การไม่รังแกกัน สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

เนื่องจากมีข่าวเรื่องการแกล้งกันในโรงเรียน
จนนำไปสู่กับเหตุการณ์ที่เศร้าเกิดขึ้น
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
.
สำหรับคนส่วนใหญ่
การรังแกกันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือมีความสำคัญมาก
บางคนอาจถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กด้วยซ้ำไป
.
แต่หากพิจารณาให้ละเอียด
จะเห็นว่าการรังแกกันของเด็ก
เป็นเรื่องร้ายแรง มีผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะสั้นเด็กที่ถูกรังแกจะเกิดความวิตกกังวล หวาดกลัว
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจและความสามารถในการเรียนรู้
เพราะเมื่อจิตใจไม่สงบ รู้สึกไม่ปลอดภัย
ก็จะทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียน
.
ส่วนเด็กที่เป็นผู้รังแก
หากไม่มีใครห้ามปรามหรือขัดขวางก็จะเกิดความยามใจ ฮึกเหิม
คึกคะนอง ไม่เคารพสิทธิหรือศักดิ์ศรีของผู้อื่น
ไม่เคารพระเบียบกฎเกณฑ์ของโรงเรียน และมีพฤติกรรมอื่นๆ
ที่สร้างปัญหาและความหนักใจให้กับครู
.
ในระยะยาวมีการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ
พบว่าเด็กที่ชอบรังแกผู้อื่น
จะมีความเสี่ยงต่อการประกอบอาชญากรรม
หรือติดคุกมากกว่าเด็กทั่วไป
และจะใช้ความรุนแรงต่อคนรอบข้าง
ในชีวิตของเขาต่อไปอีก
.
เช่น คู่สมรส บุตรหลาน หรือผู้ร่วมงาน
เพราะความเคยชินหรือเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
ส่วนผู้ถูกรังแกในระยะยาวอาจเกิดอาการซึมเศร้า
สูญเสียความมั่นใจในตนเอง อาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย หรือ
ในทางตรงข้ามอาจสะสมความโกรธแค้นไว้จนถึงขีดสุด
แล้วหันมาทำร้ายหรือฆ่าผู้รังแกได้ ดังที่ปรากฎเป็นข่าว
ออกมาเป็นครั้งคราว
ปัญหาการรังแกกันจึงเป็นเหมือนระเบิดเวลา
ที่จะต้องถูกกำจัดหรือถอดชนวนเสียก่อนที่จะสายเกินไป
.
การสร้างความตระหนักหรือให้ความรู้
ฝึกทักษะเพื่อป้องกันการรังแกกัน
หรืออย่างน้อยให้ความรู้
ความเข้าใจถึงผลเสียของการรังแกกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
หนังสือคู่มือเล่มนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของการ
เคลื่อนไหวในสังคมไทย
ที่จะป้องกันหรือลดปัญหาการรังแกกันลงไปได้
.
ลิงค์ดาวน์โหลด E-book
http://www.teenpath.net/content.asp?ID=21510#.XfqnpmT7RPY
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่