สัมปทานดิวตี้ฟรีดอนเมืองทำการปิดการขายซองเป็นที่เรียบร้อย สรุปได้ว่ามีแค่คิงเพาเวอร์ กับเดอะมอลล์ ที่ได้เข้าทำการซื้อซองเพียง 2 รายเท่านั้น ดูเงียบเหงาผิดกับตอนช่วงประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ ร้อนแรงไฟแล่บ

ผมจึงคิดว่าสิ่งที่ทำให้การซื้อซองครั้งนี้ได้รับความสนใจน้อยเพราะว่า
1. ขีดจำกัดการขยายตัวของดอนเมือง ด้วยความที่พื้นที่ดอนเมืองมีจำกัดมีพื้นที่ประมาณ 1,800 ตารางเมตรเล็กกว่าสุวรรณภูมิ และยังไม่ได้มีการขยายสนามบิน ทำให้เที่ยวบินหนาแน่นทำให้ไม่มีตารางให้สายการบินพรีเมี่ยมได้ลงจอดที่นี่
2. ไม่มีสายการบินพรีเมี่ยมจึงทำให้สนามบินดอนเมืองเป็นแหล่งรวมสายการบิน Low Cost พฤติกรรมของผู้โดยสารที่ใช้สายการบิน LowCost มักจะใช้เงินอย่างประหยัด ความต้องการหรือกำลังในการซื้อของแบรนด์เนมจึงไม่โดดเด่นมากนัก โดยวัดได้จาก “สถิติปี 2562 คิง เพาเวอร์ มียอดขายสินค้าของ ในสนามบินดอนเมืองทำได้เพียงวันละ 10-14 ล้านบาท ปี 2561 มียอดขายแค่ 5,000 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนน้อยคิดเป็น 5 % ของกลุ่มบริษัท อีกทั้งเปรียบเทียบแล้วน้อยกว่าสนามบินภูมิภาคอีก 3 แห่ง คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ ซึ่งทำส่วนแบ่งยอดขายได้เกินกว่า 8 % ของแต่ละปี”
(ที่มาบทสัมภาษณ์คุณอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา ทายาทคิงเพาเวอร์)
3. เปิดเสรี Pick Up Counter จุดรับสินค้าปลอดภาษี โดยที่ผู้โดยสารสามารถซื้อสินค้าปลอดภาษีจากแหล่งใดก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน ก็สามารถมารับสินค้าที่สนามบินได้ ถ้ามองในเรื่องของภาพรวมนโยบายนี้จะทำให้เราผู้ที่ประกอบกิจการขายสินค้าปลอดภาษีมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีร้านอยู่ในสนามบิน แต่ถ้ามองในมุมของคนที่จะเข้าร่วมประมูล คงเป็นการลงทุนที่ดูไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก
ถ้าผมเป็นคนที่จะเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ เจอ 2 ข้อแรกเข้าไปก็ต้องมีหยุดคิดเหมือนกันแหละครับ เพราะมันคือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นวัดจากสถิติมาแล้วยอดขายที่ตรงนี้อาจจะไม่ได้ทำกำไรงามมากนัก ใครที่อยากได้พื้นที่ตรงนี้ต้องมีสรรพกำลังทุกด้าน ไหนจะยังเป็นคู่แข่งจากร้านดิวตี้ฟรีนอกสนามบินอีก
ด้วย 3 เหตุผลหลักใหญ่ๆ นี่หละมั้งครับ ที่ทำให้การซื้อซองเงียบเหงามีแค่คิงเพาเวอร์กับเดอะมอลล์ ลงแข่งกันอยู่ 2 เจ้า และคาดว่าทั้ง 2 เจ้า ก็คงจะสู้กันอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าสนามบินดอนเมืองจะเล็กก็ตาม แต่อย่าลืมนะครับว่าดอนเมืองคือศูนย์กลางจุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางทางการบินในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศไปยังจุดต่างๆ ของโลกได้อย่างเหมาะสม ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสนามบินนานาชาติของประเทศนะครับ ดีกรีใช่ย่อย พอฟังอย่างนี้แล้วพอค่อยดูน่าเดิมพันกันหน่อยใช่ไหมหละครับ
ถึงแม้ว่าการแข่งขันประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรีดอนเมืองครั้งนี้ในสายตาผมถึงแม้ว่าจะมีผู้ซื้อซองน้อยรายแต่มันก็มีการแข่งขันอย่างดุเดือด ไม่ใช่ว่าใครจะได้สัมปทานไปเท่านั้น แต่มันยังขึ้นอยู่กับว่าเมื่อได้สัมปทานไปแล้ว คนที่ได้สัมปทานไปจะมีความเก๋าเกมส์ “เอาอยู่” และ “ไปรอด” กับสนามบินเล็กแต่เผ็ดเหมือนอย่างดอนเมืองหรือป่าว แบบนี้ก็ต้องติดตามชมกันต่อไปนะขอรับ
วิเคราะห์สัมปทานดิวตี้ฟรีดอนเมือง ทำไมมีแต่คิงเพาเวอร์และเดอะมอลล์
ผมจึงคิดว่าสิ่งที่ทำให้การซื้อซองครั้งนี้ได้รับความสนใจน้อยเพราะว่า
1. ขีดจำกัดการขยายตัวของดอนเมือง ด้วยความที่พื้นที่ดอนเมืองมีจำกัดมีพื้นที่ประมาณ 1,800 ตารางเมตรเล็กกว่าสุวรรณภูมิ และยังไม่ได้มีการขยายสนามบิน ทำให้เที่ยวบินหนาแน่นทำให้ไม่มีตารางให้สายการบินพรีเมี่ยมได้ลงจอดที่นี่
2. ไม่มีสายการบินพรีเมี่ยมจึงทำให้สนามบินดอนเมืองเป็นแหล่งรวมสายการบิน Low Cost พฤติกรรมของผู้โดยสารที่ใช้สายการบิน LowCost มักจะใช้เงินอย่างประหยัด ความต้องการหรือกำลังในการซื้อของแบรนด์เนมจึงไม่โดดเด่นมากนัก โดยวัดได้จาก “สถิติปี 2562 คิง เพาเวอร์ มียอดขายสินค้าของ ในสนามบินดอนเมืองทำได้เพียงวันละ 10-14 ล้านบาท ปี 2561 มียอดขายแค่ 5,000 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนน้อยคิดเป็น 5 % ของกลุ่มบริษัท อีกทั้งเปรียบเทียบแล้วน้อยกว่าสนามบินภูมิภาคอีก 3 แห่ง คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ ซึ่งทำส่วนแบ่งยอดขายได้เกินกว่า 8 % ของแต่ละปี”
(ที่มาบทสัมภาษณ์คุณอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา ทายาทคิงเพาเวอร์)
3. เปิดเสรี Pick Up Counter จุดรับสินค้าปลอดภาษี โดยที่ผู้โดยสารสามารถซื้อสินค้าปลอดภาษีจากแหล่งใดก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน ก็สามารถมารับสินค้าที่สนามบินได้ ถ้ามองในเรื่องของภาพรวมนโยบายนี้จะทำให้เราผู้ที่ประกอบกิจการขายสินค้าปลอดภาษีมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีร้านอยู่ในสนามบิน แต่ถ้ามองในมุมของคนที่จะเข้าร่วมประมูล คงเป็นการลงทุนที่ดูไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก
ถ้าผมเป็นคนที่จะเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ เจอ 2 ข้อแรกเข้าไปก็ต้องมีหยุดคิดเหมือนกันแหละครับ เพราะมันคือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นวัดจากสถิติมาแล้วยอดขายที่ตรงนี้อาจจะไม่ได้ทำกำไรงามมากนัก ใครที่อยากได้พื้นที่ตรงนี้ต้องมีสรรพกำลังทุกด้าน ไหนจะยังเป็นคู่แข่งจากร้านดิวตี้ฟรีนอกสนามบินอีก
ด้วย 3 เหตุผลหลักใหญ่ๆ นี่หละมั้งครับ ที่ทำให้การซื้อซองเงียบเหงามีแค่คิงเพาเวอร์กับเดอะมอลล์ ลงแข่งกันอยู่ 2 เจ้า และคาดว่าทั้ง 2 เจ้า ก็คงจะสู้กันอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าสนามบินดอนเมืองจะเล็กก็ตาม แต่อย่าลืมนะครับว่าดอนเมืองคือศูนย์กลางจุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางทางการบินในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศไปยังจุดต่างๆ ของโลกได้อย่างเหมาะสม ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสนามบินนานาชาติของประเทศนะครับ ดีกรีใช่ย่อย พอฟังอย่างนี้แล้วพอค่อยดูน่าเดิมพันกันหน่อยใช่ไหมหละครับ
ถึงแม้ว่าการแข่งขันประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรีดอนเมืองครั้งนี้ในสายตาผมถึงแม้ว่าจะมีผู้ซื้อซองน้อยรายแต่มันก็มีการแข่งขันอย่างดุเดือด ไม่ใช่ว่าใครจะได้สัมปทานไปเท่านั้น แต่มันยังขึ้นอยู่กับว่าเมื่อได้สัมปทานไปแล้ว คนที่ได้สัมปทานไปจะมีความเก๋าเกมส์ “เอาอยู่” และ “ไปรอด” กับสนามบินเล็กแต่เผ็ดเหมือนอย่างดอนเมืองหรือป่าว แบบนี้ก็ต้องติดตามชมกันต่อไปนะขอรับ