สวัสดีค่ะ อยากมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ประสบการณ์พาลูกไปญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกและออกนอกประเทศครั้งแรกของลูกพร้อมกับรีวิว รถเข็น Cooper Plus รุ่นใหม่
กระทู้นี้เหมาะกันคนที่มีลูกเล็ก อยากรู้ว่าเดินทางมีเคล็ดลับอะไรยังไง แต่ขอออกตัวว่าเราไม่ได้วางแผนเที่ยวเองนะมีคนจัดการให้ เราจะไม่ได้เขียนเน้นเรื่องที่เที่ยวเพราะไม่ถนัดจริงๆ แต่สามารถเล่าคุณสมบัติของรถเข็น และ tips ในการเดินทางโดยเครื่องบิน รถยนต์ และรถไฟกับเด็กเล็กค่ะ
บอกก่อนว่าทริปของเรา ไปช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี อากาศอยู่ที่ประมาณ 15-20 องศาค่ะ สบายมากไม่หนาวจนทรมานหรือต้องแบกเสื้อกันหนาวจนตัวเป็นแหนมค่ะ
เราไปกัน 3 ครอบครัว กับสาวโสดอีก3คน รวมผู้ใหญ่ 9 คน เด็ก 1 ขวบ 2 คน เราอยู่ที่โอซาก้า ประมาณ 6 วันค่ะ ส่วนไปเที่ยวไหนบ้าง ก็มีที่ฮิตๆกันค่ะ ซื้อของ ที่ถนน Shinsaibashi, วัด Katsuoji , ห้าง Expocity, แช่ออนเซน ที่โรงแรมบนเขา Minoh Kanko hotel, museam สัตว์น้ำ, Anpanman Children's Museum, Arashiyama ดูป่าไผ่

การเดินทาง มีทั้งขึ้นรถไฟฟ้า เดิน และเช่ารถค่ะ ที่พักมีทั้งโรงแรมและบ้านเช่า Air bnb เอาจริงๆ เที่ยวครั้งนี้ เน้นชิวๆ 3วันแรกนี่ นอนโรงแรมอยู่ย่าน Shinsaibashi ตื่น 10โมง 5555 คิดอยู่ว่าจะนั่งเครื่องมาทำไม
ลูกชาย เราอายุ 1 ขวบพอดีในช่วงที่ไปญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ไปต่างจังหวัด ประมาณ 5-6 ครั้งแต่ขับรถไปไง เอาของไปไม่จำกัด แทบจะขนบ้านไปเลย ขาดเหลืออะไรหาได้ไม่อยากบ้านเราเอง แต่ไปต่างประเทศนี่ออกจะตื่นเต้นหน่อย เราว่าสิ่งที่สำคัญอีกอย่างในการเดินทางคือตัวช่วยต่างๆ เช่น รถเข็น เป้อุ้ม กระเป๋า อุปกรณ์ต่างๆ

เราซื้อ cooper plus มาเป็นรถเข็นคันที่สอง รถคันแรกเราก็ดีนะแต่เหมาะกับเด็กอ่อน พอตอนลูกเรา6เดือน เราสังเกตว่าเขาไม่ชอบนั่งในรถคันนั้น เราเลยพาไปลองรถคันใหม่ พอเปี๊ยก (เราเรียกลูกยังงี้แต่ไม่ได้ชื่อเปี๊ยกหรอกนะ) นั่ง cooper plus เท่านั้นแหละ ยิ้มแป้น เราเลยได้ทีอ้อนสามี ได้กลับมา1คัน ดีงามมมม กราบสามีผู้สนับสนุนค่ะ
รีวิวนี้จะแบ่งเป็น 4 ตอนนะคะ เครื่องบิน รถยนต์ รถไฟ และรีวิวรถเข็นโดยรวม
ตอนที่1 เครื่องบิน
อย่างที่บอกค่ะ ครั้งนี้ลูกขึ้นเครื่องบินครั้งแรก อิแม่ตื่นเต้น ถามเพื่อนๆถึงเทคนิคในการพาลูกขึ้นเครื่อง เรารวมคำแนะนำมาให้นะ
- ในสนามบินเอารถเข็นไปด้วยก็ดีมากนะคะ เพราะอย่างที่สุวรรณภูมิมันใหญ่ จะแบกลูกใส่เป้อุ้มตลอดจะเพลียเอาค่ะ แต่ๆ พยายามอย่าให้เขาหลับนะคะ ให้ตื่นๆไว้ เวลาขึ้นเครื่องจะได้หลับดีค่ะ
- รถเข็นถ้าให้สบายใจคือให้เอาใส่ที่ใส่กระเป๋าเหนือศีรษะได้ก็จะดีนะคะ เพราะเราไม่รู้เลยว่าเราจะโยนรถเข็นเราไหม มันจะพังไหม อ้อ! เอากระเป๋าคลุมไปด้วยนะคะ เพราะจากไทยไปเขาให้เอาขึ้นได้แต่พอกลับจากญี่ปุ่นเขาบอกว่าถ้าไม่มีกระเป๋าใส่รถเข็น ก็ไม่ให้เอาขึ้นที่เก็บของเหนือศีรษะค่ะ ทังนี้เราว่าแล้วแต่นโยบายของแต่ละสายการบินค่ะ เราบิน สายการบินแห่งชาติทั้งไปและกลับค่ะ
- การเลือกช่วงเวลาของไฟล์ท สำคัญ บางคนบอกว่าเลือกกลางคืนเพราะลูกจะได้หลับ บางคนก็เลือกกลางวันเพราะบอกว่าถ้าลูกร้องอย่างน้อยคนอื่นเขาก็ตื่นอยู่ เอาเป็นว่าแล้วแต่ละลักษณะนิสัยของลูกละกันค่ะ ถ้าเขาหลับง่ายนอนยาว เลือกกลางคืนเลยค่ะ ส่วนเราเราเลือกกลางวันค่ะ
- ถ้าลูกยังไม่เคยขึ้นเครื่อง ลองให้ขึ้นเครื่องภายในประเทศหรือที่มีระยะเวลาบินสั้นๆก่อน ส่วนเราครั้งแรก5ชั่วโมงเลยจ้า
- เวลาเครื่องขึ้นหรือลง ให้ลูกจุ๊บเต้าหรือกินขวดนม เพราะเป็นช่วงความกดอากาศเปลี่ยนการดูดจะช่วยปรับความดันในหูค่ะ คล้ายๆกับที่เราเคี้ยวหมากฝรั่งค่ะ
- เอาของเล่นที่ลูกชอบติดไปด้วยนะคะ เพราะไฟล์ททามมันนานมาก ลูกจะเบื่อค่ะ แต่แนะนำว่าไม่เอาของเล่นที่มีเสียงดังไปนะคะ เพราะมันจะรบกวนคนอื่น เอาพวกหนังสือ การ์ดอะไรประมาณนั้นค่ะ
- เลือกที่นั่งติดทางเดินนะคะ เพราะเข้าออกง่าย เผื่อลูกร้องจะได้พาเดินหรือไปล้างมือล้างหน้าได้สะดวกค่ะ
เราว่าที่นั่งแถวๆห้องน้ำสะดวกดีนะคะถ้าลูกไม่ได้ตื่นง่าย เพราะจะมีคนเดินผ่านไปผ่านมาบ้างคือคนแถวๆนั้นจะทำใจประมาณนึงอยู่แล้วที่จะถูกรบกวน (อันนี้เดานะ) คือถ้าเรารักสันโดษมากๆ ต้องการที่สงบจริงๆเราจะไม่เลือกแถวๆห้องน้ำ
- เรื่องการนอนของลูก บางสายการบินมีอุปกรณ์ที่นอนให้ยืมแล้วแต่นโยบายสายการบินค่ะ แต่เช็คและแจ้งล่วงหน้านะ เพื่อนเราไปสายการบินอื่นมีที่นอนให้ลูกด้วยนอนสบายเลย ส่วนเรานั่งกอดลูกวนไป55+
- ถ้าเลือกได้ เลือกเครื่องบินลำใหญ่นะคะ คือตอนขากลับ เราได้เครื่องที่มี 2ชั้นค่ะ เลยแอบมีที่ให้ลูกเดินเล่นตรงบันได คือเปี๊ยกเป็นเด็กแอคทีฟค่ะ ร้องจะเดินตลอด ชอบเดินไปยิ้มให้ทุกคน เรานี่อุ้มเลยค่ะ เกรงใจคนอื่นเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเอ็นดูลูกเราเนอะ
- ถ้าลูกชอบเดินเล่น (อย่างลูกเรา1ขวบแต่เดินเก่งมาก) เพื่อนเราที่เป็นแอร์แนะนำว่าถ้าให้เลือกระหว่าง นั่งร้องไห้งอแง เดินเล่นตามทางเดิน และเดินเล่นในครัว ให้อยู่ในครัวดีกว่าเพราะไม่รบกวนผู้โดยสารคนอื่น แต่อาจจะต้องขออนุญาตคนที่ทำงานในนั้นก่อนค่ะเพราะก็เกรงใจเขาเหมือนกัน
- อ้อ! เคล็ดลับในการขึ้นเครื่องอันสุดท้ายคือ ทักทายทำความรู้จักคนรอบข้าง ด้านข้างด้านหน้าด้านหลัง ทักทายเขาก่อนภายใน2-3นาทีแรกที่เห็นหน้า (เพราะถ้าช้ากว่านั้นจะรู้สึกประหลาดๆ) ทักทายแนะนำตัวเราและลูกนิดหน่อยพร้อมทั้งบอกว่า ถ้าลูกร้องรบกวนหรือมีปัญหาอะไร แจ้งเราได้เลยนะคะ ประมาณนั้นค่ะ แล้วเราจะรู้และประเมินเพื่อนร่วมทางได้ค่ะ ว่าใครดูเอ็นดู ใครดูไม่ค่อยสบายใจ จะได้เข้าหาถูกค่ะ จริงๆแล้วเราอาจจะประหลาดใจว่ามีคนใจดีมากกว่าที่เราคิดค่ะ
ความรู้สึกต่อ Cooper plus ในการเดินทางบนเครื่องบิน
ส่วนตัวเราชอบนะคะ ลื่น พับเก็บง่ายดีค่ะ ขนาดเหมาะมากเอาใส่บนที่เก็บของแบบสวยๆเลย แอบเสียดายที่ไม่เอากระเป๋าใส่ด้วยเลยต้องโหลดตอนขากลับไทย
ตอนที่2 รถยนต์
เราเช่ารถยนต์ขับกัน2วันค่ะ แล้วก็เช่าคาร์ซีทด้วย เราเลือก toyota sienta ในการเดินทางกับเด็กจากประสบการณ์เล็กน้อยของเราพอจะแชร์ได้ยังงี้นะคะ
- คาร์ซีทที่เราเช่า มันเป็นแบบเอนนอนไม่ได้ จะนั่งเกือบตรงเลย สำคัญมากๆที่ควรจะเอาหมอนรองคอของลูกไปด้วยค่ะ คือลูกเรานั่งปุ๊บหลับปั๊บแต่สงสารนาง หลับคอพับคออ่อน น่าสงสารมากมาย
- โดยปกติเราจะพกของเล่นเล็ก1อันค่ะเอาไว้แก้เบื่อ
- เตรียมน้ำและขนมที่กินบนรถได้แบบไม่เลอะไปด้วย เพราะมันไม่ได้มีร้านสะดวกซื้อตลอดทางแบบบ้านเรา
- โหลดเพลงใส่มือถือไว้ สามารถเปิดผ่าน blutooth ได้ ให้ลูกฟังเพลินๆ
- รถเช่ามักจะมี GPS อยู่แล้วสามารถใช้เบอร์โทรศัพท์ของสถานที่ที่จะไปกรอกเขาไปแล้วให้นำทางได้ แต่เอาจริงๆนะ สามีของเราไม่ชินอะ ก็เลยเปิดจาก Google map จากมือถือเหมือนเดิม
ความรู้สึกต่อ Cooper plus ในการเดินทางด้วยรถ
เหตุผลหลักๆอีกอย่างที่เราซื้อรถเข็นคันที่สอง เพราะคันแรกพับแล้วใหญ่มากอะ กินที่ในรถหมดเลย แต่ cooper plus ใช้ได้เลยนะ คือพับง่ายด้วยมือเดียว แล้วก็ประหยัดที่มาก เพราะนึกออกไหมว่าต้องเอากระเป๋าเดินทางไปด้วยไง เรื่องพื้นที่นี่สำคัญมากเลย
ตอนที่3 รถไฟ
เราได้ขึ้นรถไฟบ้าง ส่วนตัวเราชอบที่ญี่ปุ่นมากเลยเพราะทุกที่จะมีลิฟท์หมดเพื่อไว้รองรับคนที่นั่งวิวแชร์และเด็กนี่แหละ ตอนแรกนึกว่าจะเหมือนบ้านเราเนอะกลัวว่าจะต้องพับเข้าพับออกไหม แต่เอาจริงๆสบายสุดๆ เราแนะนำยังงี้นะ
- ถ้าเอารถเข็นไปด้วยลองสำรวจหาทางลงที่มีลิฟท์
- ยืนรอรถไฟตรงที่มีสัญลักษณ์รถเข็นที่พื้น
- จอดรถเข็นที่เอาไว้จอดในโบกี้พิเศษ
ความรู้สึกต่อ Cooper plus ในการเดินทางด้วยรถไฟ
ตอนแรกแอบคิดนะว่าหนัก 6 โลนิดๆ จะหนักไปไหมถ้าบางจังหวะต้องยกขึ้นยกลง (บางทางออกที่ไม่มีลิฟท์ หรือยกระหว่างรถไฟกับชานชาลา) แต่เราเอาขึ้นเอาลงสบายมากเลยนะไม่หนักเท่าไร อีกอย่างเราว่าน้ำหนักประมาณทำให้แขวนของได้ไม่ล้มแม้จะไม่มีลูก และทำให้รถเข็นมันเข็นนุ่มขึ้นด้วยอะ ตัวล็อคก็ล็อคง่ายนะแน่นดี พี่อีกคนเอารถเข็นอีกยี่ห้อไป ต้องล็อคสองจุด แต่เราล็อคได้เร็วและง่ายกว่าเยอะ
ตอนที่4 รีวิวรถเข็นโดยรวม
สำหรับคนที่กำลังมองหารถเข็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคันแรกคันที่สอง เราว่า cooper plus ก็น่าสนใจนะ เราจะเขียนจุดที่ประทับใจเราส่วนตัวนอกเหนือจากที่บอกไปตอนต้นนะ
- cooper มีที่เก็บของเยอะมากกกก อันนี้กรี๊ดจริงๆ ทำให้เรารู้สึกว่า ไม่เหนื่อยเท่าที่คิดไว้ รถเข็นทุ่นแรงได้เยอะ

- โครงสีเงินๆ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเท่าไรว่ามันดีกว่าโครงสีดำหรือขาวยังไง แต่พอไปดูของเพื่อนที่ใช้อีกยี่ห้อของเขารอยเยอะมากดูเก่าเลย เราขอบคุณแบรนด์มากที่ใช้วัสดุนี้เพราะมันไม่มีรอยเลย ทำให้ดูใหม่ตลอดอะ ทั้งที่ของเราซื้อมาก่อนหลายเดือนและใช้เกือบทุกวัน
- ความลื่น เฮ้ย!!มันดีจริง ลื่นกว่า รถเข็นคันแรก ที่ราคาเกือบสองหมื่นของเราอีกเอาจริงๆ เราเข็นทุกพื้นผิวอะ เพราะขี้เกียจถือของ เลยกางรถใช้ซะเลย

- สุดท้ายที่ดีมากๆๆๆ คือสีสันจ้า มีให้เลือกมากมาย บอกเลยว่าเราชอบสีของ cooper plus มาก แล้วพอใช้จริงนะ ถ่ายรูปสวยมากอะเราว่า ยิ่งเอาไปเที่ยวธรรมชาตินะ สีมันจะคลาสสิคๆ แบบที่ไม่มีเจ้าไหนทำสีได้เยอะเท่าเราพูดเลย

หวังว่ากระทูนี้จะช่วยเพื่อนในการเตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกับลูกน้อยนะคะ แล้วคงจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเลือกรถเข็นด้วย
ถ้าถามว่าใช้แล้วติดขัดอะไรบ้างไหม มี 2 เรื่องค่ะคือ ผ้าคาดที่เป็นตัวล็อกเป้ามันชอบเลอะน้ำลายลูกค่ะ และมันแกะซักไม่ได้ด้วย อาจจะต้องแก้โดยการทำปลอกใส่ค่ะจะได้ถอดส่วนนั้นซักได้ด้วย เรื่องที่2คือ ก้านที่ใช้เข็นตอนพับมันขวางที่เก็บของด้านล่างอยู่ทำให้ต้องคะแคงของใส่ แต่เอาน่าแลกกับการที่ก้านเข็นมันยาวมาก สามีเราสูง 183 เข็นก้านเข็น(ตอนพับ) สบายๆอะ มีแค่สองเรื่องนี้ที่กวนใจแต่ถ้าเทียบโดยรวม functions หลักๆ กับราคาที่จ่าย เรียกว่าคุ้มค่ามาก เราเอาคันเกือบสองหมื่นพับเก็บแล้วใช้ cooper plus คันเดียวเลยคิดดู
[SR] รีวิว รถเข็น cooper plus เที่ยวญี่ปุ่น
กระทู้นี้เหมาะกันคนที่มีลูกเล็ก อยากรู้ว่าเดินทางมีเคล็ดลับอะไรยังไง แต่ขอออกตัวว่าเราไม่ได้วางแผนเที่ยวเองนะมีคนจัดการให้ เราจะไม่ได้เขียนเน้นเรื่องที่เที่ยวเพราะไม่ถนัดจริงๆ แต่สามารถเล่าคุณสมบัติของรถเข็น และ tips ในการเดินทางโดยเครื่องบิน รถยนต์ และรถไฟกับเด็กเล็กค่ะ
บอกก่อนว่าทริปของเรา ไปช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี อากาศอยู่ที่ประมาณ 15-20 องศาค่ะ สบายมากไม่หนาวจนทรมานหรือต้องแบกเสื้อกันหนาวจนตัวเป็นแหนมค่ะ
เราไปกัน 3 ครอบครัว กับสาวโสดอีก3คน รวมผู้ใหญ่ 9 คน เด็ก 1 ขวบ 2 คน เราอยู่ที่โอซาก้า ประมาณ 6 วันค่ะ ส่วนไปเที่ยวไหนบ้าง ก็มีที่ฮิตๆกันค่ะ ซื้อของ ที่ถนน Shinsaibashi, วัด Katsuoji , ห้าง Expocity, แช่ออนเซน ที่โรงแรมบนเขา Minoh Kanko hotel, museam สัตว์น้ำ, Anpanman Children's Museum, Arashiyama ดูป่าไผ่
การเดินทาง มีทั้งขึ้นรถไฟฟ้า เดิน และเช่ารถค่ะ ที่พักมีทั้งโรงแรมและบ้านเช่า Air bnb เอาจริงๆ เที่ยวครั้งนี้ เน้นชิวๆ 3วันแรกนี่ นอนโรงแรมอยู่ย่าน Shinsaibashi ตื่น 10โมง 5555 คิดอยู่ว่าจะนั่งเครื่องมาทำไม
ลูกชาย เราอายุ 1 ขวบพอดีในช่วงที่ไปญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ไปต่างจังหวัด ประมาณ 5-6 ครั้งแต่ขับรถไปไง เอาของไปไม่จำกัด แทบจะขนบ้านไปเลย ขาดเหลืออะไรหาได้ไม่อยากบ้านเราเอง แต่ไปต่างประเทศนี่ออกจะตื่นเต้นหน่อย เราว่าสิ่งที่สำคัญอีกอย่างในการเดินทางคือตัวช่วยต่างๆ เช่น รถเข็น เป้อุ้ม กระเป๋า อุปกรณ์ต่างๆ
เราซื้อ cooper plus มาเป็นรถเข็นคันที่สอง รถคันแรกเราก็ดีนะแต่เหมาะกับเด็กอ่อน พอตอนลูกเรา6เดือน เราสังเกตว่าเขาไม่ชอบนั่งในรถคันนั้น เราเลยพาไปลองรถคันใหม่ พอเปี๊ยก (เราเรียกลูกยังงี้แต่ไม่ได้ชื่อเปี๊ยกหรอกนะ) นั่ง cooper plus เท่านั้นแหละ ยิ้มแป้น เราเลยได้ทีอ้อนสามี ได้กลับมา1คัน ดีงามมมม กราบสามีผู้สนับสนุนค่ะ
รีวิวนี้จะแบ่งเป็น 4 ตอนนะคะ เครื่องบิน รถยนต์ รถไฟ และรีวิวรถเข็นโดยรวม
ตอนที่1 เครื่องบิน
อย่างที่บอกค่ะ ครั้งนี้ลูกขึ้นเครื่องบินครั้งแรก อิแม่ตื่นเต้น ถามเพื่อนๆถึงเทคนิคในการพาลูกขึ้นเครื่อง เรารวมคำแนะนำมาให้นะ
- ในสนามบินเอารถเข็นไปด้วยก็ดีมากนะคะ เพราะอย่างที่สุวรรณภูมิมันใหญ่ จะแบกลูกใส่เป้อุ้มตลอดจะเพลียเอาค่ะ แต่ๆ พยายามอย่าให้เขาหลับนะคะ ให้ตื่นๆไว้ เวลาขึ้นเครื่องจะได้หลับดีค่ะ
- รถเข็นถ้าให้สบายใจคือให้เอาใส่ที่ใส่กระเป๋าเหนือศีรษะได้ก็จะดีนะคะ เพราะเราไม่รู้เลยว่าเราจะโยนรถเข็นเราไหม มันจะพังไหม อ้อ! เอากระเป๋าคลุมไปด้วยนะคะ เพราะจากไทยไปเขาให้เอาขึ้นได้แต่พอกลับจากญี่ปุ่นเขาบอกว่าถ้าไม่มีกระเป๋าใส่รถเข็น ก็ไม่ให้เอาขึ้นที่เก็บของเหนือศีรษะค่ะ ทังนี้เราว่าแล้วแต่นโยบายของแต่ละสายการบินค่ะ เราบิน สายการบินแห่งชาติทั้งไปและกลับค่ะ
- การเลือกช่วงเวลาของไฟล์ท สำคัญ บางคนบอกว่าเลือกกลางคืนเพราะลูกจะได้หลับ บางคนก็เลือกกลางวันเพราะบอกว่าถ้าลูกร้องอย่างน้อยคนอื่นเขาก็ตื่นอยู่ เอาเป็นว่าแล้วแต่ละลักษณะนิสัยของลูกละกันค่ะ ถ้าเขาหลับง่ายนอนยาว เลือกกลางคืนเลยค่ะ ส่วนเราเราเลือกกลางวันค่ะ
- ถ้าลูกยังไม่เคยขึ้นเครื่อง ลองให้ขึ้นเครื่องภายในประเทศหรือที่มีระยะเวลาบินสั้นๆก่อน ส่วนเราครั้งแรก5ชั่วโมงเลยจ้า
- เวลาเครื่องขึ้นหรือลง ให้ลูกจุ๊บเต้าหรือกินขวดนม เพราะเป็นช่วงความกดอากาศเปลี่ยนการดูดจะช่วยปรับความดันในหูค่ะ คล้ายๆกับที่เราเคี้ยวหมากฝรั่งค่ะ
- เอาของเล่นที่ลูกชอบติดไปด้วยนะคะ เพราะไฟล์ททามมันนานมาก ลูกจะเบื่อค่ะ แต่แนะนำว่าไม่เอาของเล่นที่มีเสียงดังไปนะคะ เพราะมันจะรบกวนคนอื่น เอาพวกหนังสือ การ์ดอะไรประมาณนั้นค่ะ
- เลือกที่นั่งติดทางเดินนะคะ เพราะเข้าออกง่าย เผื่อลูกร้องจะได้พาเดินหรือไปล้างมือล้างหน้าได้สะดวกค่ะ
เราว่าที่นั่งแถวๆห้องน้ำสะดวกดีนะคะถ้าลูกไม่ได้ตื่นง่าย เพราะจะมีคนเดินผ่านไปผ่านมาบ้างคือคนแถวๆนั้นจะทำใจประมาณนึงอยู่แล้วที่จะถูกรบกวน (อันนี้เดานะ) คือถ้าเรารักสันโดษมากๆ ต้องการที่สงบจริงๆเราจะไม่เลือกแถวๆห้องน้ำ
- เรื่องการนอนของลูก บางสายการบินมีอุปกรณ์ที่นอนให้ยืมแล้วแต่นโยบายสายการบินค่ะ แต่เช็คและแจ้งล่วงหน้านะ เพื่อนเราไปสายการบินอื่นมีที่นอนให้ลูกด้วยนอนสบายเลย ส่วนเรานั่งกอดลูกวนไป55+
- ถ้าเลือกได้ เลือกเครื่องบินลำใหญ่นะคะ คือตอนขากลับ เราได้เครื่องที่มี 2ชั้นค่ะ เลยแอบมีที่ให้ลูกเดินเล่นตรงบันได คือเปี๊ยกเป็นเด็กแอคทีฟค่ะ ร้องจะเดินตลอด ชอบเดินไปยิ้มให้ทุกคน เรานี่อุ้มเลยค่ะ เกรงใจคนอื่นเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเอ็นดูลูกเราเนอะ
- ถ้าลูกชอบเดินเล่น (อย่างลูกเรา1ขวบแต่เดินเก่งมาก) เพื่อนเราที่เป็นแอร์แนะนำว่าถ้าให้เลือกระหว่าง นั่งร้องไห้งอแง เดินเล่นตามทางเดิน และเดินเล่นในครัว ให้อยู่ในครัวดีกว่าเพราะไม่รบกวนผู้โดยสารคนอื่น แต่อาจจะต้องขออนุญาตคนที่ทำงานในนั้นก่อนค่ะเพราะก็เกรงใจเขาเหมือนกัน
- อ้อ! เคล็ดลับในการขึ้นเครื่องอันสุดท้ายคือ ทักทายทำความรู้จักคนรอบข้าง ด้านข้างด้านหน้าด้านหลัง ทักทายเขาก่อนภายใน2-3นาทีแรกที่เห็นหน้า (เพราะถ้าช้ากว่านั้นจะรู้สึกประหลาดๆ) ทักทายแนะนำตัวเราและลูกนิดหน่อยพร้อมทั้งบอกว่า ถ้าลูกร้องรบกวนหรือมีปัญหาอะไร แจ้งเราได้เลยนะคะ ประมาณนั้นค่ะ แล้วเราจะรู้และประเมินเพื่อนร่วมทางได้ค่ะ ว่าใครดูเอ็นดู ใครดูไม่ค่อยสบายใจ จะได้เข้าหาถูกค่ะ จริงๆแล้วเราอาจจะประหลาดใจว่ามีคนใจดีมากกว่าที่เราคิดค่ะ
ความรู้สึกต่อ Cooper plus ในการเดินทางบนเครื่องบิน
ส่วนตัวเราชอบนะคะ ลื่น พับเก็บง่ายดีค่ะ ขนาดเหมาะมากเอาใส่บนที่เก็บของแบบสวยๆเลย แอบเสียดายที่ไม่เอากระเป๋าใส่ด้วยเลยต้องโหลดตอนขากลับไทย
ตอนที่2 รถยนต์
เราเช่ารถยนต์ขับกัน2วันค่ะ แล้วก็เช่าคาร์ซีทด้วย เราเลือก toyota sienta ในการเดินทางกับเด็กจากประสบการณ์เล็กน้อยของเราพอจะแชร์ได้ยังงี้นะคะ
- คาร์ซีทที่เราเช่า มันเป็นแบบเอนนอนไม่ได้ จะนั่งเกือบตรงเลย สำคัญมากๆที่ควรจะเอาหมอนรองคอของลูกไปด้วยค่ะ คือลูกเรานั่งปุ๊บหลับปั๊บแต่สงสารนาง หลับคอพับคออ่อน น่าสงสารมากมาย
- โดยปกติเราจะพกของเล่นเล็ก1อันค่ะเอาไว้แก้เบื่อ
- เตรียมน้ำและขนมที่กินบนรถได้แบบไม่เลอะไปด้วย เพราะมันไม่ได้มีร้านสะดวกซื้อตลอดทางแบบบ้านเรา
- โหลดเพลงใส่มือถือไว้ สามารถเปิดผ่าน blutooth ได้ ให้ลูกฟังเพลินๆ
- รถเช่ามักจะมี GPS อยู่แล้วสามารถใช้เบอร์โทรศัพท์ของสถานที่ที่จะไปกรอกเขาไปแล้วให้นำทางได้ แต่เอาจริงๆนะ สามีของเราไม่ชินอะ ก็เลยเปิดจาก Google map จากมือถือเหมือนเดิม
ความรู้สึกต่อ Cooper plus ในการเดินทางด้วยรถ
เหตุผลหลักๆอีกอย่างที่เราซื้อรถเข็นคันที่สอง เพราะคันแรกพับแล้วใหญ่มากอะ กินที่ในรถหมดเลย แต่ cooper plus ใช้ได้เลยนะ คือพับง่ายด้วยมือเดียว แล้วก็ประหยัดที่มาก เพราะนึกออกไหมว่าต้องเอากระเป๋าเดินทางไปด้วยไง เรื่องพื้นที่นี่สำคัญมากเลย
ตอนที่3 รถไฟ
เราได้ขึ้นรถไฟบ้าง ส่วนตัวเราชอบที่ญี่ปุ่นมากเลยเพราะทุกที่จะมีลิฟท์หมดเพื่อไว้รองรับคนที่นั่งวิวแชร์และเด็กนี่แหละ ตอนแรกนึกว่าจะเหมือนบ้านเราเนอะกลัวว่าจะต้องพับเข้าพับออกไหม แต่เอาจริงๆสบายสุดๆ เราแนะนำยังงี้นะ
- ถ้าเอารถเข็นไปด้วยลองสำรวจหาทางลงที่มีลิฟท์
- ยืนรอรถไฟตรงที่มีสัญลักษณ์รถเข็นที่พื้น
- จอดรถเข็นที่เอาไว้จอดในโบกี้พิเศษ
ความรู้สึกต่อ Cooper plus ในการเดินทางด้วยรถไฟ
ตอนแรกแอบคิดนะว่าหนัก 6 โลนิดๆ จะหนักไปไหมถ้าบางจังหวะต้องยกขึ้นยกลง (บางทางออกที่ไม่มีลิฟท์ หรือยกระหว่างรถไฟกับชานชาลา) แต่เราเอาขึ้นเอาลงสบายมากเลยนะไม่หนักเท่าไร อีกอย่างเราว่าน้ำหนักประมาณทำให้แขวนของได้ไม่ล้มแม้จะไม่มีลูก และทำให้รถเข็นมันเข็นนุ่มขึ้นด้วยอะ ตัวล็อคก็ล็อคง่ายนะแน่นดี พี่อีกคนเอารถเข็นอีกยี่ห้อไป ต้องล็อคสองจุด แต่เราล็อคได้เร็วและง่ายกว่าเยอะ
ตอนที่4 รีวิวรถเข็นโดยรวม
สำหรับคนที่กำลังมองหารถเข็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคันแรกคันที่สอง เราว่า cooper plus ก็น่าสนใจนะ เราจะเขียนจุดที่ประทับใจเราส่วนตัวนอกเหนือจากที่บอกไปตอนต้นนะ
- cooper มีที่เก็บของเยอะมากกกก อันนี้กรี๊ดจริงๆ ทำให้เรารู้สึกว่า ไม่เหนื่อยเท่าที่คิดไว้ รถเข็นทุ่นแรงได้เยอะ
- โครงสีเงินๆ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเท่าไรว่ามันดีกว่าโครงสีดำหรือขาวยังไง แต่พอไปดูของเพื่อนที่ใช้อีกยี่ห้อของเขารอยเยอะมากดูเก่าเลย เราขอบคุณแบรนด์มากที่ใช้วัสดุนี้เพราะมันไม่มีรอยเลย ทำให้ดูใหม่ตลอดอะ ทั้งที่ของเราซื้อมาก่อนหลายเดือนและใช้เกือบทุกวัน
- ความลื่น เฮ้ย!!มันดีจริง ลื่นกว่า รถเข็นคันแรก ที่ราคาเกือบสองหมื่นของเราอีกเอาจริงๆ เราเข็นทุกพื้นผิวอะ เพราะขี้เกียจถือของ เลยกางรถใช้ซะเลย
- สุดท้ายที่ดีมากๆๆๆ คือสีสันจ้า มีให้เลือกมากมาย บอกเลยว่าเราชอบสีของ cooper plus มาก แล้วพอใช้จริงนะ ถ่ายรูปสวยมากอะเราว่า ยิ่งเอาไปเที่ยวธรรมชาตินะ สีมันจะคลาสสิคๆ แบบที่ไม่มีเจ้าไหนทำสีได้เยอะเท่าเราพูดเลย
หวังว่ากระทูนี้จะช่วยเพื่อนในการเตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกับลูกน้อยนะคะ แล้วคงจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเลือกรถเข็นด้วย
ถ้าถามว่าใช้แล้วติดขัดอะไรบ้างไหม มี 2 เรื่องค่ะคือ ผ้าคาดที่เป็นตัวล็อกเป้ามันชอบเลอะน้ำลายลูกค่ะ และมันแกะซักไม่ได้ด้วย อาจจะต้องแก้โดยการทำปลอกใส่ค่ะจะได้ถอดส่วนนั้นซักได้ด้วย เรื่องที่2คือ ก้านที่ใช้เข็นตอนพับมันขวางที่เก็บของด้านล่างอยู่ทำให้ต้องคะแคงของใส่ แต่เอาน่าแลกกับการที่ก้านเข็นมันยาวมาก สามีเราสูง 183 เข็นก้านเข็น(ตอนพับ) สบายๆอะ มีแค่สองเรื่องนี้ที่กวนใจแต่ถ้าเทียบโดยรวม functions หลักๆ กับราคาที่จ่าย เรียกว่าคุ้มค่ามาก เราเอาคันเกือบสองหมื่นพับเก็บแล้วใช้ cooper plus คันเดียวเลยคิดดู
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม