"ลดต้นทุน" หรือ "รักษาสิ่งแวดล้อม" ? เรื่องแค่นี้ในโซเชียลก็ดราม่าเถียงกันแยกแยะไม่ออก




ประเด็นร้านสะดวกซื้อเจ้าสัว งดใช้ถุงพลาสติก

ถ้าสมมุติพูดแบบไม่ต้องไปวิเคราะห์คือ ไอ้ 2 กรณีนี้มันไม่ได้ขัดกัน มันไม่ได้ย้อนแย้ง คือมันควบรวมกันได้

ไม่ใช่มานั่งเถียงกันว่า "เขาลดต้นทุนไอ้โง่" ! อีกพวกนึงก็บอกว่า "เขารักษาสิ่งแวดล้อมไอ้โง่" !

เรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมนั่นคือสิ่งที่แบรนด์เจ้าสัวอ้างและรณรงค์มานานแล้ว

ทีนี้เป็นส่วนในการวิพากษ์วิจารณ์นะครับ คิดใครไงก็ตามแต่ แต่ผมได้สังเกตติดตามนโยบายทำนองนี้มานานละ เป็นสิบปีตั้งแต่โลกเรามีการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม

ผมมองว่า มักมีการฉวยโอกาส "แอบอ้าง" ของนายทุน ซึ่งมันเป็นเรื่องปกตินะ คนฉลาดทางธุรกิจต้องรู้จักฉวยโอกาสจากกระแสความต้องการของประชาชน นี่ก็ถูกแล้ว และไม่ได้เสียหายต่อสังคม  

บางโรงแรมมีเขียนที่ลิฟต์ว่า "ขึ้นชั้นเดียว ใช้บันได เพื่อประหยัดพลังงาน"  โถๆๆ คุณน่ะเหรอ ประหยัดพลังงาน ? ที่บ้านคุณน่ะเปิดไฟสว่างจ้าทั้งสวนตลอดคืน

บางห้างในห้องน้ำใช้ก๊อกแบบออโต้, ชักโครกใช้น้ำรีไซเคิล โอ้โห สารพัดข้ออ้าง แต่อย่าทำเป็นเล่นไปครับ สิ่งเหล่านี้ประหยัดต้นทุนเป็นล้าน บางที่ก็เขียนว่า "ใช้น้ำแบบประหยัดเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม"  ถรุย ! (โทษทีครับ ^^) ที่บ้านคุณอาบน้ำแช่ในอ่างทุกวัน แล้วเรื่องใช้น้ำแทบจะไม่มีผลเลยครับ น้ำในโลกนี้มันไม่หายไปไหนหรอก มันก็วนเวียนตามวัฏจักรของมัน

ทีนี้นโยบายลดต้นทุนพลาสติก ถือเป็นความฉลาดในการลงทุน ลงทุนเป็นล้านเพื่อลดต้นทุนเป็นล้านต่อปี

เริ่มจากปีหลังๆที่ผ่านมา นายทุนกลุ่มนี้ก็ปล่อยกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามสื่อต่างๆ ไม่ใช่แค่เมืองไทยนะครับ ต่างประเทศก็มีตัวอย่างมาก่อน

พลาสติกทำให้โลกร้อน, สัตว์น้ำกินพลาสติกเข้าไปตาย ! อะไรเยอะแยะสารพัด กระจายแนวคิดให้เยอะเข้าจนเป็นกระแส ให้ผู้คนรู้สึกตาม แต่ถามว่ามันส่งผลดีต่อโลกจริงมั้ย ? คือมันก็ส่งผลดีจริง คือดีต่อโลก แล้วก็ดีต่อนายทุนด้วย

และสำหรับแบรนด์เจ้าสัวนี้ เขามีแผนมานานแล้ว ไม่ใช่อยู่ๆก็เลิกใช้ถุง ไม่งั้นกระแสคนจะต่อต้าน แต่เขาฉลาดคือ จะเปลี่ยนแปลงอะไร ต้องทำตอนที่กระแสผู้คนรับได้และสนับสนุน นี่คือตัวอย่างในการทำธุรกิจครับ

โดยมีทั้งจ้าง BNK48 มาร้องมาเต้น รณรงค์อยู่หลายเดือนก่อนหน้านี้ นี่คือแง่คิดที่ควรจดจำครับ คือเอาไอดอล เอาคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดประชาชน มานำเสนอ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์

( คนที่มีอิทธิพลต่อความคิดประชาชนเช่น โน้ต อุดม, ตูน, แอ๊ด, BNK, บุ๋ม ฯลฯ อะไรเหล่านี้คือตัวอย่างครับ ถ้าจะรณรงค์เรื่องอะไรผ่านคนเหล่านี้ จะมีคนจำนวนมากที่ยอมรับแนวคิด )




ทีนี้ขอวิเคราะห์เชิงธุรกิจต่อว่า ถ้าสมมุติ "mini Big C" และ "Lotus express" จะทำบ้างได้มั้ย ?

ผมบอกเลยว่าเจ๊ง เพราะอยู่ในสถานะต่างกับของเจ้าสัวมาก ของเจ้าสัวหล่อเลือกได้สวยเลือกได้ เป็นอุปสงค์ เป็นความต้องการบริโภคของประชาชน หรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยไปแล้ว (ชาวต่างชาติมายังบอกว่าในประเทศเขาแบรนด์นี้ไม่ได้มีเยอะหรือหาง่ายแบบที่ประเทศไทยนี้)  

แต่ของ Big C กับ Lotus ผมมองว่าอยู่ได้อีกไม่ถึง 3 ปี ถ้ายังบริหารแบบนี้นะ คือตอนนี้สินค้าและบริการคุณยังห่างชั้นมาก คุณยังสู้แม้แต่ของพี่แอ๊ดไม่ได้เลย อย่าไปวัดกับเจ้าสัว

นานมาแล้วที่คุณไปลดต้นทุนที่บุคลากรและพนักงาน อันนี้พลาดมากๆ  ฝ่ายอบรมฝ่ายบริหารบุคลากรไม่ดีเลย พนักงานขายถูกอบรมมาไม่ดี บริการแย่ ทั้ง 2 แบรนด์เลยนะ พอๆกันเลย

ไม่ใช่แค่บางสาขานะ ผมเดินทางมาหลายที่ ใช้บริการมาหลายจังหวัด สาขานึงก็เข้าบ่อยเข้าประจำ ถามว่าบรรยากาศของ Big C และ Lotus เป็นไงครับ ?  จะเจอแต่พนักงานเดินจัดของ ตรวจของยกของ เดินเข้าออกหลังร้าน แล้วเหนื่อยกันมากด้วยนะ วุ่นวายตลอดทั้งวัน แล้วก็มีตัวห้อยอยู่ที่เคาเตอร์คนเดียว หรือบางทีก็ไม่มีเลย

ฝ่ายคัดสินค้าและคิดผลิตสินค้า ก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งบริการนี่ต่างกันเลย ใครรู้จักน้องๆที่เคยทำงานมาทุกยี่ห้อ ลองถามดูครับ พนักงานร้านเจ้าสัว กับพนักงานที่ทำงาน Big C และ Lotus ที่ไหนมีความสุขกว่า ที่ไหนเหนื่อยกว่า ?  ฉะนั้นคุณรู้ว่าของคุณน่ะพนักงานสมัครเข้าและลาออกบ่อยๆ เพราะงานเหนื่อย เดี๋ยวก็ยกของจัดของเดี๋ยวก็ถูกกดกริ่งเรียกมาช่วยคิดเงิน

แล้วไอ้คนที่เพิ่งจะทำงานได้แค่ 2-3 เดือนก็กลายมาเป็นพี่เลี้ยง กลายเป็นคนสอนงานให้เด็กใหม่ ซึ่งเขาไม่มีความสามารถและวุฒิภาวะพอจะสอนงานได้

แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี้คือจะแสดงความคิดว่า การที่แบรนด์เจ้าสัวเลิกใช้พลาสติกเนี่ยนะ นโยบายเฮียคนใหม่ที่มาแทนเฮียรถ MG เนี่ยนะ  มันเป็นโอกาสอันดีของ mini Big C และ Lotus express เลย ที่คุณกำลังจะเจ๊งใน 2-3 ปีนี้เนี่ย ถ้าคุณไปฉวยโอกาสแอบอ้างรักษาสิ่งแวดล้อมตามเขา คุณจะเจ๊งเร็วขึ้นทันที แต่ตอนเนี้ยคนจะเริ่มเข้าของคุณเยอะขึ้น คุณจะเห็นผลชัดในช่วง 3-4 เดือนนี้

คุณไม่ต้องลงทุนจ้าง BNK หรือไปหาเรื่องรณรงค์อะไร คุณแค่ลงทุนที่ฝ่ายพัฒนาบุคลากร และฝ่ายการตลาด

ไอ้เรื่องพลาสต่งพลาสติกอะไร ผมเชื่อว่ามนุษย์เราจะหาทางออกได้เอง จะมีวิธีรับมือกับเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ ถ้ามีปัญหามากๆ กฎหมายจะออก ประชาคมโลกจะบีบ แต่ผมยังมองว่ามันยังเป็นแค่กระแสแนวคิดจากนักลงทุน

ปัญหารถควันดำ โลกเรายังแก้ได้มาแล้ว ไอ้เรื่องพลาสติกเหรอ ไม่ยากครับสมัยนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะช่วยแก้ปัญหาได้ แล้วประเทศในยุโรปไม่ค่อยมีปัญหานะ ไม่ต้องมาบอกให้ผู้คนช่วยแยกขยะ แต่บ้านเมืองเขาจัดการเรื่องขยะกันได้ดี

..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่