ปลอมระเบิดเป็น “ช็อกโกแลตแท่ง”
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีอยู่หลายครั้งที่ฝั่งนาซีพยายามจะตัดสายการลำเลียงเสบียงของฝั่งอังกฤษ และหลายๆ ครั้งพวกเขาก็เลือกที่จะใช้การซ่อนระเบิดไปบนเรือของอังกฤษเอง
โชคดีที่ทางอังกฤษมีหน่วยป้องกันการก่อวินาศกรรมที่ค่อนข้างมีฝีมือมาก จนสามารถเก็บกู้การลอบวางระเบิดของทางนาซีได้เป็นอย่างดี
และในระหว่างการทำงานของพวกเขานั่นเอง Laurence Fish ศิลปินหนุ่มคนหนึ่งในสมัยนั้น ก็คอยรับหน้าที่วาดภาพแบบแปลนของระเบิดจากข้อมูลที่หน่วยป้องกันการก่อวินาศกรรมมอบให้ เพื่อเป็นข้อมูลในการสอดส่องดูแลต่อไป
โดยหนึ่งในภาพที่น่าสนใจของ Laurence คือแบบแปลนระเบิดช็อกโกแลตแท่ง ที่ออกแบบมาให้ทำงานในทันทีที่ช็อกโกแลตถูกหักออก ซึ่งว่ากันว่าทางนาซีเคยพยายามที่จะใช้ในการลอบสังหาร Winston Churchill นั่นเอง
ภาพเหล่านี้ถูกค้นพบในช่วงปี 2015 และกลายเป็นที่สนใจมากของนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น เพราะความคิดสร้างสรรค์ของนาซีในการทำระเบิดนั้น มันช่างเหนือความคาดหมายในหลายๆ ด้านจริงๆ
เพราะนอกจากช็อกโกแลตแท่งแล้ว ทางนาซียังเคยแอบวางกับดักระเบิดมาในอาหารการกิน น้ำมันเครื่อง นาฬิกา หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ที่คล้ายคลึงกับกระติกน้ำเลยด้วย
จากข้อมูลของ Jean Bray ภรรยาผู้เป็นม่ายของ Laurence กล่าวว่าภาพของสามีที่เธอพบนั้นมีทั้งหมด 25 ภาพ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่กระดาษ A4 ไปจนถึง A1 และมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากที่สงครามจบลง Laurence ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นศิลปินอย่างเป็นตัว ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปในปี 2009 ทิ้งไว้ซึ่งรูปภาพที่บรรจุแผนการการก่อวินาศกรรมของนาซีในช่วงสงครามไว้ให้กับคนรุ่นหลังสืบไป
ที่มา history, historydaily, artnet
Cr.
https://www.catdumb.com/nazi-booby-traps-disguised-as-everyday-objects-378/
แอร์ซาตซ์ (Ersatz) อาหารยุคสงครามโลกครั้งที่1
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยอังกฤษฝรั่งเศสอเมริกาและรัสเซียกับฝ่ายมหาอำนาจกลางที่นำโดยเยอรมันออสเตรีย–ฮังการีและตุรกีสงครามดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1914 จนถึง ค.ศ. 1918 และได้ล้างผลาญชีวิตมนุษย์ไปเป็นจำนวนหลายล้านคน
ในระหว่างสงครามอังกฤษได้ใช้กลยุทธปิดล้อมเยอรมันทางทะเล เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเยอรมันมีความสามารถในการผลิตอาหารได้เพียงร้อยละแปดสิบของปริมาณความต้องการทั้งประเทศและต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละยี่สิบ ดังนั้นเมื่อถูกปิดล้อมทางทะเลจึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารขึ้นในเยอรมัน จนชาวเยอรมันในยุคนั้นต้องหันไปพึ่งอาหารเทียม
อาหารเทียมหรือที่เรียกว่าแอร์ซาตซ์ (Ersatz) เป็นอาหารที่ถูกผลิตขึ้นให้มีความใกล้เคียงกับอาหารจริง ๆ แม้ว่าวัสดุบางอย่างอาจดูเหมือนไม่น่าจะกินได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยต่อชีวิตของผู้คนที่กำลังหิวโหยให้อยู่รอดไปได้จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง และต่อไปนี้คือบางส่วนของอาหารแอร์ซาตซ์ที่ชาวเยอรมันในยุคนั้นกินกัน
ขนมปัง – ถูกเปลี่ยนจากใช้แป้งสาลีทำมาเป็นแป้งที่ทำจากถั่วและถั่วลันเตา นอกจากนี้ยังผสมผงขี้เลื่อยลงไปในแป้งสำหรับอบขนมปังเพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณด้วย
ขนมเค้ก – ทำจากแป้งเกาลัดและแป้งที่ได้จากต้นโคลเวอร์
เนื้อ – ความขาดแคลนเนื้อสัตว์ทำให้มีการนำเอาข้าวสับผสมเศษเนื้อแกะมาบริโภคแทน นอกจากนี้ยังมีการบริโภคสเต๊กผักซึ่งผลิตมาจากผักขมมันฝรั่งถั่วลิสงและไข่เทียมนำมาบดผสมและอัดรวมกันเป็นชิ้น
เนย – ได้ถูกเพิ่มปริมาณด้วยการผสมแป้งลงไป นอกจากนี้ยังมีการทำเนยจากนมที่จับตัวเป็นก้อนผสมกับน้ำตาลและใส่สีเหลืองลงไป
ไข่เทียม – ทำมาจากข้าวโพดผสมมันฝรั่ง
พริกไทย – ถูกเพิ่มปริมาณด้วยการผสมขี้เถ้าลงไป
ไขมัน – ได้มีความพยายามสกัดไขมันจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งจากหนูนาหนูบ้านอีกาแมลงสาบ (แหวะ) หอยทากรองเท้าบู๊ตและรองเท้าอื่น ๆ
กาแฟ – กาแฟเทียมทำจากลูกนัตอบและปรุงรสด้วยน้ำมันดิน (อันนี้นึกถึงในเมืองไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็มีกาแฟปลอมที่ทำจากเม็ดมะขามคั่วเอามาบดแทนเม็ดกาแฟเหมือนกัน)
ท้ายที่สุดเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายในปี ค.ศ. 1918 แม้แต่อาหารแอร์ซาตซ์ก็ไม่มีเหลือและสิ่งที่ชาวเยอรมันต้องกินเพื่อประทังชีวิตก็มีเพียงหัวผักกาดกับเศษอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
Cr.
http://www.komkid.com/ประวัติศาสตร์สังคม/ersatz-อาหาร-สงครามโลก/
สแปม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นในยุโรป ปี ค.ศ. 1937 จอร์จ ฮอร์เมล เจ้าของบริษัทฮอร์เมล ฟู้ด ได้รับมอบหมายจากทางการสหรัฐให้คิดค้นวิธีผลิตเนื้อสัตว์ที่เก็บได้นานและราคาประหยัด ออกมาสู้กับสินค้าตลาดมืด ต่อมา ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ฮอร์เมลผลิตสินค้าเนื้อหมูกระป๋องสี่เหลี่ยมในชื่อ “สแปม” ซึ่งกลายมาเป็นเสบียงสำคัญของฝ่ายสัมพันธมิตร
และเป็นอาหารยอดนิยมของทหารที่ต้องไปออกรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพวกทหารจีไอของอเมริกา กองทัพอังกฤษหรือกองทัพรัสเซียล้วนสั่งซื้อ SPAM ให้ทหารของพวกเขาทั้งสิ้น
แม้แต่ “นีกีตา ครุชชอฟ” อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ยังเคยพูดว่า “ถ้าไม่มี SPAM เราก็ไม่สามารถเลี้ยงทหารทั้งกองทัพได้เลย” และหลังจากสงครามสิ้นสุดพบว่าพวกทหารฝ่ายสัมพันธมิตรกินเนื้อกระป๋องยี่ห้อนี้รวมกันเป็นน้ำหนักเกือบ 100 ล้านปอนด์
ส่วนผสมหลักของสแปมมีเนื้อหมูแฮม มันฝรั่ง น้ำตาล เกลือ โซเดียมไนเตรท น้ำ นำมาทำอาหารได้หลายแบบ ปัจจุบันมีการบริโภคสแปม 12.8 กระป๋องทุก 1 วินาที วางจำหน่ายใน 44 ประเทศ
Cr.
https://understandingadsense.com/ทั่วไป/6-เรื่องของ-เนื้อกระป๋อง-spam/
อาหารของทหารสยามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
ทหารสยามมาถึงฝรั่งเศสปลายเดือนกรกฎาคมปี 1918 และบางหน่วยออกไปแนวหน้าช่วงกลาง ๆ กันยายน แต่เล็ก ๆ เรื่องหนึ่งที่ดูไม่ลงตัว คือเรื่องของอาหาร*
เรื่องอาหารนั้น มีระบุไว้ตั้งแต่ต้นปี 1918 แล้วว่าให้เหมือนกับกองทัพฝรั่งเศส เพียงแต่ลดจำนวนขนมปังและเพิ่มข้าวเข้าไป "เหมือนพวกอินโดจีน" เรื่องค่าอาหารนี้รัฐบาลฝรั่งเศสออกให้ก่อน แล้วรัฐบาลสยามค่อยจ่ายคืนทีหลัง
แต่แล้วช่วงต้นเดือนตุลาคม มีจดหมายจากผู้บัญชาการทหารของฝรั่งเศสไปถึงกระทรวงกลาโหม บอกว่าผู้นำทหารของสยาม ไม่ต้องการให้มีไวน์อยู่ในเมนูอาหาร เพราะไม่อยากให้ทัพสยาม "ติดเป็นนิสัย" จึงขอให้เปลี่ยนเป็นชากับน้ำตาลแทน แม้แต่เรื่องข้าวเองก็ดูจะมีปัญหา เอกสารระบุไว้ไม่แน่ชัดโดยกล่าวว่ามีความยุ่งยากบางประการเกี่ยวกับการจ่ายอาหารตามอัตราส่วนนี้ โดยเฉพาะในช่วงเคลื่อนย้ายกำลังพล
สรุปว่าตั้งแต่ราว 21 ตุลาคม ทหารสยามต้องจิบชาแทนไวน์ และก็ไม่แน่ว่าจะได้กินข้าวทุกมื้อหรือเปล่า อาจจะต้องกินแต่ขนมปังแบบเดียวกับทหารฝรั่งเศส ตามที่ระบุไว้อาหารทั้งหมดประกอบด้วย ขนมปัง 600 กรัม, เนื้อ 350 กรัม, น้ำตาล 0.32 กรัม, กาแฟ 0.24 กรัม, ผักแห้ง 0.60 กรัม, ไขมัน (เบค่อน?) 0.30 กรัม, เกลือ 0.20 กรัม, ชา 0.005 กรัม, และน้ำตาล 0.10 กรัม
พอราวหนึ่งเดือนผ่านไป ผู้นำหน่วยยานยนต์ของสยามชื่อ หลวงรามา เขียนจดหมายลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 1918 บอกว่าทหารสยามล้มป่วยกันมากเพราะอากาศหนาว และก็อาจจะป่วยเพิ่มขึ้นอีกหากไม่มีการป้องกัน ทีนี้เขาได้ปรึกษากับนายพลชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง จึงได้รู้ว่าไวน์มีสรรพคุณช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้ด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่พอเหมาะ แตกต่างจากชาที่ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ เขาจึงเขียนจดหมายนี้เพื่อขอให้ยกเลิกนโยบายเรื่องชา แล้วให้มีไวน์กลับมาในเมนูอาหารดังเดิม มิเช่นนั้นกองกำลังของสยามจะต้องทนทุกข์กับความหนาวที่พวกเขาไม่คุ้นเคย
แม้จะเซ็นยุติสงครามแล้วตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน แต่การเบิกจ่ายอาหารก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ และในปีถัดมามีการเซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายและมีการเดินขบวนของประเทศผู้ชนะสงคราม ทหารสยามก็ได้เข้าร่วมด้วยก่อนจะกลับสยามในที่สุด
Cr.
https://blogazine.pub/blogs/dinbuadaeng/post/5128
บูเดชิเก อาหารยามสงคราม
บูเดชิเก หรือหม้อไฟเกาหลีสุดฮอตฮิตในตอนนี้ มีประวัติที่น่าสนใจดังนี้
เริ่มจากในช่วงปี 1950 ประเทศเกาหลีใต้ต้องตกอยู่ในช่วงยุคสงคราม ทำให้ช่วงเวลานั้น ข้าวของมีราคาแพงขึ้น รวมไปถึงของกินที่มีราคาสูงและหายาก
เนื่องจากผลของสงครามจึงทำให้ชาวเกาหลีใต้ตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร ทางกองทัพทหารอเมริกันที่ได้เข้ามาช่วยเหลือประเทศเกาหลีใต้
จึงนำอาหารของกองทัพที่ได้นำเข้ามาเป็นเสบียง ไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอก แฮม แสปมมักกะโรนี ฯลฯ แจกจ่ายให้กับชาวเกาหลีใต้
คนเกาหลีใต้จึงได้นำอาหารที่มีอยู่ และสามารถหาได้ ซึ่งก็คือแฮม ฮอตด็อก พริกแกงเกาหลี รามยอน
คนเกาหลีใต้ได้นำอาหารทั้งหมด มาทานคู่กับกิมจิ และโคชูจัง ในรูปแบบแกง จนเกิดเป็นเมนูหม้อไฟเกาหลี หรือบูเดชิเกในปัจจุบันนี้
Cr.
https://www.sura2012.com/thaiblog/budaejjigae
คุกกี้ทำนายมีตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
คุกกี้ทำนายมีตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มักขายอยู่ตามร้านที่ดูจีนๆ ขนมนี้เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 สมัยก่อนเริ่มมีร้านอาหารจีนในอเมริกามากขึ้น จึงกลายมาเป็นขนมประจำร้านอาหารจีนในอเมริกา ต้นตอที่เก่าแก่ที่สุดพบได้ในญี่ปุ่น ซึ่งขนมหน้าศาลเจ้าแถวเกียวโตก็ทำคุกกี้ทำนายกันมานานแล้ว ญี่ปุ่นมีขนมเซ็มเบ (Tsujiura Senbei) ที่หน้าตาเหมือนคุกกี้ทำนายในอเมริกาเลย ปรุงรสด้วยงาและมิโซะ ในอเมริกาจะใช้เนยและน้ำตาล ภายในจะมีกระดาษทำนายอยู่ โดยมีหลักฐานเป็นภาพเขียนตั้งแต่สมัยเอโดะ ประมาณศตวรรษที่ 17
.
ในยุคแรกเรียกว่าขนมแกล้มน้ำชา สมัยนั้นทหารซานฟรานซิสโกกลับไปบ้าน แล้วไปบอกร้านจีนที่บ้านเกิดว่า..ทำขนมแบบร้านในซานฟรานซิสโกสิ ซึ่งครัวจีนก็ไม่ได้ชำนาญเรื่องขนม เลยทำให้ขนมแบบญี่ปุ่นดูจะถูกปากคนตะวันตกมากกว่า พร้อมกับร้านอาหารจีนที่บูมในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
Cr.
https://th-th.facebook.com/AmpolfoodTH/photos/a.1535408143347785/2004821719739756/?type=3
“โดนัท ดอลลี” หน่วยพิเศษที่คอยส่งโดนัทและรอยยิ้ม
‘โดนัท ดอลลี’ (Donut Dollies) คือชื่อเล่นของ สาว ๆ บนรถทำโดนัท ที่จะคอยเดินทางไปตามแนวหน้าของสงคราม เพื่อแจกจ่ายโดนัทให้กับทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังการบุกโจมตีอ่าวเพิร์ล ฮาเบอร์ ในปี 1941 หน่วยกาชาดก็เริ่มทำการขนอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้าไปช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บในแนวหน้าทันที ทั้งทางร่างกาย และทาง “จิตใจ” เพราะเขาไม่ได้นำเข้าไปเพียงแค่ยารักษาโรค แต่ยังนำของหวานและโดนัทเข้าไปด้วย
กลุ่มอาสาสมัครสาวเพื่อทำหน้าที่เป็น “คนแจกโดนัท” จะต้องผ่านการทดสอบและฝึกฝนอย่างเข้มข้น
โดยจะต้องมีอายุ 25 ขึ้นไป จบการศึกษาปริญญาเป็นอย่างน้อย และสำคัญที่สุดคือ ต้องมีบุคลิกและรูปร่างที่ดีมาก ๆ ด้วย
หลังจากที่การฝึกเสร็จสิ้น พวกเธอก็จะถูกส่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังสถานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นรถบรรทุกที่ถูกดัดแปลงติดตั้งเครื่องทำโดนัท สามารถเดินทางเข้าไปยังค่ายทหารตามที่ห่างไกล หรือแม้แต่ในแนวหน้าเพื่อแจกจ่ายโดนัทสดใหม่ ร้อน ๆ ให้กับเหล่าทหาร
และจากเอกสารที่เผยแพร่ออกมาหลังสงคราม มีการประเมินว่าสาว ๆ อาสาสมัคร 205 คน เสิร์ฟโดนัทให้กับทหารในอังกฤษไปแล้วมากกว่า 4.6 ล้านชิ้น
Cr.
https://www.flagfrog.com/history-of-the-donut-dollies/
ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมด (อ่านเพิ่มเติมในลิ้งค์ )
อาหารการกินในยุคสงคราม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีอยู่หลายครั้งที่ฝั่งนาซีพยายามจะตัดสายการลำเลียงเสบียงของฝั่งอังกฤษ และหลายๆ ครั้งพวกเขาก็เลือกที่จะใช้การซ่อนระเบิดไปบนเรือของอังกฤษเอง
โชคดีที่ทางอังกฤษมีหน่วยป้องกันการก่อวินาศกรรมที่ค่อนข้างมีฝีมือมาก จนสามารถเก็บกู้การลอบวางระเบิดของทางนาซีได้เป็นอย่างดี
และในระหว่างการทำงานของพวกเขานั่นเอง Laurence Fish ศิลปินหนุ่มคนหนึ่งในสมัยนั้น ก็คอยรับหน้าที่วาดภาพแบบแปลนของระเบิดจากข้อมูลที่หน่วยป้องกันการก่อวินาศกรรมมอบให้ เพื่อเป็นข้อมูลในการสอดส่องดูแลต่อไป
โดยหนึ่งในภาพที่น่าสนใจของ Laurence คือแบบแปลนระเบิดช็อกโกแลตแท่ง ที่ออกแบบมาให้ทำงานในทันทีที่ช็อกโกแลตถูกหักออก ซึ่งว่ากันว่าทางนาซีเคยพยายามที่จะใช้ในการลอบสังหาร Winston Churchill นั่นเอง
ภาพเหล่านี้ถูกค้นพบในช่วงปี 2015 และกลายเป็นที่สนใจมากของนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น เพราะความคิดสร้างสรรค์ของนาซีในการทำระเบิดนั้น มันช่างเหนือความคาดหมายในหลายๆ ด้านจริงๆ
จากข้อมูลของ Jean Bray ภรรยาผู้เป็นม่ายของ Laurence กล่าวว่าภาพของสามีที่เธอพบนั้นมีทั้งหมด 25 ภาพ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่กระดาษ A4 ไปจนถึง A1 และมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากที่สงครามจบลง Laurence ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นศิลปินอย่างเป็นตัว ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปในปี 2009 ทิ้งไว้ซึ่งรูปภาพที่บรรจุแผนการการก่อวินาศกรรมของนาซีในช่วงสงครามไว้ให้กับคนรุ่นหลังสืบไป
ที่มา history, historydaily, artnet
Cr. https://www.catdumb.com/nazi-booby-traps-disguised-as-everyday-objects-378/
แอร์ซาตซ์ (Ersatz) อาหารยุคสงครามโลกครั้งที่1
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยอังกฤษฝรั่งเศสอเมริกาและรัสเซียกับฝ่ายมหาอำนาจกลางที่นำโดยเยอรมันออสเตรีย–ฮังการีและตุรกีสงครามดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1914 จนถึง ค.ศ. 1918 และได้ล้างผลาญชีวิตมนุษย์ไปเป็นจำนวนหลายล้านคน
ในระหว่างสงครามอังกฤษได้ใช้กลยุทธปิดล้อมเยอรมันทางทะเล เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเยอรมันมีความสามารถในการผลิตอาหารได้เพียงร้อยละแปดสิบของปริมาณความต้องการทั้งประเทศและต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละยี่สิบ ดังนั้นเมื่อถูกปิดล้อมทางทะเลจึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารขึ้นในเยอรมัน จนชาวเยอรมันในยุคนั้นต้องหันไปพึ่งอาหารเทียม
อาหารเทียมหรือที่เรียกว่าแอร์ซาตซ์ (Ersatz) เป็นอาหารที่ถูกผลิตขึ้นให้มีความใกล้เคียงกับอาหารจริง ๆ แม้ว่าวัสดุบางอย่างอาจดูเหมือนไม่น่าจะกินได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยต่อชีวิตของผู้คนที่กำลังหิวโหยให้อยู่รอดไปได้จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง และต่อไปนี้คือบางส่วนของอาหารแอร์ซาตซ์ที่ชาวเยอรมันในยุคนั้นกินกัน
ขนมปัง – ถูกเปลี่ยนจากใช้แป้งสาลีทำมาเป็นแป้งที่ทำจากถั่วและถั่วลันเตา นอกจากนี้ยังผสมผงขี้เลื่อยลงไปในแป้งสำหรับอบขนมปังเพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณด้วย
ขนมเค้ก – ทำจากแป้งเกาลัดและแป้งที่ได้จากต้นโคลเวอร์
เนื้อ – ความขาดแคลนเนื้อสัตว์ทำให้มีการนำเอาข้าวสับผสมเศษเนื้อแกะมาบริโภคแทน นอกจากนี้ยังมีการบริโภคสเต๊กผักซึ่งผลิตมาจากผักขมมันฝรั่งถั่วลิสงและไข่เทียมนำมาบดผสมและอัดรวมกันเป็นชิ้น
เนย – ได้ถูกเพิ่มปริมาณด้วยการผสมแป้งลงไป นอกจากนี้ยังมีการทำเนยจากนมที่จับตัวเป็นก้อนผสมกับน้ำตาลและใส่สีเหลืองลงไป
ไข่เทียม – ทำมาจากข้าวโพดผสมมันฝรั่ง
พริกไทย – ถูกเพิ่มปริมาณด้วยการผสมขี้เถ้าลงไป
ไขมัน – ได้มีความพยายามสกัดไขมันจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งจากหนูนาหนูบ้านอีกาแมลงสาบ (แหวะ) หอยทากรองเท้าบู๊ตและรองเท้าอื่น ๆ
กาแฟ – กาแฟเทียมทำจากลูกนัตอบและปรุงรสด้วยน้ำมันดิน (อันนี้นึกถึงในเมืองไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็มีกาแฟปลอมที่ทำจากเม็ดมะขามคั่วเอามาบดแทนเม็ดกาแฟเหมือนกัน)
ท้ายที่สุดเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายในปี ค.ศ. 1918 แม้แต่อาหารแอร์ซาตซ์ก็ไม่มีเหลือและสิ่งที่ชาวเยอรมันต้องกินเพื่อประทังชีวิตก็มีเพียงหัวผักกาดกับเศษอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
Cr.http://www.komkid.com/ประวัติศาสตร์สังคม/ersatz-อาหาร-สงครามโลก/
สแปม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นในยุโรป ปี ค.ศ. 1937 จอร์จ ฮอร์เมล เจ้าของบริษัทฮอร์เมล ฟู้ด ได้รับมอบหมายจากทางการสหรัฐให้คิดค้นวิธีผลิตเนื้อสัตว์ที่เก็บได้นานและราคาประหยัด ออกมาสู้กับสินค้าตลาดมืด ต่อมา ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ฮอร์เมลผลิตสินค้าเนื้อหมูกระป๋องสี่เหลี่ยมในชื่อ “สแปม” ซึ่งกลายมาเป็นเสบียงสำคัญของฝ่ายสัมพันธมิตร
และเป็นอาหารยอดนิยมของทหารที่ต้องไปออกรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพวกทหารจีไอของอเมริกา กองทัพอังกฤษหรือกองทัพรัสเซียล้วนสั่งซื้อ SPAM ให้ทหารของพวกเขาทั้งสิ้น
แม้แต่ “นีกีตา ครุชชอฟ” อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ยังเคยพูดว่า “ถ้าไม่มี SPAM เราก็ไม่สามารถเลี้ยงทหารทั้งกองทัพได้เลย” และหลังจากสงครามสิ้นสุดพบว่าพวกทหารฝ่ายสัมพันธมิตรกินเนื้อกระป๋องยี่ห้อนี้รวมกันเป็นน้ำหนักเกือบ 100 ล้านปอนด์
ส่วนผสมหลักของสแปมมีเนื้อหมูแฮม มันฝรั่ง น้ำตาล เกลือ โซเดียมไนเตรท น้ำ นำมาทำอาหารได้หลายแบบ ปัจจุบันมีการบริโภคสแปม 12.8 กระป๋องทุก 1 วินาที วางจำหน่ายใน 44 ประเทศ
Cr.https://understandingadsense.com/ทั่วไป/6-เรื่องของ-เนื้อกระป๋อง-spam/
อาหารของทหารสยามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
ทหารสยามมาถึงฝรั่งเศสปลายเดือนกรกฎาคมปี 1918 และบางหน่วยออกไปแนวหน้าช่วงกลาง ๆ กันยายน แต่เล็ก ๆ เรื่องหนึ่งที่ดูไม่ลงตัว คือเรื่องของอาหาร*
เรื่องอาหารนั้น มีระบุไว้ตั้งแต่ต้นปี 1918 แล้วว่าให้เหมือนกับกองทัพฝรั่งเศส เพียงแต่ลดจำนวนขนมปังและเพิ่มข้าวเข้าไป "เหมือนพวกอินโดจีน" เรื่องค่าอาหารนี้รัฐบาลฝรั่งเศสออกให้ก่อน แล้วรัฐบาลสยามค่อยจ่ายคืนทีหลัง
แต่แล้วช่วงต้นเดือนตุลาคม มีจดหมายจากผู้บัญชาการทหารของฝรั่งเศสไปถึงกระทรวงกลาโหม บอกว่าผู้นำทหารของสยาม ไม่ต้องการให้มีไวน์อยู่ในเมนูอาหาร เพราะไม่อยากให้ทัพสยาม "ติดเป็นนิสัย" จึงขอให้เปลี่ยนเป็นชากับน้ำตาลแทน แม้แต่เรื่องข้าวเองก็ดูจะมีปัญหา เอกสารระบุไว้ไม่แน่ชัดโดยกล่าวว่ามีความยุ่งยากบางประการเกี่ยวกับการจ่ายอาหารตามอัตราส่วนนี้ โดยเฉพาะในช่วงเคลื่อนย้ายกำลังพล
สรุปว่าตั้งแต่ราว 21 ตุลาคม ทหารสยามต้องจิบชาแทนไวน์ และก็ไม่แน่ว่าจะได้กินข้าวทุกมื้อหรือเปล่า อาจจะต้องกินแต่ขนมปังแบบเดียวกับทหารฝรั่งเศส ตามที่ระบุไว้อาหารทั้งหมดประกอบด้วย ขนมปัง 600 กรัม, เนื้อ 350 กรัม, น้ำตาล 0.32 กรัม, กาแฟ 0.24 กรัม, ผักแห้ง 0.60 กรัม, ไขมัน (เบค่อน?) 0.30 กรัม, เกลือ 0.20 กรัม, ชา 0.005 กรัม, และน้ำตาล 0.10 กรัม
พอราวหนึ่งเดือนผ่านไป ผู้นำหน่วยยานยนต์ของสยามชื่อ หลวงรามา เขียนจดหมายลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 1918 บอกว่าทหารสยามล้มป่วยกันมากเพราะอากาศหนาว และก็อาจจะป่วยเพิ่มขึ้นอีกหากไม่มีการป้องกัน ทีนี้เขาได้ปรึกษากับนายพลชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง จึงได้รู้ว่าไวน์มีสรรพคุณช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้ด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่พอเหมาะ แตกต่างจากชาที่ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ เขาจึงเขียนจดหมายนี้เพื่อขอให้ยกเลิกนโยบายเรื่องชา แล้วให้มีไวน์กลับมาในเมนูอาหารดังเดิม มิเช่นนั้นกองกำลังของสยามจะต้องทนทุกข์กับความหนาวที่พวกเขาไม่คุ้นเคย
แม้จะเซ็นยุติสงครามแล้วตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน แต่การเบิกจ่ายอาหารก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ และในปีถัดมามีการเซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายและมีการเดินขบวนของประเทศผู้ชนะสงคราม ทหารสยามก็ได้เข้าร่วมด้วยก่อนจะกลับสยามในที่สุด
Cr.https://blogazine.pub/blogs/dinbuadaeng/post/5128
บูเดชิเก อาหารยามสงคราม
บูเดชิเก หรือหม้อไฟเกาหลีสุดฮอตฮิตในตอนนี้ มีประวัติที่น่าสนใจดังนี้
เริ่มจากในช่วงปี 1950 ประเทศเกาหลีใต้ต้องตกอยู่ในช่วงยุคสงคราม ทำให้ช่วงเวลานั้น ข้าวของมีราคาแพงขึ้น รวมไปถึงของกินที่มีราคาสูงและหายาก
เนื่องจากผลของสงครามจึงทำให้ชาวเกาหลีใต้ตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร ทางกองทัพทหารอเมริกันที่ได้เข้ามาช่วยเหลือประเทศเกาหลีใต้
จึงนำอาหารของกองทัพที่ได้นำเข้ามาเป็นเสบียง ไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอก แฮม แสปมมักกะโรนี ฯลฯ แจกจ่ายให้กับชาวเกาหลีใต้
คนเกาหลีใต้จึงได้นำอาหารที่มีอยู่ และสามารถหาได้ ซึ่งก็คือแฮม ฮอตด็อก พริกแกงเกาหลี รามยอน
คนเกาหลีใต้ได้นำอาหารทั้งหมด มาทานคู่กับกิมจิ และโคชูจัง ในรูปแบบแกง จนเกิดเป็นเมนูหม้อไฟเกาหลี หรือบูเดชิเกในปัจจุบันนี้
Cr.https://www.sura2012.com/thaiblog/budaejjigae
คุกกี้ทำนายมีตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
คุกกี้ทำนายมีตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มักขายอยู่ตามร้านที่ดูจีนๆ ขนมนี้เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 สมัยก่อนเริ่มมีร้านอาหารจีนในอเมริกามากขึ้น จึงกลายมาเป็นขนมประจำร้านอาหารจีนในอเมริกา ต้นตอที่เก่าแก่ที่สุดพบได้ในญี่ปุ่น ซึ่งขนมหน้าศาลเจ้าแถวเกียวโตก็ทำคุกกี้ทำนายกันมานานแล้ว ญี่ปุ่นมีขนมเซ็มเบ (Tsujiura Senbei) ที่หน้าตาเหมือนคุกกี้ทำนายในอเมริกาเลย ปรุงรสด้วยงาและมิโซะ ในอเมริกาจะใช้เนยและน้ำตาล ภายในจะมีกระดาษทำนายอยู่ โดยมีหลักฐานเป็นภาพเขียนตั้งแต่สมัยเอโดะ ประมาณศตวรรษที่ 17
.
ในยุคแรกเรียกว่าขนมแกล้มน้ำชา สมัยนั้นทหารซานฟรานซิสโกกลับไปบ้าน แล้วไปบอกร้านจีนที่บ้านเกิดว่า..ทำขนมแบบร้านในซานฟรานซิสโกสิ ซึ่งครัวจีนก็ไม่ได้ชำนาญเรื่องขนม เลยทำให้ขนมแบบญี่ปุ่นดูจะถูกปากคนตะวันตกมากกว่า พร้อมกับร้านอาหารจีนที่บูมในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
Cr.https://th-th.facebook.com/AmpolfoodTH/photos/a.1535408143347785/2004821719739756/?type=3
“โดนัท ดอลลี” หน่วยพิเศษที่คอยส่งโดนัทและรอยยิ้ม
‘โดนัท ดอลลี’ (Donut Dollies) คือชื่อเล่นของ สาว ๆ บนรถทำโดนัท ที่จะคอยเดินทางไปตามแนวหน้าของสงคราม เพื่อแจกจ่ายโดนัทให้กับทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังการบุกโจมตีอ่าวเพิร์ล ฮาเบอร์ ในปี 1941 หน่วยกาชาดก็เริ่มทำการขนอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้าไปช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บในแนวหน้าทันที ทั้งทางร่างกาย และทาง “จิตใจ” เพราะเขาไม่ได้นำเข้าไปเพียงแค่ยารักษาโรค แต่ยังนำของหวานและโดนัทเข้าไปด้วย
กลุ่มอาสาสมัครสาวเพื่อทำหน้าที่เป็น “คนแจกโดนัท” จะต้องผ่านการทดสอบและฝึกฝนอย่างเข้มข้น
โดยจะต้องมีอายุ 25 ขึ้นไป จบการศึกษาปริญญาเป็นอย่างน้อย และสำคัญที่สุดคือ ต้องมีบุคลิกและรูปร่างที่ดีมาก ๆ ด้วย
หลังจากที่การฝึกเสร็จสิ้น พวกเธอก็จะถูกส่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังสถานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นรถบรรทุกที่ถูกดัดแปลงติดตั้งเครื่องทำโดนัท สามารถเดินทางเข้าไปยังค่ายทหารตามที่ห่างไกล หรือแม้แต่ในแนวหน้าเพื่อแจกจ่ายโดนัทสดใหม่ ร้อน ๆ ให้กับเหล่าทหาร
และจากเอกสารที่เผยแพร่ออกมาหลังสงคราม มีการประเมินว่าสาว ๆ อาสาสมัคร 205 คน เสิร์ฟโดนัทให้กับทหารในอังกฤษไปแล้วมากกว่า 4.6 ล้านชิ้น
Cr.https://www.flagfrog.com/history-of-the-donut-dollies/
ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมด (อ่านเพิ่มเติมในลิ้งค์ )