ฮาวทูทิ้ง...ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (Happy Old Year)
(นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์)
9.5/10
...
"สะเทือนอารมณ์มาก มินิมอล แต่ต่อยหนักมาก"
ตั้งสติอยู่สองวันกว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้...ยอมรับตรงๆ ว่าหนังจบแต่คนดูอย่างผมยังไม่จบ มันมีอะไรมากมายวนเวียนอยู่ในหัว นี่คือหนึ่งในหนังที่เล่นกับความรู้สึกกับคนดูอย่างผมมากจริงๆ (และเท่าที่ตามอ่านในความคิดเห็นหลากหลายมีทั้งชอบมาก และ ผิดหวังกับตัวหนังไปเลยก็มี) ...แต่ถึงอย่างนั้น ฮาวทูทิ้ง สำหรับผม คืองานของเต๋อ นวพล ที่ประนีประนอมกับคนดูมากที่สุด หนังมีส่วนผสมที่ลงตัวมากระหว่างความเป็นอาร์ต ความเป็นอินดี้แบบเต๋อๆ และความแมสในการเข้าถึงผู้ชมแบบ GDH (ผมว่ามากกว่าฟรีแลนท์ งานเรื่องเก่าอีก) รวมไปถึงการตกผลึกทางความคิดที่แยบยลมากๆ ...เต๋อเก่งมากที่สามารถขยายเรื่องเล็กๆ มินิมอลแบบเต๋อ ให้กลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สะเทือนอารมณ์ ความรู้สึกในหัวใจของเราได้
ไม่น่าเชื่อว่าจากเรื่องเล็กๆ ของการจัดบ้านหลังเดิมๆ ที่เต็มไปข้าวของเยอะแยะมากมาย (ซึ่งแน่นอนข้าวของต่างๆ เหล่านี้ มันบรรจุทั้งอดีต ทั้งความทรงจำในช่วงเวลานั้น ของงหลายๆ ชิ้นในช่วงเวลาหนึ่งๆ มันอาจจะเป็นของที่ล้ำค่า แต่ในช่วงเวลาปัจจุบัน อาจจะกลายค่าเป็นขยะ) ของจีน (ออกแบบ ชุติมณฑน์) สาวอาร์ททิส ที่ต้องการเอาบ้านชั้นล่างของตัวเองเปลี่ยนเป็นออฟฟิศใหม่ในแบบอาร์ตๆ แบบมินิมอล เล็กๆ แต่ลงตัว ...นั่นเป็นที่มาของการทิ้งข้าวของต่างๆ มากมาย ทั้งของส่วนตัวของตัวเอง ของที่เพื่อนให้ ของที่ยืมเพื่อนมาแล้วยังไม่คืน ของรักของคนในบ้าน (แม่) ที่บรรจุด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด แต่เราก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ รวมไปถึงของจากคนรักเก่า พี่เอม (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ที่ครั้งหนึ่งจีนเลือกที่จะทิ้งไปอยู่สวีเดน โดยไม่บอก ไม่ร่ำลา เหลือแค่ความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดที่ยังคงค้างคาอยู่ในหัวใจ ...นั่นแหละถึงเป็นที่มาของการเล่นกับความเจ็บปวด การรู้สึกผิด การก้าวข้ามความทรงจำเก่าๆ ที่หนังใช้ว่า Move On ไปสู่การสร้างโลกใหม่ ชีวิตใหม่ที่สดใสกว่า (จริงหรือ)
"อดีต - ปัจจุบัน - อนาคต"
...
นี่คือประเด็นที่ผมรู้สึกได้มากที่สุดในหนัง นี่คือประเด็นๆ เล็กๆ ที่เต๋อเล่นงานเราได้อย่างแยบยลและละเอียดอ่อนมากๆ
อดีต...ที่แสนเจ็บปวด แต่คนบางคนเลือกที่จะจำมัน ...เช่นแม่ของจีน ที่เลือกเก็บเปียโนเก่าๆ ของพ่อไว้ (พ่อของจีนเป็นนักดนตรี บ้านเคยเป็นร้านซ่อมเครื่องดนตรี) แม้เขาจะทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แต่การเก็บอดีตของแม่จีน (ซึ่งหนังไม่ได้บอกอะไรมากมาย แต่ตีความได้จากภาพถ่ายเก่าๆ ของครอบครัว ในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดคือการที่พ่อเล่นเปียโนให้สมาชิกมนครอบครัวฟัง) แม้มันจะทุกข์ แต่เปียโนคือสัญลักษณ์เดียวแห่งความสุข ความทรงจำดีๆ ที่เหลืออยู่ ....ประเด็นนี้คือโดนใจมากๆ ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมหลายคนชอบเก็บตั๋วหนังเก่าๆ ตั๋งรถเมล์เก่าๆ อาจจเขียนบันทึกเล็กๆ ถึงหนังที่ไปดูกับคนที่รัก หรือขึ้นรถเมล์ไปไหนกับคนที่รัก แม้ความสัมพันธ์นั้นจะจบลง แต่บางคนก็เลือกที่จะเก็บอดีต เก็บความทรงจำไว้ในกล่องใบเก่าๆ แล้วซุกมันไว้ในลิ้นชักชั้นในสุดๆ
ปัจจุบัน ...คือผลพวงจากอดีต ...แม่ของจีนยังคงจับเจ่ากับสิ่งเดิมๆ ร้องเพลงเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมก้าวข้าม ...ขณะที่จีน เลือกที่จะหลอกตัวเอง เพื่อลืมเรื่องเก่าๆ ในอดีต พยายามที่จะก้าวข้าม พยายามที่จะก้าวผ่านไป (Move On) การทิ้งทุกอย่างในถุงดำ คือการเลือกทิ้งอดีต ทิ้งความทรงจำต่างๆ ลง ...การจัดบ้านใหม่ให้เป็นออฟฟิศใหม่ คือการบอกกับตัวเองว่าฉันจะเปลี่ยนแปลงแล้วนะ ฉันจะเป็นคนใหม่ จัดการตัวเองใหม่แล้วนะ แม้ทางภายนอก บ้านจะเปลี่ยนใหม่แล้ว แต่ทางจิตใจล่ะ เปลี่ยนใหม่หรือเปล่า หรือ ยังคงติดกับอยู่ในอดีต (หนังเปิดเรื่องด้วยออฟฟิศใหม่ที่เสร็จแล้วของจีน ที่ทั้งอาร์ต ทั้งสวย เป็นมินิมอลสไตล์ตามแบบที่ต้องการ ก่อนย้อนกลับไปหาอดีตต่างๆ ) ....พี่เอม แม้จะบอกว่าปัจจุบัน ตัวเองสามารถ Move On ได้แล้ว ตัวเองมีแฟนใหม่แล้ว แต่จริงๆ แล้วลึกๆ ยังคงย้ำคิดย้ำทำอยู่กับอดีต ยังคงอยู่กับความทรงจำเดิมๆ ไปร้านเดิมๆ หรือเลือกจะเก็บความทรงจำในอดีตผ่านทางภาพถ่ายเก่า (ในฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ยอมลบ)
อนาคต ....หนังพูดถึงการก้าวข้าม การ Move On ไปสู่สิ่งใหม่ๆ เยอะมากๆ ...บางคนกลัวการ Move On กลัวการเปลี่ยนแปลง เช่นตัวละครของแม่จีน ....ประเด็นหนึ่งที่แฝงเข้ามาคือคนสองรุ่น สอง Gen ทั้งเก่าและใหม่ ...คนรุ่นเก่ากลัวการเปลี่ยนแปลงและเลือกอยู่กับสิ่งเดิมๆ ขณะที่คนรุ่นใหม่ อยากเปลี่ยน อยากเห็นอะไรใหม่ๆ อยากก้าวข้ามไปสู่อนาคต (อาจเป็นเพราะคิดว่าเปลี่ยนแล้วจะดีขึ้นกว่าเดิม) ...ในหนังเราจะเห็นซีนการปะทะกันของคนสองรุ่นผ่านตัวแม่และจีนบ่อยมาก ซึ่งทั้งน้องออกแบบ และ พี่อุ๋ม อาภาศิริ ก็ปล่อยพลังออกมาได้อย่างงดงาม โดยเฉพาะซีนในโต๊ะอาหาร สำหรับผมนี่คือซีนที่ ทรงพลังมากๆ ในหนัง ทั้งเจ็บปวด ทั้งทำลายล้าง ...ยอมรับว่าเสียน้ำตาหนักมากให้ซีนนี้
จริงๆ จะว่าไปหนังยังมีอีกหลายประเด็นมากๆ ให้เขียนถึง ประเด็นของตัวมี่ แฟนใหม่ก็น่าสนใจ (แล้วฟ้า ษริกาก็เล่นดีมาก) ...หรือประเด็นการรับซื้อของเก่า ที่นักสะสมของเก่าที่เห็นคุณค่าของที่ทิ้งเป็นขยะ (แต่มันอาจมีค่าสำหรับใครอื่นๆ อีกหลายคน) โดยให้ราคาดีมากๆ ...นี่คือหนังที่ทำงานได้ดีมากๆ กับความรู้สึก ความคิดของคนดู ที่ว่าหนังจบ คนไม่จบ หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง แล้วเต๋อ นวพลก็เก่งมากๆ ที่จับเอาเรื่องมินิมอล มาขยายได้ใหญ่โต กระทบความรู้สึกของคนดู (อาจจะไม่ทุกคน แต่คนที่เคยมีประสบการณ์ หรือ ผ่านเรื่องราวในชีวิตมาบ้าง) ...การเลือกใช้เฟรมภาพแบบ 1.50:1 ทำให้งานหนังน่าสนใจมากขึ้น การเลือกจับเฟรมหน้านิ่งๆ ให้นักแสดงได้ปล่อยของแสดงความรู้สึกน้อยๆ แต่ได้มาก (นี่คือหนังไทยที่แอ็คติ้งการแสดงดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง) การเลือกให้ตัวแสดงพูดแบบโมโนโทน เหมือนไม่แสดงความรู้สึกออกมา แต่พอระเบิดลงเท่านั้นแหละ มันเหมือนการปล่อยของออกมาได้ชัดเจนมากๆ
ฮาวทูทิ้ง อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน (ในเวลานี้) แต่นี่คือหนังไทยที่เชื่อว่าหยิบมาดูใหม่ในอีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้า ก็ไม่เชยแน่ๆ ....ไม่แน่นะ วันนี้คุณอาจไม่ชอบหนังเรื่องนี้ ผิดหวังที่หนังไม่เห็นมีอะไรเลย คิดว่าเป็นหนังรักจ๋าๆ โรแมนติก แต่กลับทำอะไรมาไม่รู้ ...ลองหยิบมาดูใหม่ในอนาคต หนังเรื่องนี้อาจโดนใจคุณ สะเทือนใจคุณมากๆ ก็ได้ บอกแล้วไง หนังมันมินิมอล แต่ต่อยหนักมากๆ จริงๆ
FB :
https://www.facebook.com/eattravelmoviecritic
[CR] รีวิว : "ฮาวทูทิ้ง...ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ Happy Old Year" ...มินิมอล แต่ต่อยหนักมาก
(นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์)
9.5/10
...
"สะเทือนอารมณ์มาก มินิมอล แต่ต่อยหนักมาก"
ตั้งสติอยู่สองวันกว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้...ยอมรับตรงๆ ว่าหนังจบแต่คนดูอย่างผมยังไม่จบ มันมีอะไรมากมายวนเวียนอยู่ในหัว นี่คือหนึ่งในหนังที่เล่นกับความรู้สึกกับคนดูอย่างผมมากจริงๆ (และเท่าที่ตามอ่านในความคิดเห็นหลากหลายมีทั้งชอบมาก และ ผิดหวังกับตัวหนังไปเลยก็มี) ...แต่ถึงอย่างนั้น ฮาวทูทิ้ง สำหรับผม คืองานของเต๋อ นวพล ที่ประนีประนอมกับคนดูมากที่สุด หนังมีส่วนผสมที่ลงตัวมากระหว่างความเป็นอาร์ต ความเป็นอินดี้แบบเต๋อๆ และความแมสในการเข้าถึงผู้ชมแบบ GDH (ผมว่ามากกว่าฟรีแลนท์ งานเรื่องเก่าอีก) รวมไปถึงการตกผลึกทางความคิดที่แยบยลมากๆ ...เต๋อเก่งมากที่สามารถขยายเรื่องเล็กๆ มินิมอลแบบเต๋อ ให้กลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สะเทือนอารมณ์ ความรู้สึกในหัวใจของเราได้
ไม่น่าเชื่อว่าจากเรื่องเล็กๆ ของการจัดบ้านหลังเดิมๆ ที่เต็มไปข้าวของเยอะแยะมากมาย (ซึ่งแน่นอนข้าวของต่างๆ เหล่านี้ มันบรรจุทั้งอดีต ทั้งความทรงจำในช่วงเวลานั้น ของงหลายๆ ชิ้นในช่วงเวลาหนึ่งๆ มันอาจจะเป็นของที่ล้ำค่า แต่ในช่วงเวลาปัจจุบัน อาจจะกลายค่าเป็นขยะ) ของจีน (ออกแบบ ชุติมณฑน์) สาวอาร์ททิส ที่ต้องการเอาบ้านชั้นล่างของตัวเองเปลี่ยนเป็นออฟฟิศใหม่ในแบบอาร์ตๆ แบบมินิมอล เล็กๆ แต่ลงตัว ...นั่นเป็นที่มาของการทิ้งข้าวของต่างๆ มากมาย ทั้งของส่วนตัวของตัวเอง ของที่เพื่อนให้ ของที่ยืมเพื่อนมาแล้วยังไม่คืน ของรักของคนในบ้าน (แม่) ที่บรรจุด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด แต่เราก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ รวมไปถึงของจากคนรักเก่า พี่เอม (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ที่ครั้งหนึ่งจีนเลือกที่จะทิ้งไปอยู่สวีเดน โดยไม่บอก ไม่ร่ำลา เหลือแค่ความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดที่ยังคงค้างคาอยู่ในหัวใจ ...นั่นแหละถึงเป็นที่มาของการเล่นกับความเจ็บปวด การรู้สึกผิด การก้าวข้ามความทรงจำเก่าๆ ที่หนังใช้ว่า Move On ไปสู่การสร้างโลกใหม่ ชีวิตใหม่ที่สดใสกว่า (จริงหรือ)
"อดีต - ปัจจุบัน - อนาคต"
...
นี่คือประเด็นที่ผมรู้สึกได้มากที่สุดในหนัง นี่คือประเด็นๆ เล็กๆ ที่เต๋อเล่นงานเราได้อย่างแยบยลและละเอียดอ่อนมากๆ
อดีต...ที่แสนเจ็บปวด แต่คนบางคนเลือกที่จะจำมัน ...เช่นแม่ของจีน ที่เลือกเก็บเปียโนเก่าๆ ของพ่อไว้ (พ่อของจีนเป็นนักดนตรี บ้านเคยเป็นร้านซ่อมเครื่องดนตรี) แม้เขาจะทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แต่การเก็บอดีตของแม่จีน (ซึ่งหนังไม่ได้บอกอะไรมากมาย แต่ตีความได้จากภาพถ่ายเก่าๆ ของครอบครัว ในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดคือการที่พ่อเล่นเปียโนให้สมาชิกมนครอบครัวฟัง) แม้มันจะทุกข์ แต่เปียโนคือสัญลักษณ์เดียวแห่งความสุข ความทรงจำดีๆ ที่เหลืออยู่ ....ประเด็นนี้คือโดนใจมากๆ ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมหลายคนชอบเก็บตั๋วหนังเก่าๆ ตั๋งรถเมล์เก่าๆ อาจจเขียนบันทึกเล็กๆ ถึงหนังที่ไปดูกับคนที่รัก หรือขึ้นรถเมล์ไปไหนกับคนที่รัก แม้ความสัมพันธ์นั้นจะจบลง แต่บางคนก็เลือกที่จะเก็บอดีต เก็บความทรงจำไว้ในกล่องใบเก่าๆ แล้วซุกมันไว้ในลิ้นชักชั้นในสุดๆ
ปัจจุบัน ...คือผลพวงจากอดีต ...แม่ของจีนยังคงจับเจ่ากับสิ่งเดิมๆ ร้องเพลงเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมก้าวข้าม ...ขณะที่จีน เลือกที่จะหลอกตัวเอง เพื่อลืมเรื่องเก่าๆ ในอดีต พยายามที่จะก้าวข้าม พยายามที่จะก้าวผ่านไป (Move On) การทิ้งทุกอย่างในถุงดำ คือการเลือกทิ้งอดีต ทิ้งความทรงจำต่างๆ ลง ...การจัดบ้านใหม่ให้เป็นออฟฟิศใหม่ คือการบอกกับตัวเองว่าฉันจะเปลี่ยนแปลงแล้วนะ ฉันจะเป็นคนใหม่ จัดการตัวเองใหม่แล้วนะ แม้ทางภายนอก บ้านจะเปลี่ยนใหม่แล้ว แต่ทางจิตใจล่ะ เปลี่ยนใหม่หรือเปล่า หรือ ยังคงติดกับอยู่ในอดีต (หนังเปิดเรื่องด้วยออฟฟิศใหม่ที่เสร็จแล้วของจีน ที่ทั้งอาร์ต ทั้งสวย เป็นมินิมอลสไตล์ตามแบบที่ต้องการ ก่อนย้อนกลับไปหาอดีตต่างๆ ) ....พี่เอม แม้จะบอกว่าปัจจุบัน ตัวเองสามารถ Move On ได้แล้ว ตัวเองมีแฟนใหม่แล้ว แต่จริงๆ แล้วลึกๆ ยังคงย้ำคิดย้ำทำอยู่กับอดีต ยังคงอยู่กับความทรงจำเดิมๆ ไปร้านเดิมๆ หรือเลือกจะเก็บความทรงจำในอดีตผ่านทางภาพถ่ายเก่า (ในฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ยอมลบ)
อนาคต ....หนังพูดถึงการก้าวข้าม การ Move On ไปสู่สิ่งใหม่ๆ เยอะมากๆ ...บางคนกลัวการ Move On กลัวการเปลี่ยนแปลง เช่นตัวละครของแม่จีน ....ประเด็นหนึ่งที่แฝงเข้ามาคือคนสองรุ่น สอง Gen ทั้งเก่าและใหม่ ...คนรุ่นเก่ากลัวการเปลี่ยนแปลงและเลือกอยู่กับสิ่งเดิมๆ ขณะที่คนรุ่นใหม่ อยากเปลี่ยน อยากเห็นอะไรใหม่ๆ อยากก้าวข้ามไปสู่อนาคต (อาจเป็นเพราะคิดว่าเปลี่ยนแล้วจะดีขึ้นกว่าเดิม) ...ในหนังเราจะเห็นซีนการปะทะกันของคนสองรุ่นผ่านตัวแม่และจีนบ่อยมาก ซึ่งทั้งน้องออกแบบ และ พี่อุ๋ม อาภาศิริ ก็ปล่อยพลังออกมาได้อย่างงดงาม โดยเฉพาะซีนในโต๊ะอาหาร สำหรับผมนี่คือซีนที่ ทรงพลังมากๆ ในหนัง ทั้งเจ็บปวด ทั้งทำลายล้าง ...ยอมรับว่าเสียน้ำตาหนักมากให้ซีนนี้
จริงๆ จะว่าไปหนังยังมีอีกหลายประเด็นมากๆ ให้เขียนถึง ประเด็นของตัวมี่ แฟนใหม่ก็น่าสนใจ (แล้วฟ้า ษริกาก็เล่นดีมาก) ...หรือประเด็นการรับซื้อของเก่า ที่นักสะสมของเก่าที่เห็นคุณค่าของที่ทิ้งเป็นขยะ (แต่มันอาจมีค่าสำหรับใครอื่นๆ อีกหลายคน) โดยให้ราคาดีมากๆ ...นี่คือหนังที่ทำงานได้ดีมากๆ กับความรู้สึก ความคิดของคนดู ที่ว่าหนังจบ คนไม่จบ หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง แล้วเต๋อ นวพลก็เก่งมากๆ ที่จับเอาเรื่องมินิมอล มาขยายได้ใหญ่โต กระทบความรู้สึกของคนดู (อาจจะไม่ทุกคน แต่คนที่เคยมีประสบการณ์ หรือ ผ่านเรื่องราวในชีวิตมาบ้าง) ...การเลือกใช้เฟรมภาพแบบ 1.50:1 ทำให้งานหนังน่าสนใจมากขึ้น การเลือกจับเฟรมหน้านิ่งๆ ให้นักแสดงได้ปล่อยของแสดงความรู้สึกน้อยๆ แต่ได้มาก (นี่คือหนังไทยที่แอ็คติ้งการแสดงดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง) การเลือกให้ตัวแสดงพูดแบบโมโนโทน เหมือนไม่แสดงความรู้สึกออกมา แต่พอระเบิดลงเท่านั้นแหละ มันเหมือนการปล่อยของออกมาได้ชัดเจนมากๆ
ฮาวทูทิ้ง อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน (ในเวลานี้) แต่นี่คือหนังไทยที่เชื่อว่าหยิบมาดูใหม่ในอีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้า ก็ไม่เชยแน่ๆ ....ไม่แน่นะ วันนี้คุณอาจไม่ชอบหนังเรื่องนี้ ผิดหวังที่หนังไม่เห็นมีอะไรเลย คิดว่าเป็นหนังรักจ๋าๆ โรแมนติก แต่กลับทำอะไรมาไม่รู้ ...ลองหยิบมาดูใหม่ในอนาคต หนังเรื่องนี้อาจโดนใจคุณ สะเทือนใจคุณมากๆ ก็ได้ บอกแล้วไง หนังมันมินิมอล แต่ต่อยหนักมากๆ จริงๆ
FB : https://www.facebook.com/eattravelmoviecritic
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้