่อความสมดุลของสุขภาพ หรือแม้กระทั่งการปลงต่อเรื่องต่างๆ การสงบนึ่งของจิตใจก็อยู่ในแนวคิดนี้ นอกจากนี้ การเป็นเนเจอริสเสริมสร้างความภูมิใจในร่างกายของตนเองได้อย่างดี ไม่มีใครมีหุ่นที่สมบูรณ์ แต่ที่สำคัญ คือการมีสุขภาพที่ดี
ในประเทศไทยเอง ถือว่ามีสังคมย้อนแย้ง เพราะขณะที่เราปล่อยให้มีโชว์ลามกและย่านอบายมุขที่เปิดเผยมาหลายสิบปี แต่กลับยังไม่เข้าใจแก่นแท้ของหลักเนเจอริซึ่ม ซึ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและการผ่อนคลาย
การสร้างความเข้าที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญ ผมเชื่อว่าคนไทยเปิดใจต่อเรื่องนี้ได้ อันจะช่วยให้เป็นสังคมที่เปิดรับ และสุขภาพกายและใจดีขึ้นความเดิมอีกหลายเท่าครับ