..........เสือ สิงห์ กระทิง อินทรี ........ตอนที่ ๘..........@@ โดย ลุงแผน

กระทู้สนทนา
                                                         




..........( เสือ สิงห์ กระทิง อินทรี )..........
 
 

        ตอนเดิมครับ
  
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
 
        ตอนที่  ๘
 

..........อาคม ชายวัยหกสิบ แต่ยังคล่องแคล่ว และแข็งแรง รูปร่างสูงได้สัดส่วน หน้าท้องแบนเรียบ ผิวขาว หน้าตาดูภูมิฐาน ผสมรอยยิ้ม ที่เป็นมิตรกับทุกคน ทำให้ผู้ที่มาพูดคุย ติดต่องานด้วย ให้ความนับถือ และเกรงใจในความสุภาพ แต่ลูกน้องทุกคน รู้ดี ว่าความจริงจัง ที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น จะออกมาทันที หากผู้ร่วมงาน ตุกติก หรือผิดวาจา

        ในชีวิตของเขา เขาไม่เคยแตะต้องสิ่งเสพติด หรือของมึนเมาแม้แต่ครั้งเดียว และยังชอบเล่นกีฬาทุกชนิด ฝึกฝนอย่างจริงจัง จนร่างกายแข็งแรง และคล่องตัว 

        หลายคนเรียกเขาว่า เจ้าพ่อ ซึ่งเขาไม่เคยยอมรับ ถ้ามีใครเรียกต่อหน้า อาคมจะยิ้ม ๆ แล้วบอกให้เรียกลุง หรือพี่ ตามสมควรแก่วัย ก็พอ

        อาคม วางมือจากสิ่งผิดกฎหมายมาหลายปี หลังจากโลดแล่นในวงการมานานพอดู ถือว่าเป็นรุ่นใหญ่ในยุคต้น ๆ ในจำนวนน้อยคน ที่วางมือได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเกิดขึ้นน้อยครั้งในวงการ คนจะยืนยาวอยู่ได้จนวางมือ ออกมาเอง ต้องมีฝีมือแบบไม่ธรรมดา เพราะบ่อยครั้ง การเอาคืน จะเกิดขึ้น หลังจากออกมา ไม่นาน 

        ชีวิต หลังลาวงการไม่ได้สร้างความเหงา หรือว้าเหว่ ให้กับ อาคม แต่อย่างใด ตรงกันข้าม เพื่อนฝูง ลูกน้อง มากมาย แวะเวียนมาไม่ขาด ไร่กาแฟ ติดกับเชิงเขาของอาคม จึงมีคนคึกคักอยู่ตลอดเวลา ทั้งคนงานในไร่ ทั้งคนข้างนอกที่เสร็จจากงาน แวะมาพูดคุยแบบเพลิน ๆ  และคนที่มีปัญหา แวะเวียนมาปรึกษาเขา  ซึ่งเป็นมือเก่า มากด้วยประสบการณ์ 

        ความกว้างขวาง ไม่ใช่ว่าได้มาเพราะโชคช่วย อาคม รู้จักคน รู้จักช่องทางในการสร้างความสะดวกเป็นอย่างดี รู้ว่าคนไหน เงินซื้อได้ และคนไหนซื้อไม่ได้ ของอย่างนี้ไม่มีสอนในโรงเรียนไหน การยัดเงินใต้โต๊ะโดยไม่มีชั้นเชิง นอกจากจะเป็นการเปิดเผยตัวเองอย่างไม่ควรแล้ว ยังเป็นการสร้างศัตรูกลุ่มใหญ่ขึ้นมาโดยไม่จำเป็น

        ไร่กาแฟเล็ก ๆ เนื้อที่ประมาณห้าสิบไร่ โอบล้อมด้วยเนินเขาใหญ่น้อยเรียงราย ร่มรื่น สดชื่น ด้วยกลิ่นไอชื้นจาง ๆ   แม้จะเป็นเวลาล่วงไปค่อนวันแล้ว หมอกบาง ๆ ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ตามลำธารน้อย ๆ ที่ไหลเลาะไปตามแอ่งหินและแนวไม้ ก่อนลดเลี้ยวห่างไปจนลับตา

        สถานที่แห่งนี้ สร้างรายได้ หล่อเลี้ยงบรรดาสมุน และครอบครัว ที่พร้อมใจกันวางมือตาม อาคม นับสิบคน คนขนาดนี้ถ้าไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน หาเลี้ยงกันไม่พอแน่นอน จึงมาลงตัวที่นี่ ที่ที่ทุกคนถูกใจ โดยเฉพาะ งามตา ลูกสาวคนเดียวของ อาคม

        เมื่อเริ่มเข้าวงการ เขาชอบบทบู๊ มากกว่า เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ การผจญภัย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตลอดวัยหนุ่มของเขา ทำให้เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งอายุจวนสี่สิบ จึงตกลงปลงใจแต่งงาน และมีลูกสาวในปีต่อมา อยู่มาอีกไม่นาน ภรรยาเขาก็ป่วยและจากไป เขาจึงตัดสินใจไม่หาใครมาแทนที่เธอ คงเลี้ยงลูกสาวอย่างทะนุถนอมด้วยตัวเขาตามลำพัง จนกระทั่งปีนี้ งามตา อายุได้ ยี่สิบปี พอดี

        ระยะนี้ คนที่เข้ามาหาเขา มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการติดต่อตามด่านต่าง ๆ ซึ่งอะไรเป็นไปไม่ง่ายเหมือนเคย อาคม รับฟัง และยิ้มปลอบใจให้กับหลาย ๆ คน  และคิดว่า เขาโชคดี ที่ออกมาจากตรงนั้นทันเวลา เพราะการเปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยนนโยบายในแต่ละแห่ง ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนตามไป โดยเฉพาะ ใจคน

        ตอนบ่ายวันนี้ คนที่สร้างความแปลกใจให้กับอาคม ถึงกับเผลอหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อเห็นแขกผู้มาเยือน เป็น เจ้าเบิ้ม ที่ไม่ได้เจอกันมานานปี  

        “สวัสดี พี่คม” เจ้าเบิ้ม เอ่ยทักทายก่อน หลังจากเจ้าบ้านชวนขึ้นไปนั่งบนระเบียงโล่งไม่มีหลังคา มีโต๊ะไม้ และม้านั่งยาว หนาหนักวางเรียงอยู่หลายตัว ด้านล่างมองเห็นแนวต้นกาแฟเรียงยาวไปชนเนินเขาไกล ๆ คนงานเกือบยี่สิบคน ทั้งวัยหนุ่ม และวัยกลางคน กระจายกันไปตามจุดต่าง ๆ แล้วแต่ งานของตัวเอง  เจ้าเบิ้ม นั่งลงตามคำชวนของ พี่คม ซึ่งนั่งลงตรงข้ามพลางส่งยิ้มแล้วเอ่ยออกมา

        “เออ ดี ไปไงมาไงวะ ไม่เจอกันกี่ปีแล้วนี่เรา”  รุ่นใหญ่ ทักทายด้วยรอยยิ้มสดชื่น ตามองแขกผู้คุ้นเคยแบบสบาย ๆ 

          “เกือบยี่สิบปีแล้วมั้งพี่” เจ้าเบิ้มตอบพลางมอง อาคม ที่พยักหน้าเบา ๆ

          “แล้วแต่งตัวตำรวจมานี่ คิดถึงเมื่อก่อนหรือไง”  อาคม เย้าอย่างอารมณ์ดี สมัยยังขึ้นเหนือล่องใต้อยู่ มีเจ้าเบิ้ม เหน็บปืนนั่งเป็นเพื่อนบนรถ ไปไหนก็อุ่นใจ 

        เจ้าเบิ้มถอนใจออกมา นึกเสียดายอาชีพที่มั่นคงเหมือนกัน แต่ตอนนั้น เขาหลงเข้าไปในสังคมคนนอกกฎหมายโดยไม่ระแวงถึงผลที่จะตามมา รู้สึกตัวอีก เขาก็ออกจากงาน มายืนอยู่บนเส้นทางนี้อย่างเต็มตัว

          “ผมกลับจากทำงาน พอดีผ่านทางนี้ คิดถึงพี่เลยแวะเข้ามา” เจ้าเบิ้มตอบออกมา เป็นที่รู้กันว่าต้องไม่ใช่งานของคนทั่วไป

        “อ้อ แล้วเป็นไงมั่ง” อาคม พูดเรื่อย ๆ มองหน้า เจ้าเบิ้ม รอฟังเหตุผลที่ดั้นด้นมา
          
        “ก็เข้าใกล้บางอย่างได้มากแล้วพี่ มันติดขัดนิดหน่อย เลยถอยออกมาก่อน แล้วบังเอิญไปเจอเรื่องที่มันเกี่ยวกับพี่คม ผมเลยมาหาพี่” 

          “เรื่องอะไรวะ” อาคม ยังคงจ้องหน้าเจ้าเบิ้ม ความเคลื่อนไหวของเจ้านี่ เขาไม่ได้ติดตามมานาน ได้ยินแค่ผ่าน ๆ หูว่า หลังออกจากตำรวจแล้ว ก็ไปทำงานให้พวกเจ้าพ่อแถวในเมือง เจ้าเบิ้ม ขยับตัวค้อมมาข้างหน้านิดหนึ่ง ยิ้มออกมาพลางเอ่ยขึ้น

          “พี่จำทองที่โดนปล้นไปคราวนั้นได้มั้ย” 

         อาคมจ้องตาเจ้าเบิ้ม แล้วพยักหน้าเบา ๆ นึกถึงคืนฝนตกหนัก เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตอนนั้น งามตา เพิ่งเกิดออกมาได้ไม่กี่วัน คนแค่หยิบมือบุกเข้ามาในบ้านตอนกลางคืน แต่เขา กับลูกน้องก็ไล่ยิงเสียกระเจิงไปคนละทาง อาคมจำได้แม่นยำ เพราะเช้าวันต่อมา เจ้าเบิ้มก็ขัดใจกับคนในบ้าน เถียงกันอย่างรุนแรง ก่อนจะขอลาออกไป

           “จำได้ ทำไมเหรอ” อาคมถามแล้วยิ้มกว้างตั้งใจฟัง

          “มันยังอยู่พี่ ผมไปเจอที่บ้านพวกเสือชัย”  

          อาคมมองหน้า เจ้าเบิ้ม รอยยิ้มคงยังไม่จาง

          “น่าจะของพวกเค้าละมั้ง ของพี่ก็ยังอยู่ครบนี่ ว่าแต่ เบิ้ม มาบอกพี่ทำไม” เสือลายครามยิ้มละไม ตาจ้องมองเจ้าเบิ้มที่ทำหน้า งง งง

          “อ้าว ยังอยู่เหรอพี่ พอดีผมว่าจะตามมาให้ แต่ตอนนี้ลูกน้องผมเหลืออยู่นิดเดียว ว่าจะยืมพี่สักสี่ห้าคน” เจ้าเบิ้ม พูดแบบลังเล ถ้าเจ้าตัวยืนยันว่าไม่ใช่ของเค้า เจ้าเบิ้มก็ต้องลุยต่อคนเดียว

          “ใช่ ยังอยู่ดี วันนั้นพวกมันเข้ามา ได้อะไรไปที่ไหน แถมเพื่อนมันคนหนึ่ง ยังกลิ้งอยู่โคนต้นรังนู่น” อาคม หัวเราะในลำคอแบบชอบใจ มองหน้าเจ้าเบิ้ม ที่ทำท่าจะออกตัว

        “อ้อ ที่ใส่ชุดนี้ไปออกงานก็เรื่องนี้เอง แล้วไปเจอพวกเจ้าชัยที่ไหนล่ะ” อาคมถามเรื่อย ๆ เจ้าเบิ้มยิ้มอย่างเดียว ไม่พูดอะไร ขยับเตรียมลุกขึ้น พร้อมกล่าวลา
        
       “งั้นผมกลับก่อนละพี่ ต้องไปทำอะไรอีกหลายอย่าง” พูดจบพร้อมลุกยืน อาคมลุกตาม เดินไปส่งเจ้าเบิ้มที่บันได เลยลานหญ้าด้านล่างไปนิด เป็นถนนดิน ทอดยาวจากด้านหน้าเข้ามา เจ้าเบิ้มยกมือไหว้เจ้าบ้าน ขยับเท้าก้าวลงบันได เพื่อเดินไปทางรถจอดอยู่ข้างลานกว้าง อาคมก้าวลงตาม เมื่อถึงพื้นดิน เขาตบไหล่เจ้าเบิ้มเบา ๆ 
          
        “เออ ว่างก็แวะมา ที่นี่ยังเหมือนเดิมเว้ยเบิ้ม” 

        “ครับพี่ ผมลาละครับ”

        เจ้าเบิ้ม ยิ้มพลางพยักหน้า ยกมือไหว้ อาคม เดินไปจนถึงรถ เปิดประตูขึ้นไปนั่ง สตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไปช้า ๆ พลางถอนใจออกมา คิดว่าจะเริ่มที่ไหนต่อไป เพราะงานบางอย่าง ใช้คนน้อย ๆ ก็ได้ แต่บางเรื่อง ต้องใช้คนหลายคน โดยเฉพาะ เรื่องที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับ ชัย 

        แต่บางครั้ง ถ้าไม่มีใครจริง ๆ  ก็ใช้คนของอีกฝ่าย ทำงานให้ก็ได้ ถ้าเราใช้ถูกวิธี คิดแล้วเจ้าเบิ้มก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางเร่งเครื่องขึ้นไป ในที่ ที่คิดไว้ในใจ....

           ( มีต่อครับ )

        
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่