ผมเองเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ที่ไม่เค๊ยยยยย ไม่เคยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกมาก่อน
คนโตอายุ 6 ขวบอยู่ ป.1 ผมเพิ่งรู้ผลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเขามีผลการเรียนเป็นที่ 2 ของระดับชั้น โดยผลคะแนนรวมของเขาเนี่ย
โดยคนที่ได้คะแนนลำดับที่ 1 ได้ 88.44 ส่วนเจ้าตัวแสบของผมเนี่ยได้ 88.20 อวดลูกนั่นแหละอิแม่ทั้งหลาย 55555
แต่อ่านให้จบก่อนอย่าเพิ่งหมั่นใส้กัน
ต้องบอกก่อนนะครับว่า ผมเอามาตั้งกระทู้เนี่ยมันเป็นความอวรลูกแบบไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะตอนเรียนอนุบาลเนี่ย เขาเคยเข้าไปเรียนแล้ว เขาเรียนไม่ทันเพื่อนเพราะเพื่อนสามารถอ่านออกเขียนได้ (โรงเรียนอนุบาลเอกชนย่านธุรกิจที่มีที่ดินแแพงที่สุดในประเทศ) ครูเรียกผมไปพบหลายครั้งแต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการสอนของครู เพราะแค่อนุบาลเอง จะสามารถอ่านออกเขียนได้ทั้งภาษาไทน ภาษาอังกฤษ ไหนจะภาษาจีนอีก พัฒนาการของเขายังไม่ถึงต้องเข้มเรื่องวิชาการ ผมเลยต้องเอาออกมา จริงๆค่าเทอมแพงด้วยแหละ ฮ่าๆ (เด็กก็เก่งเกิ๊น ทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ อ่านออกเขียนคล่อง สมัยนี้น่ากลัวจริง 5 ขวบเองครับ ผมยังดีดล฿ูกแก้วไม่เป็นเลยมั้ง55555)
พอเอาออกมาทำไงละครับ สอนเองสิครับ เอาหนังสือ เอาตำราการสอนลูกแบบ Hame school มาอ่าน อ่านเรื่องพัฒนาการเด็ก หนังของไทย ทั้งของต่างชาติ ปรึกษาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ จริงๆผมไม่ได้เอาลูกเข้าระบบ Home school กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานะครับ แค่เอาออกมาแล้วสอนเลย ถามว่ามีผลมั้น มีผลกับเรื่องของเงินเบิกรายหัวที่เราจะได้รับ ปีละ 3 พันกว่ามั้งถ้าผมจำไม่ผิด
อย่างที่ชื่อกระทู้บอกเลยว่าเพราะผมขี้เกียจมากกกกกก เลยเลี้ยงลุกแบบ ทำไรต้องทำด้วยตัวเอง ช่วยกันนะ ไม่ยอมเหนื่อยคนเดียวหรอก ฮ่าๆ
(บอกก่อนนะครับว่าเขามีน้องชายห่างกัน 3 ปี ) ด้วยความที่เราอยู่กันแค่นี้มีอะไรผมจะให้สอนคนพี่แล้วให้พี่ไปสอนน้องดูแลน้องต่อเสมอ ถึงจะปวดหัวหน่อยแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยนะครับ งานบ้านช่วยกัน ที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้าไรพวกนี้ ต้องรับผิดชอบของตัวเอง และช่วยน้อง
ความขี้เกียจที่ 1 เอาละวิธีการของผมคือ ผมมีเวลาอยู่กับลูกพอสมควรเพราะผมเองค้าขาย ทำให้เราสามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้ โดยที่แต่ละที่หรือแต่ละครั้งที่เราไปไหนไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ คอนเสิร์ต งานอีเว้นต์ สวนสนุก ไปบ้านเพื่อน ผมจะให้เขากลับมาสรุป ว่าวันนี้ไปเจออะไรมา ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร โดยการให้เขาเลือกว่าจะสรุปโดยการวาดภาพแล้วระบายดี หรือว่าจะมายืนพูดให้ฟังก็ได้ เพราะผมไม่มีเวลาไปนั่งสอนในคลาส แต่ก็จะเห็นพัฒนาการเขานะ เห็นว่าระบบความคิดเขาเป็นยังไง สนใจเรื่องไหน เราจะเพิ่มเติมสิ่งไหนให้เขา
อีกหนึ่งอย่างที่ผมให้ความสำคัยกับลูกมากๆคือเรื่องของการมีอำนาจในการตัดสินใจ ไม่ว่าสถานที่ที่จะไปให้เขาได้เลือกและถามเหตุผล เสื้อผ้า อาหาร ถามความเห็นเขา และชื่นชมใสสิ่งที่เขาเลือกเสมอ จะถูกจะผิดสมควรหรือไม่เราค่อยเสริมแต่ต้องชมก่อนทุกครั้ง เช่น หนูเป็นเด้กที่ยิ้มแล้วน่ารักมากเลยนะ พูดเพราะด้วย แต่ถ้าหนูรู้จักสวัสดีและพูดขอบคุณบ่อยๆ หนูจะเป็นเด็กที่น่ารักแล้วมีแต่คนรักเยอะมากแน่ๆ ออกกลอุบายนิดๆ ฮ่าๆ
ความขี้เกียจที่ 2 เรื่องวิชาการผมค่อยๆสอดแสรกเข้าไปทีละนิดเช่นเรื่องการบวกลบเลข เวลาไปที่ไหนเจอป้ายที่มีตัวเลข หรือทะเบียนรถ ผมก็ชอบเล่นเกมกับเขา ให้บวกเลขหรือทำโจทย์ตามตัวเลขที่เห็นตามสถานที่ต่างๆ อย่างรถติดไฟแดงอยู่ก็จะให้เอาเลขทั้งหมดของทะเบียนรถคันหน้ามาบวกกันก่อนที่จะไปเขียวทำทันเลี้ยงขนม ประมาณนี้ ไม่ต้องไปนั่งใช้เวลาชี้นิ้วบอกให้ทำโจทย์นับนิ้ว เสียเวลา เป็นไงความขี้เกียจนี้
พอเมื่อเขาอยู่แต่กับผมแน่นอนหลายคนรอบข้างห่วงมากเรื่องสังคมของเด็ก ว่าเขาจะไม่มีเพื่อน แต่กับลูกผมไม่เลยครับ กลายเป็นเด้กที่เจอคนเยอะ กล้าพูด กล้าถาม และยังเป็นเด้กอัธยาศัยดี เพราะรู้จักคนไปทั่ว รู้จักมากกว่าผมอีก ขึ้นรถเมย์หรือรถสองแถวนี่มีคนชวนคุยคือคุยยาวจนลงรถ
ผมทำแบบนี้ตลอดจนถึงวันหนึ่งเขาต้องเข้าเรียนประถม ความกังวลครั้งใหญ่และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมก็แอบเครียดพอสมควร ผมหาโรงเรียนเอกชนที่คิดว่าโอเคกับลูกและค่าเรียนที่เราพอรับได้ และที่สำคัญต้องใกล้บ้านเราขี้เกียจตื่นเช้า ฮ่าๆ จนได้โรงเรียน 3 ภาษาเก่าแก่โรงเรียนหนึ่งมา
ถึงจะไม่ค่อยถูกใจนักเท่าไหร่แต่เอาเป็นว่าดีที่สุดในตัวเลือกแล้ว เพราะไม่มีปัญญาไปเรียนเอกชนแพงๆ ย่านสาทรอ่าเนอะ แค่นี้พ่อก็ปาดน้ำตาแล้วลูกเอ้ยยยย
ด้วยความที่ผมไม่ได้สนใจกับวิชาการและไม่คาดหวังเลยอิแม่จ๋า บวกกับความขี้เกียจ เพราะลำพังทำงานเลี้ยงลูกก็จะบ่มีเวลาแล้ว ทำให้ผมนั้นไม่เคยสนใจการเรียนของลูก ถามแค่ว่าแต่ละวันเป็นไงบ้าง เจอเพื่อนแกล้งมั้ย ครูตีมั้ย หนูอึที่โรงเรียนรึเปล่า กับข้าวอร่อยมั้ย เพื่อที่จะดูว่าเขามีความสุขกับการเรียนมั้ย ส่วนการบ้านหรอ ไม่เคยสอน เพราะขี้เกียจด้วย ฮ่าๆ และคิดว่ามันคือหน้าที่เขาเองที่ต้องทำไปให้ครูได้วัดผลว่าที่ครูสอนเขาเข้าใจหรือไม่ มีส่วนร่วมกับเขาเรื่องโรงเรียนมากสุดก็ไปส่งไปรับที่โรงเรียน และไปให้ครูประจำชั้นดุ เรื่องพาไปโรงเรียนสายบ่อย(แหม่ครูก็ย่านรถติด ขอโทษค้าบบบบ) กับลืมวันฉีดวัคซีน ฮ่าๆ อันนี้ไม่ดี พ่อควรถูกครูตี
ความขี้เกียจที่ คือความรับผิดชอบ เมื่อเราต้องอยู่ด้วยกัน ต้องช่วยเหลือกัน ผมใช้ลูกบ่อยมาก อันนี้ไม่ค่อยดีนะครับ ฮ่าๆ อาบน้ำให้น้อง สอนหนังสือน้องวัน 3 ขวบ เป็นลูกมือทำอาหาร เก็บจาน ล้างจาน จัดที่นอน รวมไปถึงเดินไปส่งน้องที่ห้องเรียน เขาจะเป็นคนจัดการเอง
ด้วยความที่ผมอะไรก้จะมีแต่ลูกแต่ลูกผมจะสนิทกันมากๆ มีอะไรคือเล่าให้ฟัง เขาไปชอบสาวคนไหน ผมไปเจอเรื่องตลกๆก็จะมาเล่าให้เขาฟัง เขาเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง อย่างน้อยมันทำให้ระหว่างเราไม่มีอะไรมากั้นความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ ถึงผมจะมีแอบดุบ้าง เพราะวิธีการทำโทษของผมจะให้เขาเลือกเองว่าจะถูกทำโทษยังไง แต่ความแสบของเด็กชายที่มีน้องชาย แพ็คคู่มาก็จะคูณสอง ทำให้เราต้องมีการเรียกมาปรับทัศนคติบ่อยๆ
เข้าเรื่องเรียนต่อนะครับ ออกนอกทะเลไปไกลยันฮาวาย แรกๆครูก้เรียกไปพบเรื่องพัฒนาการด้านวิชาการเขาช้า จนครูให้เรียนเสริมในวิชาภาษาจีน เพราะเขาไม่สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ (ภาษาจีนต้องมีคาราโอเก๊ะไทย) ก็ยอมให้เรียนเสริมหลังเลิกเรียน สองวันต่อสัปดาห์ จนผ่านไปหนึ่งเทอม ผมก้ถามเขาเหมือนเดิมทุกวัน ว่าเขามีความสุขกับการเรียนมั้ย จริงๆไม่อยากถามเยอะหรอกครับ ตอบมานีนั่งฟังไปอีกสามวันเล่าเยอะมาก แสดงว่าเขามีความสุข เล่าถึงเพื่อน ถึงครู เล่าถึงกับข้าว เด็กข้างห้อง ตามประสาเขา จบเวลาผ่านไป 1 เทอม กว่าๆ
วันหนึ่งผมได้เดินขึ้นไปบนห้องเพื่อพบครูประจำชั้นสอบถามเรื่องไปทัศนศึกษา และไปเห็นผลการเรียนของเขาในเทอมแรกติดอยู่หน้าห้อง
ผมเอานิ้วชื่อไปไล่ดูจนถึงชื่อลูกตัวเองในเลขที่ 17 คะแนนใน 3 วิชาแรก 90 คะแนนขึ้น ผมเอานิ้วเลื่อนไปตามตารางจนวิชาสุดท้ายไม่มีวิชาไหนต่ำกว่า 80 คะแนนเลย ผมเลยดูของเด็กคนอื่นๆ ด้วยความสงสัยว่า นี่มันคะแนนจริงๆหรอวะเนี่ย ฮ่าๆ
ก็มีครูเดินเข้ามาบอกว่า ลูกชายสอบได้ที่ 2 ห่างจากที่หนึ่งแค่นิดเดียว ของระดับชั้น ยังได้คะแนนสูงสุด 5 วิชา ในระดับชั้น ที่ได้เยอะสุดคือ ภาษา ไทย กับคณิตศาสตร์ งงเป็นไก่ตาแตกเลยครับ ไหนครูบอกอ่านหนังสือไม่ออก เรียนช้าไงครู???? ครูบอกว่าพอเขาเริ่มอ่านออกหเขียนได้เขากลับสามารถอ่านคล่องเขียนคล่อง และยังใช้ภาษาได้ดีกว่าเด็กในระดับเดียวกัน เลยถามครูว่า แล้วทำไมผมไม่เห้นแววเรียนเก่งของเขาเลยครับครู ครูบอกว่าลูกชายผมเนี่ยเขาเป็นเด้กที่มีความสุขกับการเรียนมาก ถามครูฃตลอด กล้าเสนอ ถ้ายกมือ แม้จะมีขี้เกียจเรียนในวิชาสังคมบ้าง เพราะครูบอกเขาไม่ชอบวิชาที่ท่องจำ แต่เขาชอบทำแบบฝึกหัด ถึงบางอ้อเลยครับ
มันเป็นแบบนี้นี่เอง เดชะบุญความขี้เกียจของเราแน่ เข้าข้างตัวเองใว้ก่อน บอกตรงๆเลยครับว่าโคตรดีใจ ภูมิใจ ไม่ใช่แค่ดีใจหรือภูมิใจในตัวเขานะ ภูมิใจในตัวเอง มันตื้นตันที่เราก็เลี้ยงลูกได้เีนี่หว่า ถึงจะเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ไมใ่ค่อยเอาไหน ขี้เกียจ มีคนมาว่าลูกเด็กเปรดบ้าง แต่เห็นจุดเริ่มต้นที่ดีแบบนี้ไม่รู้ว่าเรามาถูกทางมั้ย กลับบ้านมาก็โม้กับเพื่อนในเฟสบุ๊คก่อนเลยครับ ฮ่าๆ
แต่ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าพัฒนาการของเด้กแต่ละคนมีการับรู้ที่ถนัดต่างกัน เพราะฉนั้น อย่างล฿ูกผมเขาชอบการฟัง การได้ลองทำ และการได้ถ่ายทอด มันทำให้กระบวนการเรียนรู้ของเขามันเกิดขึ้นและเขาเรียนรู้กับมันได้ดีกว่าการท่องทำ เพราะเขาเป็นเด้กที่จำรายละเอียดเล้กๆน้อยๆไใม่ค่อยได้ถ้าไมใ่ใช่เรื่องที่สนใจจริงๆ ผมจะจุดตรงนี้ของเขาได้เลยพยายามเน้นเรื่องพัฒนาการด้านนี้ ทั้งเรื่องภาษาศาสตร์ และ ตรรกศาสตร์ (คณิตฯ)ที่เขาโดดเด่น
การอวดลูกได้จบลงไปแล้ว หวังว่าพ่อแม่หลายๆท่านจะได้ประโยชน์จากการอวดลูกในครั้งนี้ สวีสดีครับ
เลี้ยงลูกด้วยความขี้เกียจ ทำให้ผลการเรียนลูกเป็นที่ 2 ของระดับชั้น?
คนโตอายุ 6 ขวบอยู่ ป.1 ผมเพิ่งรู้ผลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเขามีผลการเรียนเป็นที่ 2 ของระดับชั้น โดยผลคะแนนรวมของเขาเนี่ย
โดยคนที่ได้คะแนนลำดับที่ 1 ได้ 88.44 ส่วนเจ้าตัวแสบของผมเนี่ยได้ 88.20 อวดลูกนั่นแหละอิแม่ทั้งหลาย 55555
แต่อ่านให้จบก่อนอย่าเพิ่งหมั่นใส้กัน
ต้องบอกก่อนนะครับว่า ผมเอามาตั้งกระทู้เนี่ยมันเป็นความอวรลูกแบบไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะตอนเรียนอนุบาลเนี่ย เขาเคยเข้าไปเรียนแล้ว เขาเรียนไม่ทันเพื่อนเพราะเพื่อนสามารถอ่านออกเขียนได้ (โรงเรียนอนุบาลเอกชนย่านธุรกิจที่มีที่ดินแแพงที่สุดในประเทศ) ครูเรียกผมไปพบหลายครั้งแต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการสอนของครู เพราะแค่อนุบาลเอง จะสามารถอ่านออกเขียนได้ทั้งภาษาไทน ภาษาอังกฤษ ไหนจะภาษาจีนอีก พัฒนาการของเขายังไม่ถึงต้องเข้มเรื่องวิชาการ ผมเลยต้องเอาออกมา จริงๆค่าเทอมแพงด้วยแหละ ฮ่าๆ (เด็กก็เก่งเกิ๊น ทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ อ่านออกเขียนคล่อง สมัยนี้น่ากลัวจริง 5 ขวบเองครับ ผมยังดีดล฿ูกแก้วไม่เป็นเลยมั้ง55555)
พอเอาออกมาทำไงละครับ สอนเองสิครับ เอาหนังสือ เอาตำราการสอนลูกแบบ Hame school มาอ่าน อ่านเรื่องพัฒนาการเด็ก หนังของไทย ทั้งของต่างชาติ ปรึกษาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ จริงๆผมไม่ได้เอาลูกเข้าระบบ Home school กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานะครับ แค่เอาออกมาแล้วสอนเลย ถามว่ามีผลมั้น มีผลกับเรื่องของเงินเบิกรายหัวที่เราจะได้รับ ปีละ 3 พันกว่ามั้งถ้าผมจำไม่ผิด
อย่างที่ชื่อกระทู้บอกเลยว่าเพราะผมขี้เกียจมากกกกกก เลยเลี้ยงลุกแบบ ทำไรต้องทำด้วยตัวเอง ช่วยกันนะ ไม่ยอมเหนื่อยคนเดียวหรอก ฮ่าๆ
(บอกก่อนนะครับว่าเขามีน้องชายห่างกัน 3 ปี ) ด้วยความที่เราอยู่กันแค่นี้มีอะไรผมจะให้สอนคนพี่แล้วให้พี่ไปสอนน้องดูแลน้องต่อเสมอ ถึงจะปวดหัวหน่อยแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยนะครับ งานบ้านช่วยกัน ที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้าไรพวกนี้ ต้องรับผิดชอบของตัวเอง และช่วยน้อง
ความขี้เกียจที่ 1 เอาละวิธีการของผมคือ ผมมีเวลาอยู่กับลูกพอสมควรเพราะผมเองค้าขาย ทำให้เราสามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้ โดยที่แต่ละที่หรือแต่ละครั้งที่เราไปไหนไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ คอนเสิร์ต งานอีเว้นต์ สวนสนุก ไปบ้านเพื่อน ผมจะให้เขากลับมาสรุป ว่าวันนี้ไปเจออะไรมา ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร โดยการให้เขาเลือกว่าจะสรุปโดยการวาดภาพแล้วระบายดี หรือว่าจะมายืนพูดให้ฟังก็ได้ เพราะผมไม่มีเวลาไปนั่งสอนในคลาส แต่ก็จะเห็นพัฒนาการเขานะ เห็นว่าระบบความคิดเขาเป็นยังไง สนใจเรื่องไหน เราจะเพิ่มเติมสิ่งไหนให้เขา
อีกหนึ่งอย่างที่ผมให้ความสำคัยกับลูกมากๆคือเรื่องของการมีอำนาจในการตัดสินใจ ไม่ว่าสถานที่ที่จะไปให้เขาได้เลือกและถามเหตุผล เสื้อผ้า อาหาร ถามความเห็นเขา และชื่นชมใสสิ่งที่เขาเลือกเสมอ จะถูกจะผิดสมควรหรือไม่เราค่อยเสริมแต่ต้องชมก่อนทุกครั้ง เช่น หนูเป็นเด้กที่ยิ้มแล้วน่ารักมากเลยนะ พูดเพราะด้วย แต่ถ้าหนูรู้จักสวัสดีและพูดขอบคุณบ่อยๆ หนูจะเป็นเด็กที่น่ารักแล้วมีแต่คนรักเยอะมากแน่ๆ ออกกลอุบายนิดๆ ฮ่าๆ
ความขี้เกียจที่ 2 เรื่องวิชาการผมค่อยๆสอดแสรกเข้าไปทีละนิดเช่นเรื่องการบวกลบเลข เวลาไปที่ไหนเจอป้ายที่มีตัวเลข หรือทะเบียนรถ ผมก็ชอบเล่นเกมกับเขา ให้บวกเลขหรือทำโจทย์ตามตัวเลขที่เห็นตามสถานที่ต่างๆ อย่างรถติดไฟแดงอยู่ก็จะให้เอาเลขทั้งหมดของทะเบียนรถคันหน้ามาบวกกันก่อนที่จะไปเขียวทำทันเลี้ยงขนม ประมาณนี้ ไม่ต้องไปนั่งใช้เวลาชี้นิ้วบอกให้ทำโจทย์นับนิ้ว เสียเวลา เป็นไงความขี้เกียจนี้
พอเมื่อเขาอยู่แต่กับผมแน่นอนหลายคนรอบข้างห่วงมากเรื่องสังคมของเด็ก ว่าเขาจะไม่มีเพื่อน แต่กับลูกผมไม่เลยครับ กลายเป็นเด้กที่เจอคนเยอะ กล้าพูด กล้าถาม และยังเป็นเด้กอัธยาศัยดี เพราะรู้จักคนไปทั่ว รู้จักมากกว่าผมอีก ขึ้นรถเมย์หรือรถสองแถวนี่มีคนชวนคุยคือคุยยาวจนลงรถ
ผมทำแบบนี้ตลอดจนถึงวันหนึ่งเขาต้องเข้าเรียนประถม ความกังวลครั้งใหญ่และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมก็แอบเครียดพอสมควร ผมหาโรงเรียนเอกชนที่คิดว่าโอเคกับลูกและค่าเรียนที่เราพอรับได้ และที่สำคัญต้องใกล้บ้านเราขี้เกียจตื่นเช้า ฮ่าๆ จนได้โรงเรียน 3 ภาษาเก่าแก่โรงเรียนหนึ่งมา
ถึงจะไม่ค่อยถูกใจนักเท่าไหร่แต่เอาเป็นว่าดีที่สุดในตัวเลือกแล้ว เพราะไม่มีปัญญาไปเรียนเอกชนแพงๆ ย่านสาทรอ่าเนอะ แค่นี้พ่อก็ปาดน้ำตาแล้วลูกเอ้ยยยย
ด้วยความที่ผมไม่ได้สนใจกับวิชาการและไม่คาดหวังเลยอิแม่จ๋า บวกกับความขี้เกียจ เพราะลำพังทำงานเลี้ยงลูกก็จะบ่มีเวลาแล้ว ทำให้ผมนั้นไม่เคยสนใจการเรียนของลูก ถามแค่ว่าแต่ละวันเป็นไงบ้าง เจอเพื่อนแกล้งมั้ย ครูตีมั้ย หนูอึที่โรงเรียนรึเปล่า กับข้าวอร่อยมั้ย เพื่อที่จะดูว่าเขามีความสุขกับการเรียนมั้ย ส่วนการบ้านหรอ ไม่เคยสอน เพราะขี้เกียจด้วย ฮ่าๆ และคิดว่ามันคือหน้าที่เขาเองที่ต้องทำไปให้ครูได้วัดผลว่าที่ครูสอนเขาเข้าใจหรือไม่ มีส่วนร่วมกับเขาเรื่องโรงเรียนมากสุดก็ไปส่งไปรับที่โรงเรียน และไปให้ครูประจำชั้นดุ เรื่องพาไปโรงเรียนสายบ่อย(แหม่ครูก็ย่านรถติด ขอโทษค้าบบบบ) กับลืมวันฉีดวัคซีน ฮ่าๆ อันนี้ไม่ดี พ่อควรถูกครูตี
ความขี้เกียจที่ คือความรับผิดชอบ เมื่อเราต้องอยู่ด้วยกัน ต้องช่วยเหลือกัน ผมใช้ลูกบ่อยมาก อันนี้ไม่ค่อยดีนะครับ ฮ่าๆ อาบน้ำให้น้อง สอนหนังสือน้องวัน 3 ขวบ เป็นลูกมือทำอาหาร เก็บจาน ล้างจาน จัดที่นอน รวมไปถึงเดินไปส่งน้องที่ห้องเรียน เขาจะเป็นคนจัดการเอง
ด้วยความที่ผมอะไรก้จะมีแต่ลูกแต่ลูกผมจะสนิทกันมากๆ มีอะไรคือเล่าให้ฟัง เขาไปชอบสาวคนไหน ผมไปเจอเรื่องตลกๆก็จะมาเล่าให้เขาฟัง เขาเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง อย่างน้อยมันทำให้ระหว่างเราไม่มีอะไรมากั้นความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ ถึงผมจะมีแอบดุบ้าง เพราะวิธีการทำโทษของผมจะให้เขาเลือกเองว่าจะถูกทำโทษยังไง แต่ความแสบของเด็กชายที่มีน้องชาย แพ็คคู่มาก็จะคูณสอง ทำให้เราต้องมีการเรียกมาปรับทัศนคติบ่อยๆ
เข้าเรื่องเรียนต่อนะครับ ออกนอกทะเลไปไกลยันฮาวาย แรกๆครูก้เรียกไปพบเรื่องพัฒนาการด้านวิชาการเขาช้า จนครูให้เรียนเสริมในวิชาภาษาจีน เพราะเขาไม่สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ (ภาษาจีนต้องมีคาราโอเก๊ะไทย) ก็ยอมให้เรียนเสริมหลังเลิกเรียน สองวันต่อสัปดาห์ จนผ่านไปหนึ่งเทอม ผมก้ถามเขาเหมือนเดิมทุกวัน ว่าเขามีความสุขกับการเรียนมั้ย จริงๆไม่อยากถามเยอะหรอกครับ ตอบมานีนั่งฟังไปอีกสามวันเล่าเยอะมาก แสดงว่าเขามีความสุข เล่าถึงเพื่อน ถึงครู เล่าถึงกับข้าว เด็กข้างห้อง ตามประสาเขา จบเวลาผ่านไป 1 เทอม กว่าๆ
วันหนึ่งผมได้เดินขึ้นไปบนห้องเพื่อพบครูประจำชั้นสอบถามเรื่องไปทัศนศึกษา และไปเห็นผลการเรียนของเขาในเทอมแรกติดอยู่หน้าห้อง
ผมเอานิ้วชื่อไปไล่ดูจนถึงชื่อลูกตัวเองในเลขที่ 17 คะแนนใน 3 วิชาแรก 90 คะแนนขึ้น ผมเอานิ้วเลื่อนไปตามตารางจนวิชาสุดท้ายไม่มีวิชาไหนต่ำกว่า 80 คะแนนเลย ผมเลยดูของเด็กคนอื่นๆ ด้วยความสงสัยว่า นี่มันคะแนนจริงๆหรอวะเนี่ย ฮ่าๆ
ก็มีครูเดินเข้ามาบอกว่า ลูกชายสอบได้ที่ 2 ห่างจากที่หนึ่งแค่นิดเดียว ของระดับชั้น ยังได้คะแนนสูงสุด 5 วิชา ในระดับชั้น ที่ได้เยอะสุดคือ ภาษา ไทย กับคณิตศาสตร์ งงเป็นไก่ตาแตกเลยครับ ไหนครูบอกอ่านหนังสือไม่ออก เรียนช้าไงครู???? ครูบอกว่าพอเขาเริ่มอ่านออกหเขียนได้เขากลับสามารถอ่านคล่องเขียนคล่อง และยังใช้ภาษาได้ดีกว่าเด็กในระดับเดียวกัน เลยถามครูว่า แล้วทำไมผมไม่เห้นแววเรียนเก่งของเขาเลยครับครู ครูบอกว่าลูกชายผมเนี่ยเขาเป็นเด้กที่มีความสุขกับการเรียนมาก ถามครูฃตลอด กล้าเสนอ ถ้ายกมือ แม้จะมีขี้เกียจเรียนในวิชาสังคมบ้าง เพราะครูบอกเขาไม่ชอบวิชาที่ท่องจำ แต่เขาชอบทำแบบฝึกหัด ถึงบางอ้อเลยครับ
มันเป็นแบบนี้นี่เอง เดชะบุญความขี้เกียจของเราแน่ เข้าข้างตัวเองใว้ก่อน บอกตรงๆเลยครับว่าโคตรดีใจ ภูมิใจ ไม่ใช่แค่ดีใจหรือภูมิใจในตัวเขานะ ภูมิใจในตัวเอง มันตื้นตันที่เราก็เลี้ยงลูกได้เีนี่หว่า ถึงจะเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ไมใ่ค่อยเอาไหน ขี้เกียจ มีคนมาว่าลูกเด็กเปรดบ้าง แต่เห็นจุดเริ่มต้นที่ดีแบบนี้ไม่รู้ว่าเรามาถูกทางมั้ย กลับบ้านมาก็โม้กับเพื่อนในเฟสบุ๊คก่อนเลยครับ ฮ่าๆ
แต่ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าพัฒนาการของเด้กแต่ละคนมีการับรู้ที่ถนัดต่างกัน เพราะฉนั้น อย่างล฿ูกผมเขาชอบการฟัง การได้ลองทำ และการได้ถ่ายทอด มันทำให้กระบวนการเรียนรู้ของเขามันเกิดขึ้นและเขาเรียนรู้กับมันได้ดีกว่าการท่องทำ เพราะเขาเป็นเด้กที่จำรายละเอียดเล้กๆน้อยๆไใม่ค่อยได้ถ้าไมใ่ใช่เรื่องที่สนใจจริงๆ ผมจะจุดตรงนี้ของเขาได้เลยพยายามเน้นเรื่องพัฒนาการด้านนี้ ทั้งเรื่องภาษาศาสตร์ และ ตรรกศาสตร์ (คณิตฯ)ที่เขาโดดเด่น
การอวดลูกได้จบลงไปแล้ว หวังว่าพ่อแม่หลายๆท่านจะได้ประโยชน์จากการอวดลูกในครั้งนี้ สวีสดีครับ