สุสานทองกวาว (รักเเท้รอได้)


ผู้คนในชุดแต่งดำไว้ทุกข์  ในคืนสวดอภิธรรมศพของคุณยายเศรษฐีนีกับหลานชาย    ที่เสียชีวิตกะทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งให้สะใภ้สาวเป็นหม้ายไว้ครองทรัพย์มรดกก้อนโตแต่เพียงผู้เดียว

ข้างร่างอันไร้วิญญาณ ญาติคอยส่งขันน้ำให้แขกที่ต่อแถวรดน้ำศพ สะใภ้สาวไม่อาจทนรับกับการสูญเสียได้ เอามือปิดหน้าร้องไห้ วิ่งลงจากศาลาไป  ญาติที่เหลือต่างรีบตามไปปลอบใจ 

การตายของคู่ยายหลานมันเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ มีเสียงซุบซิบนินทาในที่ลับตาเกี่ยวกับข่าวลือพฤติกรรมของผู้เป็นสะใภ้เรื่องชู้สาว ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุร้าย หลายครั้งที่ญาติฝ่ายสามี  ได้พบเห็นชายหนุ่มลึกลับในชุดนักศึกษาปรากฏตัวอยู่ในบ้านที่ไม่อาจจับได้ไล่ทัน  มูลเหตุของการหวาดระแวงของฝ่ายสามี จนนำไปสู่การทะเลาะถึงขั้นขอหย่าร้าง  เรื่องไม่ทันดำเนินการไปถึงไหน  ก็มีเหตุสามีรวมทั้งญาติผู้ใหญ่มีอันเป็นไปขึ้นเสียก่อน

ตำรวจให้ข้อสันนิษฐานเหตุรถยนต์พลิกคว่ำมาจาก คนขับใช้ความเร็วสูงและไม่ชำนาญเส้นทาง กอปร์กับเกิดหลับใน จนนำไปสู่การเสียชีวิต แต่ทว่าไม่ได้ตัดข้อสงสัยของทางญาติฝ่ายสามีที่ว่าชิ้นส่วนของเบรกรถถูกทำให้เสื่อมสภาพ ทำให้คนขับควบคุมรถไม่ได้จนหลุดโค้งพลิกคว่ำ คดีจะต้องรอฝ่ายพิสูจน์หลักฐานต่อไป

 ที่ต่างสะเทือนใจคือคุณยาย ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมไปด้วย ท่านสุขภาพย่ำแย่ด้วยโรคภัยรุมเร้า ได้แต่พักฟื้นอยู่ที่บ้าน เมื่อหลานชายว่างก็จะพาไปปฏิบัติธรรมตามสำนักสงฆ์ในต่างจังหวัดอยู่เป็นนิจ  ก่อนเป็นภาพสุดท้ายที่คนในบ้านได้เห็นทั้งสองคนขณะยังมีลมหายใจ

ผู้คนยังคงทยอยเข้ามาภายในศาลาวัดอย่างเนืองแน่น พวงรีดถูกยกมาอย่างรีบเร่งก่อนพระขึ้นอาสน์  ด้วยผู้ตายครั้งที่มีชีวิตอยู่เป็นเศรษฐีใจบุญชอบช่วยเหลือสังคม ทำธุรกิจค้าส่งรายใหญ่ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าใหญ่น้อยภายในจังหวัด ที่ลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะความเอื้อเฟือของคุณนาย

ในลานวัดมีตอไม้เก่าผุพังของต้นทองกวาว รถยนต์ของผู้มาร่วมงานศพ  ขับขี่ไม่ระวังเหยียบมันเข้าพลันพังสลาย  ทองกวาวที่มีมาตั้งแต่สมัยริเริ่มก่อสร้างวัด ยังเป็นผืนนาฟ้าโล่ง ยามข้าวออกรวงเป็นสีทองอร่าม กาลต่อมาได้กลายเป็นชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม  คุณนายบุญเรือนเป็นผู้มีใจใฝ่บุญอยู่ในศีลธรรม ได้กว้านซื้อที่ดินผืนนี้ แล้วทำการก่อสร้างศาสนสถานขึ้น 

ด้านนอกศาลามีต้นไม้ร่มครึ้ม ความร่มรื่นเช่นนี้ กลางคืนกลับดูมืดและวังเวงผู้คนในชุดสีดำเดินสวนทางกับหญิงสาวนางหนึ่ง เธอสวมชุดไทยประยุกต์สีขาวทำให้ดูโดดเด่น ใบหน้ารูปไข่ เส้นผมดำเป็นมันเงาในทรงบ๊อบสั้นแค่คอดูสวยเก๋แต่เรียบง่าย  มีผ้าแพรหรือผ้าห่มสไบเฉียงทับตัวเสื้ออีกที นุ่งโจงกระเบน สวมถุงเท้าและรองเท้าส้นสูง ทำให้ดูสง่าเลอค่างามอย่างไทย ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้รับตำแหน่งนางงามประจำตำบลมาแล้ว

กาลเวลาเปลี่ยนไป ความงามเช่นนี้กลับหาได้มีใครสนใจอีกไม่

เธอทอดสายตาดูผู้คนที่เดินสวนทางมา แม้จะเจอคนรู้จักกัน พยายามกวักมือเรียก เขาและเธอเหล่านั้นหาได้สนใจ ไม่แม้จะเหลียวหันมามอง
ช่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางผู้คน

 
“บุญเรือน...”

เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่ม ขานเรียกนามนี้มาจากด้านหลัง  ในที่สุดก็มีคนจดจำเธอได้แล้วพอหันไปตามน้ำเสียงทางต้นศรีมหาโพธิ์  ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวใจกลางลานวัด แผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาครึ้มบดบังแสงจันทร์นวลผ่องในคืนพระจันทร์เต็มดวง ร่างนั้นแม้จะมองเห็นใบหน้าไม่ชัด เขาสวมชุดนักศึกษากำลังกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ ราวถือสนิทยิ่ง น้ำเสียงเรียกขานชื่อของเธอคล้ายแว่วมาตามลม ทำให้รู้สึกเยือกเย็นยิ่งนัก 

ใครกันผู้ชายคนนั้น สำเนียงช่างคุ้นหูเหลือเกิน บุญเรือนพลันนึกทบทวนเหมือนเคยเจอในความฝัน หรือในกาลเวลาที่ผ่านมานานแสนนาน ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างบอกไม่ถูกจนอดยิ้มตอบรับไม่ได้ 

“สน นั่นเพื่อนใช่ไหม” เธอจำเขาได้แล้ว มิมีใครเลย ที่มีสำเนียงเหน่อแบบสุพรรณได้น่าฟังเช่นนี้

กริ่ง  กริ่ง  กริ่ง 

 ยามเมื่อลมพัดกระดิ่งชายคาอุโบสถ ส่งเสียงประสานแหลมดัง เสียงยิ่งถี่แหลมขึ้นเมื่อลมหอบใหญ่พัดกิ่งไม้โยกครืน ใบไม้ปลิดปลิวจากขั้ว ฝุ่นผงม้วนคลีตลบฟุ้ง  เมฆที่บดบังพระจันทร์กำลังจะเคลื่อนผ่าน ทำให้แสงนวลใยจับใบหน้าคมสันต์ของชายไทยในชุดนักศึกษา

 เขาเดินอย่างองอาจเข้ามาใกล้เธอทุกที เส้นผมที่หวีเรียบชโลมด้วยน้ำมันจนขึ้นเงา จมูกโด่ง ผิวเนื้อคมเข้ม เวลายิ้มทำให้ดูมีเสน่ห์ ตามแบบฉบับลูกชาวนาที่กรำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้ยามโตเป็นหนุ่มอาจหาญไม่กลัวเกรงใคร 

“สน...ใช่สนจริงๆ ด้วย” เธอยิ้มอย่างโล่งอก

มืออันหยาบกร้านของสนเข้ามาประคองใบหน้าสวยหวาน ราวกับเป็นชายคู่รักเธอหลบมืออย่างขวยเขิน  แม้หน้าของเขาจะดำแต่ยิ้มทีเห็นฟันขาว เพราะใช้ใบข่อยแตะเกลือขัดฟัน   นานแค่ไหนเธอไม่มีวันลืม เจ้าของรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์คนนี้ได้เลย  ทำให้น้ำตามันเอ่อล้นมาโดยไม่รู้ตัว ความคิดถึงมันประดาประดังเข้ามา จนดวงใจน้อยๆ ไม่อาจจะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้ 

ริมฝีปากที่กำลังจะสัมผัสแก้มขาว บุญเรือนสำนึกได้ ตนเองแต่งงานมีสามีแล้วเป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม การแสดงความรักกับชายอื่นเป็นสิ่งที่ผิด เจ้าของใบหน้าคมเข้มรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่เธอก้าวถอยห่างออกมาอย่างสงวนตัว

“ไม่นะ...อย่าเข้ามา”

“บุญเรือน!..” 

เขาคำราม คราวนี้เข้ามากางแขนกอดรวบรุกประชิดตัว จมูกซุกซอนตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย เหมือนอยากจะกลืนกินหญิงสาวไปทั้งตัว

“อย่านะ! ได้โปรดที่นี่มันในวัดนะ”

“บุญเรือน ฉันคอยเพื่อนนานเหลือเกิน นานเกินจะทนไหวแล้ว”

สองแขนแข็งแรงรั้งเอวคอดเอาไว้ หญิงสาวเหมือนเทียนต้องไฟลน ปล่อยให้ชายหนุ่มซุกซอนไปตามผิวกายเนียนนุ่ม สมดังใจปรารถนา มือหยาบยังเล้าโลมทั่วจุดกระสัน ทำให้ลมหายใจขาดห้วง ยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้เขารุกรานมากยิ่งขึ้น ก่อนที่อารมณ์จะถลำเข้าสู่ห้วงลึกของอำนาจตัณหา เสียงพระสงฆ์บนศาสาให้ศีลโยมเริ่มดังขึ้น แว่วมากระทบโสตของทั้งคู่

กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณีปะทัง สะมาทิยามิ...

 
“เธอได้ยินไหมสน เรากำลังทำผิดนะ”

มือผลักใบหน้าของเขาออกไป เธอหลุดพ้นออกมาได้ สนแยกเขี้ยวด้วยความไม่พอใจ มองตามหญิงสาวไปบนศาลา ภาพพระสงฆ์กำลังตั้งหน้าเปล่งเสียงสวดพระคาถาที่ไม่เป็นมงคลหูเอาเสียเลย มือหยาบจับคางของเธอให้มองเฉพาะแต่เขาเท่านั้น

“อย่าไปฟังคำพวกโล้นห่มเหลือง พร่ำเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผิดศีลกาเมอะไรกัน ผิดลูกผิดเมียใครกัน เป็นพระก็อยู่ส่วนพระสิ โลกของเรามันไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ขอเพียงมีใจรัก อยากจะทำอะไรก็ทำ เวลานี้มีเพียงเราเท่านั้น เมื่อเจ้าคนนั่นมันตายไปความรักของเราจะไม่มีใครมาขวางได้อีก เราไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้ว!”

ยามนี้เธอควรอยู่ในอารมณ์เศร้าโศก ที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว มิใช้เวลามารื้อฟื้นความสัมพันธ์แต่หนหลังกับเขา ศพบนศาลาพึ่งจะสวดคืนแรก ทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง บุญเรือนต่อว่าต่อขานแรง กำปั้นน้อยทุบตีอกของเขา ด้วยอำนาจแรงกายที่เหนือกว่า คว้าข้อมือไว้ได้กอดรวบร่างบางไว้อีกครั้ง บรรจงจูบคราบน้ำตาที่แก้มขาว

เวลาแห่งการรอคอย มันเนิ่นนานจนเกินกว่าจะควบคุมความต้องการไว้ได้อีกแล้ว สนรู้ว่าน้ำตาของบุญเรือนหลั่งออกมาจากความรู้สึกสับสน ในจิตสำนึกบอกว่ากำลังทำผิด คนที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่เลี้ยงดูอบรมมาอย่างดี ตลอดชีวิตได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนในสังคม และนั่นเป็นสิ่งที่ผูกรั้งยึดเหนี่ยวความรู้สึกนึกคิดจิตใจของบุญเรือนเอาไว้อย่างแน่นหนา การจะทลายมโนคติเหล่านี้ มีแต่จะต้องรื้อฟื้นความรักระหว่างเขาและเธอเท่านั้น จึงจะทำลายโซ่แห่งความผูกพัน ไปสู่ที่สุดแห่งกาลเวลา และการรอคอยที่เนิ่นนานมันจะถึงกาลสิ้นสุด

พระคุณเจ้าภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ ต่างเดินแถวลงมาจากศาลา มุ่งสู่ลานวัดใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่คู่รักหนุ่มสาวยืนพร่ำเพ้อกันอยู่ พระชราผิวหนังเหี่ยวย่นตามสังขารท่านเป็นคนท้องถิ่นนี้ตั้งแต่ยุคบุกเบิกสร้างวัด  ในวัยหนุ่มแน่นได้เคยนึกชมชอบสาวงามประจำตำบล  ที่กาลต่อมาเธอได้เป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้  ท่านหยุดยืนปลงอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ หากยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ จะไม่มีวันพบหนทางสว่างได้เลย

“พรุ่งนี้ทั้งตำบล จะต้องเอาเรื่องของเราไปลือแน่ ถึงจะเป็นหม้ายผัวตาย แต่ลูกจะต้องอับอายที่มีแม่อย่างฉัน” 

“เขาตาย ตามพ่อไปแล้ว” สนกัดฟันพูด

“ไม่จริง! เล็กไม่ใช่คนอายุสั้น”

“อย่าปฏิเสธ ความจริงอีกเลย”

สนพูดย้ำๆ อยู่เช่นนั้น เสี่ยเล็กลูกชายคนเดียวได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว  บุญเรือนเหมือนคนสติฟั่นเฟือน ไม่อาจรับความจริงได้ เธอทนลำบากเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวมา  จนเขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำธุรกิจค้าส่งจนร่ำรวย ถึงจะเป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนคนเป็นพ่อที่มีนิสัยนักเลงไม่ยอมคน จนถูกอริยิงตาย เธอจำบทเรียนเอามาสอนลูกชายให้เข้าวัดทำบุญ เคยได้บวชเรียน เพื่อหวังขัดเกลาจิตใจ ไม่ต้องเป็นคนอารมณ์ร้อนจนเป็นเหตุให้ต้องอายุสั้นเหมือนกับพ่อของเขา

“อย่าร้องไห้อีกเลย เขาเหล่านั้นได้ไปสู่หนทางของตนเองแล้ว”

สองแขนทรงอำนาจกระชับร่างของบุญเรือนไว้อีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ตอของต้นทองกวาว ที่ครั้งหนึ่งมันเคยยืนต้นออกดอกสวยสะพรั่ง ให้หนุ่มสาวคู่รักบ้านนาได้ยืนพูดคุยสบตากัน ความรักผลิบานขึ้นที่นี่ และยามจากกันไปชั่วชีวิต

“ฉัน... เกือบลืมมันไปแล้ว”

“นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เราสองคน ไม่ได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้”

เสียงกระซิบข้างใบหู ที่สนชอบทำอยู่เสมอ กลิ่นพิกุลจากน้ำปรุงหอมละมุนจากกายสาว ทำให้หนุ่มในชุดนักศึกษาอิ่มเอมใจยิ่งนัก เขาคือความหวังของแม่ที่ต้องเหนื่อยยากทำนาอยู่คนเดียว เพื่อหาเงินส่งเสียลูกชายคนเดียว ได้เล่าเรียนจนสำเร็จขั้นอุดมศึกษา ได้แต่ย้ำให้ตนเองมุมานะสอบให้ติดงานราชการ ซึ่งมันจะทำให้ลดช่องว่างทางฐานะที่แตกต่างกันของสองครอบครัว ที่ฝ่ายหญิงเป็นคนฐานะดีที่สุดในตำบล    

ภายหลังทางราชการประกาศผลสอบ สนสอบติดได้งานสมใจ ตั้งใจจะนำข่าวดีนี่มาบอก ที่จุดนัดพบเดิมๆ ใต้ต้นทองกวาว หากแต่มันสายไปแล้ว มันเป็นวันที่เธอมาบอกกล่าวลา หรือบอกเลิกคบหา เพราะจะต้องเตรียมตัวแต่งงานกับลูกชายเถ้าแก่ เจ้าของโรงสีใหญ่ในตัวอำเภอ 

บุญเรือนพยักหน้ารับ สีหน้าแสดงความใสซื่อ  ฟังที่สนพูด รู้สึกคลับคล้ายจะเคยบอกลาใครบางคน ณ ที่แห่งนี้ แต่ยังจำไม่ได้เสียที  แม้เขาจะช่วยทบทวนความจำให้เพียงใด  

ชีวิตแต่งงานกับชายหนุ่มที่พ่อแม่เลือกให้ ไม่มีความสุขนัก เขาเป็นคนพูดจาโผงผางไม่เกรงใจ  ไม่ว่างานดูแลบ้าน หรืองานที่ต้องช่วยแบ่งเบาภาระทำการค้าของครอบครัวสามีที่หันมาทำการค้าส่ง และเป็นเจ้าของตลาดสด  มีคนงานในปกครองจำนวนมาก  พอทำไม่ถูกใจจะถูกดุด่าบ่อยครั้ง ทำให้รู้สึกน้อยใจ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวคนจีนจึงโตมาอย่างถูกเอาอกเอาใจ   แล้วยังชอบเลี้ยงนักเลงนัยว่าเอาไว้สู้อิทธิพลของคู่แข่งทางการค้า  ทำให้มีเรื่องขัดแย้งกันบ่อย 

ด้านทายาทมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนชื่อเล็ก กำลังย่างเข้าวัยรุ่นมีนิสัยโผงผางคล้ายผู้เป็นพ่อ  วันหนึ่งก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวถูกมือปืนยิงเสียชีวิต คาดว่าเป็นฝีมือคู่อริซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพล ในเมื่อพ่อแม่สามีเสียชีวิตไปก่อนหน้าแล้ว  ทำให้บุญเรือนครองความเป็นหม้ายที่สวยสะพรั่ง มากด้วยทรัพย์สิน  มีคนดีๆ แวะเวียนเข้ามาหามากหน้า ในใจของหม้ายสาวกลับคิดรอคอยใครคนหนึ่ง แต่มันก็นานมากแล้ว จนหลงลืมแม้ชื่อของเขาคนนั้น

บัดนี้ในอ้อมแขนของสน เขาหลับตาชวนนึกย้อนไปในวันวาน “เพื่อนรัก จงหลับตาเถิด แล้วย้อนนึกถึงไปในวันวาน ที่ท้องทุ่งตรงหน้ามีต้นข้าวออกรวงจนเหลืองอร่าม จากชายดงมีคลองและทางเกวียนเลาะเลียบ อุดมไปด้วยต้นไผ่มีหนาม มาถึงตรงนี้ตรงที่สันดอนมีต้นทองกวาวยืนต้นเด่น เราสองคนชอบนัดพบกันตรงนี้เพื่อไปเก็บดอกบัวให้พวกผู้ใหญ่นำไปวัดอยู่เสมอ และขากลับเราจะดักขึ้นเกวียนอาศัยร่วมทางกลับบ้าน”

ในช่วงหนึ่งของกาลเวลา เสียงเพลงของสุรพล สมบัติเจริญดังแว่วมาจากทรานชิสเตอร์ของชาวนา ที่กำลังเร่งเก็บเกี่ยวข้าวออกรวงเหลืองเต็มทุ่ง ใกล้วันขึ้น 15 ค่ำ สนกับบุญเรือนจะนัดแนะกันไปเก็บดอกบัว เตรียมให้พวกพ่อแม่ไปทำบุญที่วัด สองฟากเป็นนาข้าวออกรวงเหลืองอร
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่