ถ้าช่วงครึ่งปีแรกเรามี Avengers: Endgame ที่เป็นหนังที่คนทั้งโลกรอคอย จนล่าสุดสามารถทำสถิติอันดับ 1 รายได้หนังสูงสุดตลอดกาล ครึ่งปีหลังเราก็มี Star Wars: The Rise of Skywalker หรือในชื่อไทยว่า สตาร์ วอร์ส: กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์ เป็นหนังที่คนทั้งโลกรอคอย โดยเฉพาะกับแฟนคลับทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ที่ติดตามตำนาน สกายวอล์คเกอร์ ที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1977
Star Wars: The Rise of Skywalker เล่าเรื่องราวของสงครามที่เดินทางมาถึงบทสรุป เมื่อ "ไคโล เรน" ผู้นำสูงสุดของกองทัพปฐมภาคี ออกไล่ล่ากลุ่มต่อต้านอย่างหนัก และพยายามหว่านล้อมให้ "เรย์" ที่กำลังศึกษาวิถีแห่งพลัง เพื่อเป็นเจไดที่สมบูรณ์ ให้เข้าสู่ด้านมืดเพื่อยึดครองจักรวาลร่วมกัน แต่นั่นทำให้พลังด้านมืดค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดภัยที่อยู่ในเงามืด! แต่เรย์และผองเพื่อนฝ่ายต่อต้านต้องร่วมมือเข้าต่อสู้ เพื่อนำพาสันติสุขมาสู่จักรวาลอีกครั้ง และเป็นการปิดตำนานของ Skywalker Saga
หลังจากที่ผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน ได้ทำให้ Star Wars: The Last Jedi เป็นหนึ่งในภาคที่เป็นที่ถกเถียงมากที่สุด ในแง่ของความเป็นหนังที่เปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับจักรวาลของ Star Wars หรือเป็นหนังที่ทำลายทุกอย่างที่ทำให้ทุกคนรัก Star Wars
อย่างไรตาม ตำนานหนัง Star Wars ก็เดินทางมาสู่ ภาคที่ 9 ที่ครั้งนี้ กลับมาอยู่ในมือของผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรามส์ที่กลับมาปิดตำนานนี้ให้ออกมาอย่างดีที่สุดและคุ้มค่าสมการรอคอย
ด้วยเหตุนี้หรือไม่ ผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรามส์ จึงพยายามทำให้ The Rise of Skywalker เป็นหนังที่จะนำสิ่งที่เคยเป็นที่รักของแฟนๆ Star Wars กลับมา ในขณะเดียวกันก็พยายามแบ่งรับแบ่งสู้และพาสิ่งที่ The Last Jedi ทำไว้ ไปสู่บทสรุปที่มันควรจะเป็นให้ได้ นั่นทำให้หนังมีเส้นเรื่องที่จะเล่าเยอะ จนหนังเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ตัดฉากรวดเร็ว แม้จะให้เวลากับหนังภาคนี้มากถึง 2 ชั่วโมง 21 นาที ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ
The Rise of Skywalker มีความคล้ายคลึงกับ The Force Awakens ที่มีฉากคารวะตำนานเยอะมาก ทั้งการนำตัวละครเก่ากลับมา ฉากที่ทำให้นึกถึงไตรภาค 4-6 หรือก็คือหนังถูกสร้างมาเอาใจแฟนๆ โดยเฉพาะ ฉากเซอร์ไพรส์เพียบ ใครเป็นแฟนหนัง Star Wars คงมีฉากที่ทำให้ฟินกันสุดๆ เต็มอิ่มในความรู้สึกกันไป
แต่ปัญหาคือ ในหลายๆ ฉากทำให้อดตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผลไม่ได้ มันดูจงใจเอาใจแฟนคลับมากกว่ามองถึงความสอดคล้องของเรื่องราว อีกทั้งหนังมีการเพิ่มเติมรายละเอียดใหม่ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้ ที่หากใครเป็นแฟน Star Wars อยู่แล้วคงไม่ใช่ปัญหาที่จะเข้าใจในเรื่องราวและรู้สึกว้าวในสิ่งที่หนังนำเสนอ แต่กับคนดูที่ติดตามเพียงแต่หนัง Star Wars เพียงอย่างเดียว ไม่ได้สนใจเนื้อหาในรูปแบบอื่นๆ เช่น นิยาย การ์ตูน แอนิเมชัน หรือ เกม ..คงมีหลายฉากที่อาจไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้า ว่าสิ่งนี้คืออะไร มายังไง แบบนี้ก็ได้หรือ?
The Rise of Skywalker เป็นภาคจบของไตรภาคชุดใหม่ เป้าหมายของหนังก็คือการสรุปเรื่องราวทุกอย่างที่เปิดเอาไว้ ซึ่งอะไรที่ควรมีคำตอบให้คนดู หนังก็มีให้หมด แม้คำตอบจะก่อให้เกิดคำถามใหม่ขึ้นก็ตาม
The Rise of Skywalker มีหลายฉากที่น่าสนใจ แต่ที่อยากให้จับตามากเป็นพิเศษและเกี่ยวข้องกับความเป็นจริง ก็คือ บทบาทของนายพลเลอาหรือเจ้าหญิงเลอาที่อยู่ในใจของแฟนหนัง Star Wars ทุกคน ที่หนังเลือกฉากที่ "แคร์รี ฟิชเชอร์" ผู้ล่วงลับ เคยถ่ายไว้แล้วแต่ไม่ได้ใช้ มาใช้ในภาคนี้ แน่นอนว่าฉากเหล่านี้ถูกนำเสนอออกมาอย่างระมัดระวัง และเชื่อว่าทีมผู้สร้างมอบบทสรุปกับตัวละครนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
ฉากดวลไลท์เซเบอร์อันเป็นจุดขายสำคัญมาตลอดในจักรวาล Star Wars และส่วนตัวคาดหวังกับฉากนี้ค่อนข้างมาก แต่เหมือนว่ายิ่งทำยิ่งเบาบางลง แม้ฉากดวลไลท์เซเบอร์ในไตรภาค 7-9 นี้ จะมีลีลาการดวลไลท์เซเบอร์และใช้ Force ในการต่อสู้ที่หวือหวามากขึ้น แต่มนต์ขลังในการต่อสู้ของผู้ใช้ Force ไม่สามารถทำได้ถึงแก่นหรือลึกซึ้ง ในแบบที่ไตรภาค 4-6 และไตรภาค 1-3 ทำไว้เลย ยังดีที่หนังชดเชยด้วยฉากสงครามใหญ่ในตอนท้าย ที่ทำได้ออกมาได้ยิ่งใหญ่อลังการในแบบที่จักรวาล Star Wars พึงมี แม้จะรู้สึกถึงความเป็นสูตรสำเร็จไปหน่อยก็ตาม
สุดท้าย Star Wars: The Rise of Skywalker คือบทสรุปที่คลี่คลายข้อสงสัยต่างๆ ในสิ่งที่ The Force Awakens และ The Last Jedi ได้สร้างไว้ โดยรวมยังเป็นหนังที่ดูสนุก เต็มไปด้วยฉากเอาใจแฟนคลับ เหมือน The Force Awakens มีจุดที่ดีน่าพอใจ แต่ก็มีส่วนที่ทำให้รู้สึกน่าผิดหวัง และเชื่อว่า Rise of Skywalker คงจะเป็นหนังที่เป็นที่ถกเถียงในหมู่แฟนๆ ในแบบเดียวกับที่ The Last Jedi เคยทำไว้
ที่มา :
https://www.thairath.co.th/entertain/movie/1729448
ตีตั๋วชนโรง Star Wars The Rise of Skywalker - บทสรุปที่เต็มอิ่มในความรู้สึก แต่ขาดความสมเหตุสมผล
ถ้าช่วงครึ่งปีแรกเรามี Avengers: Endgame ที่เป็นหนังที่คนทั้งโลกรอคอย จนล่าสุดสามารถทำสถิติอันดับ 1 รายได้หนังสูงสุดตลอดกาล ครึ่งปีหลังเราก็มี Star Wars: The Rise of Skywalker หรือในชื่อไทยว่า สตาร์ วอร์ส: กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์ เป็นหนังที่คนทั้งโลกรอคอย โดยเฉพาะกับแฟนคลับทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ที่ติดตามตำนาน สกายวอล์คเกอร์ ที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1977
Star Wars: The Rise of Skywalker เล่าเรื่องราวของสงครามที่เดินทางมาถึงบทสรุป เมื่อ "ไคโล เรน" ผู้นำสูงสุดของกองทัพปฐมภาคี ออกไล่ล่ากลุ่มต่อต้านอย่างหนัก และพยายามหว่านล้อมให้ "เรย์" ที่กำลังศึกษาวิถีแห่งพลัง เพื่อเป็นเจไดที่สมบูรณ์ ให้เข้าสู่ด้านมืดเพื่อยึดครองจักรวาลร่วมกัน แต่นั่นทำให้พลังด้านมืดค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดภัยที่อยู่ในเงามืด! แต่เรย์และผองเพื่อนฝ่ายต่อต้านต้องร่วมมือเข้าต่อสู้ เพื่อนำพาสันติสุขมาสู่จักรวาลอีกครั้ง และเป็นการปิดตำนานของ Skywalker Saga
หลังจากที่ผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน ได้ทำให้ Star Wars: The Last Jedi เป็นหนึ่งในภาคที่เป็นที่ถกเถียงมากที่สุด ในแง่ของความเป็นหนังที่เปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับจักรวาลของ Star Wars หรือเป็นหนังที่ทำลายทุกอย่างที่ทำให้ทุกคนรัก Star Wars
อย่างไรตาม ตำนานหนัง Star Wars ก็เดินทางมาสู่ ภาคที่ 9 ที่ครั้งนี้ กลับมาอยู่ในมือของผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรามส์ที่กลับมาปิดตำนานนี้ให้ออกมาอย่างดีที่สุดและคุ้มค่าสมการรอคอย
ด้วยเหตุนี้หรือไม่ ผู้กำกับ เจ.เจ. เอบรามส์ จึงพยายามทำให้ The Rise of Skywalker เป็นหนังที่จะนำสิ่งที่เคยเป็นที่รักของแฟนๆ Star Wars กลับมา ในขณะเดียวกันก็พยายามแบ่งรับแบ่งสู้และพาสิ่งที่ The Last Jedi ทำไว้ ไปสู่บทสรุปที่มันควรจะเป็นให้ได้ นั่นทำให้หนังมีเส้นเรื่องที่จะเล่าเยอะ จนหนังเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ตัดฉากรวดเร็ว แม้จะให้เวลากับหนังภาคนี้มากถึง 2 ชั่วโมง 21 นาที ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ
The Rise of Skywalker มีความคล้ายคลึงกับ The Force Awakens ที่มีฉากคารวะตำนานเยอะมาก ทั้งการนำตัวละครเก่ากลับมา ฉากที่ทำให้นึกถึงไตรภาค 4-6 หรือก็คือหนังถูกสร้างมาเอาใจแฟนๆ โดยเฉพาะ ฉากเซอร์ไพรส์เพียบ ใครเป็นแฟนหนัง Star Wars คงมีฉากที่ทำให้ฟินกันสุดๆ เต็มอิ่มในความรู้สึกกันไป
แต่ปัญหาคือ ในหลายๆ ฉากทำให้อดตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผลไม่ได้ มันดูจงใจเอาใจแฟนคลับมากกว่ามองถึงความสอดคล้องของเรื่องราว อีกทั้งหนังมีการเพิ่มเติมรายละเอียดใหม่ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้ ที่หากใครเป็นแฟน Star Wars อยู่แล้วคงไม่ใช่ปัญหาที่จะเข้าใจในเรื่องราวและรู้สึกว้าวในสิ่งที่หนังนำเสนอ แต่กับคนดูที่ติดตามเพียงแต่หนัง Star Wars เพียงอย่างเดียว ไม่ได้สนใจเนื้อหาในรูปแบบอื่นๆ เช่น นิยาย การ์ตูน แอนิเมชัน หรือ เกม ..คงมีหลายฉากที่อาจไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้า ว่าสิ่งนี้คืออะไร มายังไง แบบนี้ก็ได้หรือ?
The Rise of Skywalker เป็นภาคจบของไตรภาคชุดใหม่ เป้าหมายของหนังก็คือการสรุปเรื่องราวทุกอย่างที่เปิดเอาไว้ ซึ่งอะไรที่ควรมีคำตอบให้คนดู หนังก็มีให้หมด แม้คำตอบจะก่อให้เกิดคำถามใหม่ขึ้นก็ตาม
The Rise of Skywalker มีหลายฉากที่น่าสนใจ แต่ที่อยากให้จับตามากเป็นพิเศษและเกี่ยวข้องกับความเป็นจริง ก็คือ บทบาทของนายพลเลอาหรือเจ้าหญิงเลอาที่อยู่ในใจของแฟนหนัง Star Wars ทุกคน ที่หนังเลือกฉากที่ "แคร์รี ฟิชเชอร์" ผู้ล่วงลับ เคยถ่ายไว้แล้วแต่ไม่ได้ใช้ มาใช้ในภาคนี้ แน่นอนว่าฉากเหล่านี้ถูกนำเสนอออกมาอย่างระมัดระวัง และเชื่อว่าทีมผู้สร้างมอบบทสรุปกับตัวละครนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
ฉากดวลไลท์เซเบอร์อันเป็นจุดขายสำคัญมาตลอดในจักรวาล Star Wars และส่วนตัวคาดหวังกับฉากนี้ค่อนข้างมาก แต่เหมือนว่ายิ่งทำยิ่งเบาบางลง แม้ฉากดวลไลท์เซเบอร์ในไตรภาค 7-9 นี้ จะมีลีลาการดวลไลท์เซเบอร์และใช้ Force ในการต่อสู้ที่หวือหวามากขึ้น แต่มนต์ขลังในการต่อสู้ของผู้ใช้ Force ไม่สามารถทำได้ถึงแก่นหรือลึกซึ้ง ในแบบที่ไตรภาค 4-6 และไตรภาค 1-3 ทำไว้เลย ยังดีที่หนังชดเชยด้วยฉากสงครามใหญ่ในตอนท้าย ที่ทำได้ออกมาได้ยิ่งใหญ่อลังการในแบบที่จักรวาล Star Wars พึงมี แม้จะรู้สึกถึงความเป็นสูตรสำเร็จไปหน่อยก็ตาม
สุดท้าย Star Wars: The Rise of Skywalker คือบทสรุปที่คลี่คลายข้อสงสัยต่างๆ ในสิ่งที่ The Force Awakens และ The Last Jedi ได้สร้างไว้ โดยรวมยังเป็นหนังที่ดูสนุก เต็มไปด้วยฉากเอาใจแฟนคลับ เหมือน The Force Awakens มีจุดที่ดีน่าพอใจ แต่ก็มีส่วนที่ทำให้รู้สึกน่าผิดหวัง และเชื่อว่า Rise of Skywalker คงจะเป็นหนังที่เป็นที่ถกเถียงในหมู่แฟนๆ ในแบบเดียวกับที่ The Last Jedi เคยทำไว้
ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/movie/1729448