กลับมาแล้วค้าาาาา
หยุดไปสักพักใหญ่ๆเลย อิอิ เดือนที่แล้วเราจัด Road Trip ที่ไทยด้วยแหละ ไปภูกระดึง-น่าน-กทม สนุกมาก ^^ อ่ะ มาต่อกันค่ะ
อ่าน Part1 รายละเอียดโดยรวมและเที่ยวโตเกียว
https://pantip.com/topic/39001427
Part2 เที่ยวทรหด one day trip ที่ Nikko ค่ะ
https://pantip.com/topic/39080349
และ part3 เที่ยวฟินๆ เห็นฟูจิทั้งวันที่
https://pantip.com/topic/39266470
Day5 Kyoto
บัสเดินทางมาถึงเกียวโตตามเวลาเป๊ะเลยค่ะ ซึ่งบอกเลยว่าเช้าๆอากาศหนาวมากกก ความเด๋อยามเช้าของพวกเราก็จะงงกับทางเข้าสถานีเกียวโตแถมยังหาลิฟต์ไม่เจออีกจนต้องแบกกระเป๋าที่หนักมากขึ้นบันไดแล้วต้องปะทะกับลมเย็นๆอีก เอาซะหายง่วงไปเลยจ้า
เจ็ดโมงเช้าของเกียวโตกับโตเกียวคนละเรื่องเลย ที่นี่ก็จะเงียบๆหน่อย ร้านในสถานียังไม่เปิดคนก็ไม่เยอะมาก ตอนแรกเราว่าจะหาที่บริการอาบน้ำใกล้ๆตามที่อ่านรีวิวมาแต่หาไม่เจอ พวกเราก็เลยใช้วิธีเปิดกระเป๋าหน้าลอกเกอร์เลยจ้า หยิบเสื้อผ้าและสัมภาระจำเป็นแล้วไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ วันนี้เราจะซักแห้งกันนาจา
ตอนนี้อยู่ในชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว เราไป explore เกียวโตกันจ้าาา
การเดินทางหลังจากนี้เราจะไม่ซื้อ pass กันแล้วนะคะ แต่จะใช้บัตร Suica แทนค่ะ เพราะหลังจากที่เช็คการเดินทาง และดูสภาพของพวกเราวันนี้แล้วคงไปไหนเยอะไม่ได้ ฮ่าๆ มันระบมหมดแล้วแม่ แตะบัตรนี่แหละน่าจะคุ้ม
ที่แรกที่เราจะไปก็คือไปดูป่าไผ่ที่ Arashiyama ค่ะ เราเดินทางด้วยรถไฟนะคะ เรานั่ง JR สายสีม่วงไปลงที่สถานี saga-arashiyama ไปถึงให้ออก exit 1 จากนั้นก็เดินไปที่ป่าไผ่ พยามยามเดินตามรีวิวแต่หาไม่เจอเลยเดินตามคนอื่นตามทางไปเรื่อยๆ แต่อย่าถามนะคะว่าไปยังไงเพราะเราเองก็งงและจำไม่ได้เหมือนกัน ฮ่าๆ
ชอบบรรยากาศระหว่างทาง จะเห็นบ้านน่ารักๆตลอดทางเลย เนี่ยเค้ามีบริการให้เช่าจักรยานด้วยนะ แต่เราว่าเดินได้ฟีลด์กว่า
เดินมาเรื่อยๆ

เรื่อยๆแบบหลงๆก็เริ่มเห็นต้นไผ่แล้วค่ะ แต่ฝั่งนี้เค้าปิด เราก็เลยต้องเดินไปอีก

และแล้ว เราก็เดินทางมาถึงมุมที่เค้าถ่ายรูปกัน ที่นี่คนจะมาเรื่อยๆ ทัวร์จีนก็เยอะ เด็กๆมาทัศนศึกษาก็แยะ ถ้าจะถ่ายรูปสวยๆก็ต้องรอจังหวะหน่อยๆ

เมื่อได้รูปจนหนำใจแล้ว ก็ว่าจะออกจากที่นี่ แต่ดันหลังมาโผล่ทางนี้เฉย 5555 ก็เลยต้องย้อนเข้าป่าไผ่อีกครั้ง
ออกจากป่าไผ่เสร็จเราก็เดินต่อไปที่สะพาน Togetsukyo Bridge ระหว่างทางก็จะมีวัดและร้านค้าน่ารักๆตลอดทาง และที่นี่จะมีคนแต่งชุดกิโมโนเดินกันให้ขวักไขว่เลยค่ะ ซึ่งให้ความรู้สึกญี่ปุ๊นญี่ปุ่นมาก คนก็ไม่ได้เร่งรีบเหมือนตอนอยู่โตเกียว ซึ่งตอนนี้ก็เที่ยงแล้วและพวกเราก็หิวมากแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ต้องห่วงเพราะแถวนี้มีร้านฮาลาลอยู่ค่ะ เราแวะซื้อไปศครีมชาเขียวเพือทดแทนของที่ kawaguchiko ด้วย ฮ่าา เห็นเทมปุระน่ากินเลยสั่งมาด้วย ราคาแอบแพงหน่อยค่ะ

ร้านนี้ฮาลาลนะคะ สังเกตตราฮาลาลอยู่ใต้โคมไฟแดงฝั่งซ้ายนะคะ
เมื่อได้ไอศกรีมกับเทมปุระแล้ว เราก็ยังคงคอนเซปต์เดิมคือต้องกินอาหารหลักร้อยกับวิวหลักหมื่น (วันนี้เอาหลักแค่นี้พอ 55) ว่าแล้วก็เดินข้ามสะพานหาโลเคชั่นดีๆเพื่อประทังท้องของเราค่ะ สะพานค่อนข้างใหญ่อยู่ค่ะ ที่นี่ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีนะคะ ถ้าได้เห็นตอนเปลี่ยนสีมันต้องสวยมากๆแน่นอน

และเราก็ได้มุมสวยๆสงบๆใต้ต้นไม้ต้นนี้ พวกเรารีบจัดการกับ restaurant เคลื่อนที่กับวิวแพงๆอีกครั้งที่นี่ มื้อนี้ก็ยังมีปลากระป๋องเหมือนเดิมนะฮะ ข้างๆมีครอบครัวนึงที่พาลูกๆมานั่งชิลล์ ดีดไวโอลินให้เราฟังไปด้วย ทั้งฟินทั้งหนาวเลยค่ะเพราะลมแรงมาก มิน่าล่ะไม่มีใครเค้ามานั่งตรงนี้กัน ฮ่าๆๆ
กลับมาจาก Arashiyama เราก็เปลี่ยนไปนั่ง JR Nara line เพื่อไปลงที่ Inari เพื่อไปชมศาลเจ้ารั้วแดง Fushimi-Inari
มาถึงตรงนี้ทุกคนเริ่มหมดแรง ความที่เดินเยอะมากและแบกของหนักทุกวัน ตอนนี้เท้าระบมไปหมดแล้ว เลยแวะซื้อแผ่นแก้ปวดมาแปะที่เท้าและนั่งพักตรงทางเข้าอยู่สักพักใหญ่ๆ นั่งดูนักท่องเที่ยวซึ่งบอกเลยว่าเจอคนไทยเยอะมากกก
เอ้าไปต่อค่า
เดินเข้าประตูไปก็จะมีศาลเจ้าขนาดใหญ่ ข้างๆกันจะมีร้านโปสการ์ดขายอยู่
มีแบบมินิให้เขียนขอพรได้ด้วย

พวกเราเดินบันไดขึ้นเห็นเสาสีแดงขนาดใหญ่ความเหนื่อยล้าก็ทำให้คิดว่าอ่อ ของจริงมันใหญ่นิ แต่ไม่จ้า เดินไปอีกนิด อ้าวเสาเล็กก็มีนิ เห็นมีสองเป็นทางเข้าและออกและความเหนื่อยก็บอกเหมือนเดิมให้ถ่ายรูปแค่นี้พอ ไม่ต้องเข้าไปหรอกคงไม่มีอะไร รูปที่ได้เลยเป็นแบบนี้
แต่เพื่อนก็บอกว่าไหนๆก็มาถึงนี่แล้วเราเดินขึ้นไปดูสักหน่อยจะเป็นไรไป อ่ะไปก็ไป อ้าว ใช่ๆรูปที่เราเห็นมันต้องมีตัวหนังสือนะ ไม่ใช่เสาโล่งๆแบบที่เห็นทางเข้า 555555 อ่ะ แรงมาเฉย เลยเดินไปถ่ายรูปไป รูปตัวอีกทีก็อยู่ทางออกแล้ว
ความที่หมดแรงแล้ว พวกเราขอจบทริปเกียวโตไว้เพียงเท่านี้ หลังจากนี้ก็คือจะไปหาอะไรกิน ซึ่งได้ข้อตกลงว่าจะไปกินเนื้อย่างอีกครั้งที่ร้าน Nanzan halal wagyu เรานั่ง JR กลับไปเปลี่ยนสายที่ Kyoto station แล้วต่อด้วยสายสีเขียว karasuma line ไปลงที่ matsugasaki station ที่นี่คนไม่เยอะมาก เราหามุมเพื่อทำการละหมาด (Muslim Pray) ที่นี่ก่อนที่จะเข้าเวลามัฆริบ จากนั้นก็เดินตาม Google Maps เดินไปที่ร้านไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงที่ร้าน
หน้าร้านเป็นแบบนี้นะคะ ประตูเข้าเค้าจะอยู่ข้างๆ ต้องดูดีๆ ไม่งั้นมีหลง
ร้านค่อนข้างหรูใช้ได้แฮะ ทางร้านก็ต้อนรับอย่างดี เข้าไปนั่งแบบโต๊ะญี่ปุ่น ซึ่งเราเลือกเมนูเซ็ตเหมือนเดิม มื้อนี้ตกคนละ 4428 เยน

ตามด้วยของหวาน อันนี้ไม่แน่ใจว่ามันอยู่ในเซ็ตที่เราสั่งไว้หรือว่าเป็นบริการของทางร้านอยู่แล้ว แต่มาแล้วก็กินไปสิ อืมมม ก็โอเคนะ อร่อยดีค่ะ
กลับมาที่สถานีเกียวโตเราก็เดินไปทางเดิมกับที่เข้ามาในตอนเช้าเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ เรากะจะใช้ทางลัดโดยใช้หลักการเดียวกันกับเคแอลคือถ้าแตะบัตรเข้าแล้วออกได้มันก็แค่หักเงินจากบัตรแค่นั้นเอง แต่ปรากฎว่าที่นี่ทำไม่ได้จ้าเพราะเราแตะบัตรเข้ากับออกคนละบริษัทคือ JR กับ metro และที่หนักกว่านั้นคือไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าที่ทางออกนั้น ทีนี้พวกเราก็ต้องหาทางอื่นเพื่อออกไปที่ล็อกเกอร์ให้ได้ และเหตุการณ์ที่กลัวก็เกิดขึ้นจนได้ พวกเราหลงทางในสถานีเกียวโตแล้วจ้าาาา ซึ่งสถานีเกียวโตมันใหญ่มากเลยแก๊ เดินไปทางไหนก็ตันหาทางออกไม่เจอ ฮ่าๆๆ จนสุดท้าย เพื่อนชวนออกไปข้างนอกเผื่อจะมองภาพง่ายขึ้นและเราก็ได้ไอจีสตอรี่ช่วยชีวิตด้วย เช็คโลเคชั่นจากที่ถ่ายคลิปไว้ตอนเช้า ฮ่าาาา สรุปหลงไปเป็นชั่วโมง!!
สำหรับการเดินทางไปโอซาก้า เราก็ยังใช้บริการของ JR อยู่นะคะ เราไปซื้อตั๋วที่เค้าน์เตอร์ JR โดยตรงเลย ราคาคนละ 560 เยน
เมื่อถึงสถานี Namba โอซาก้า การแอดแวนเจอร์ของเราก็เริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อต้องเดินหาห้องพักที่จองไว้กับ air bnb เหมือนแผนที่ที่เค้าให้มารูปไม่อัพเดตหรือไม่อย่างไรก็ไม่รู้ หรือไม่ก็เพราะกลางคืน เราถึงหาไม่เจอสักที มองไปทางไหนทั้งตึกและร้านก็เหมือนกันหมด Google Maps ก็พางงๆไปผิดที่ ซึ่งตอนนั้นเที่ยงคืนกว่าแล้ว เราพยายามติดต่อกับเจ้าของห้องที่เค้าให้ไว้ติดต่อทางไลน์แต่เค้าไม่ตอบมาเลย โทรไปก็ไม่รับ เราก็เลยถามป้าแถวนั้นที่พอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แกก็ใจดีพาที่ตึกที่พวกเราต้องพักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดแรกมากนัก ไปถึงเราก็เอากุญแจตามที่เค้าแนะนำไว้ ก็เข้าห้องกันเลยจ้า
ห้องพักของเราเป็นคิตตี้น่ารักฟรุ้งฟริ้งมากจ้าแม่ ทุกอย่างในบ้านเป็นคิตตี้หมด อุปกรณ์ในบ้านครบครัน แคบไปนิดหน่อยสำหรับสี่คนแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเรา ห้องนี้หลังหักจากที่ได้ส่วนลดแล้วก็ได้มาในราคา 5126.80 บาทสำหรับ 4 คน 2 คืน

สำหรับคืนนี้ คงต้องพักฟื้นไปยาวๆเลยค่ะ ขอนอนเก็บแรงก่อนเด้อ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปช้อปปิ้งกัลลล
[CR] ทริปทรหด 7 วัน โตเกียว เกียวโตและโอซาก้าพร้อมตามล่าอาหารฮาลาล 27 ตุลา - 2 พฤศจิ 2018 Part4
หยุดไปสักพักใหญ่ๆเลย อิอิ เดือนที่แล้วเราจัด Road Trip ที่ไทยด้วยแหละ ไปภูกระดึง-น่าน-กทม สนุกมาก ^^ อ่ะ มาต่อกันค่ะ
อ่าน Part1 รายละเอียดโดยรวมและเที่ยวโตเกียว https://pantip.com/topic/39001427
Part2 เที่ยวทรหด one day trip ที่ Nikko ค่ะ https://pantip.com/topic/39080349
และ part3 เที่ยวฟินๆ เห็นฟูจิทั้งวันที่ https://pantip.com/topic/39266470
Day5 Kyoto
บัสเดินทางมาถึงเกียวโตตามเวลาเป๊ะเลยค่ะ ซึ่งบอกเลยว่าเช้าๆอากาศหนาวมากกก ความเด๋อยามเช้าของพวกเราก็จะงงกับทางเข้าสถานีเกียวโตแถมยังหาลิฟต์ไม่เจออีกจนต้องแบกกระเป๋าที่หนักมากขึ้นบันไดแล้วต้องปะทะกับลมเย็นๆอีก เอาซะหายง่วงไปเลยจ้า
เจ็ดโมงเช้าของเกียวโตกับโตเกียวคนละเรื่องเลย ที่นี่ก็จะเงียบๆหน่อย ร้านในสถานียังไม่เปิดคนก็ไม่เยอะมาก ตอนแรกเราว่าจะหาที่บริการอาบน้ำใกล้ๆตามที่อ่านรีวิวมาแต่หาไม่เจอ พวกเราก็เลยใช้วิธีเปิดกระเป๋าหน้าลอกเกอร์เลยจ้า หยิบเสื้อผ้าและสัมภาระจำเป็นแล้วไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ วันนี้เราจะซักแห้งกันนาจา
ตอนนี้อยู่ในชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว เราไป explore เกียวโตกันจ้าาา
การเดินทางหลังจากนี้เราจะไม่ซื้อ pass กันแล้วนะคะ แต่จะใช้บัตร Suica แทนค่ะ เพราะหลังจากที่เช็คการเดินทาง และดูสภาพของพวกเราวันนี้แล้วคงไปไหนเยอะไม่ได้ ฮ่าๆ มันระบมหมดแล้วแม่ แตะบัตรนี่แหละน่าจะคุ้ม
ที่แรกที่เราจะไปก็คือไปดูป่าไผ่ที่ Arashiyama ค่ะ เราเดินทางด้วยรถไฟนะคะ เรานั่ง JR สายสีม่วงไปลงที่สถานี saga-arashiyama ไปถึงให้ออก exit 1 จากนั้นก็เดินไปที่ป่าไผ่ พยามยามเดินตามรีวิวแต่หาไม่เจอเลยเดินตามคนอื่นตามทางไปเรื่อยๆ แต่อย่าถามนะคะว่าไปยังไงเพราะเราเองก็งงและจำไม่ได้เหมือนกัน ฮ่าๆ
ชอบบรรยากาศระหว่างทาง จะเห็นบ้านน่ารักๆตลอดทางเลย เนี่ยเค้ามีบริการให้เช่าจักรยานด้วยนะ แต่เราว่าเดินได้ฟีลด์กว่า
เดินมาเรื่อยๆ
เรื่อยๆแบบหลงๆก็เริ่มเห็นต้นไผ่แล้วค่ะ แต่ฝั่งนี้เค้าปิด เราก็เลยต้องเดินไปอีก
และแล้ว เราก็เดินทางมาถึงมุมที่เค้าถ่ายรูปกัน ที่นี่คนจะมาเรื่อยๆ ทัวร์จีนก็เยอะ เด็กๆมาทัศนศึกษาก็แยะ ถ้าจะถ่ายรูปสวยๆก็ต้องรอจังหวะหน่อยๆ
เมื่อได้รูปจนหนำใจแล้ว ก็ว่าจะออกจากที่นี่ แต่ดันหลังมาโผล่ทางนี้เฉย 5555 ก็เลยต้องย้อนเข้าป่าไผ่อีกครั้ง
ออกจากป่าไผ่เสร็จเราก็เดินต่อไปที่สะพาน Togetsukyo Bridge ระหว่างทางก็จะมีวัดและร้านค้าน่ารักๆตลอดทาง และที่นี่จะมีคนแต่งชุดกิโมโนเดินกันให้ขวักไขว่เลยค่ะ ซึ่งให้ความรู้สึกญี่ปุ๊นญี่ปุ่นมาก คนก็ไม่ได้เร่งรีบเหมือนตอนอยู่โตเกียว ซึ่งตอนนี้ก็เที่ยงแล้วและพวกเราก็หิวมากแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ต้องห่วงเพราะแถวนี้มีร้านฮาลาลอยู่ค่ะ เราแวะซื้อไปศครีมชาเขียวเพือทดแทนของที่ kawaguchiko ด้วย ฮ่าา เห็นเทมปุระน่ากินเลยสั่งมาด้วย ราคาแอบแพงหน่อยค่ะ
ร้านนี้ฮาลาลนะคะ สังเกตตราฮาลาลอยู่ใต้โคมไฟแดงฝั่งซ้ายนะคะ
เมื่อได้ไอศกรีมกับเทมปุระแล้ว เราก็ยังคงคอนเซปต์เดิมคือต้องกินอาหารหลักร้อยกับวิวหลักหมื่น (วันนี้เอาหลักแค่นี้พอ 55) ว่าแล้วก็เดินข้ามสะพานหาโลเคชั่นดีๆเพื่อประทังท้องของเราค่ะ สะพานค่อนข้างใหญ่อยู่ค่ะ ที่นี่ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีนะคะ ถ้าได้เห็นตอนเปลี่ยนสีมันต้องสวยมากๆแน่นอน
และเราก็ได้มุมสวยๆสงบๆใต้ต้นไม้ต้นนี้ พวกเรารีบจัดการกับ restaurant เคลื่อนที่กับวิวแพงๆอีกครั้งที่นี่ มื้อนี้ก็ยังมีปลากระป๋องเหมือนเดิมนะฮะ ข้างๆมีครอบครัวนึงที่พาลูกๆมานั่งชิลล์ ดีดไวโอลินให้เราฟังไปด้วย ทั้งฟินทั้งหนาวเลยค่ะเพราะลมแรงมาก มิน่าล่ะไม่มีใครเค้ามานั่งตรงนี้กัน ฮ่าๆๆ
กลับมาจาก Arashiyama เราก็เปลี่ยนไปนั่ง JR Nara line เพื่อไปลงที่ Inari เพื่อไปชมศาลเจ้ารั้วแดง Fushimi-Inari
มาถึงตรงนี้ทุกคนเริ่มหมดแรง ความที่เดินเยอะมากและแบกของหนักทุกวัน ตอนนี้เท้าระบมไปหมดแล้ว เลยแวะซื้อแผ่นแก้ปวดมาแปะที่เท้าและนั่งพักตรงทางเข้าอยู่สักพักใหญ่ๆ นั่งดูนักท่องเที่ยวซึ่งบอกเลยว่าเจอคนไทยเยอะมากกก
เอ้าไปต่อค่า
เดินเข้าประตูไปก็จะมีศาลเจ้าขนาดใหญ่ ข้างๆกันจะมีร้านโปสการ์ดขายอยู่
มีแบบมินิให้เขียนขอพรได้ด้วย
พวกเราเดินบันไดขึ้นเห็นเสาสีแดงขนาดใหญ่ความเหนื่อยล้าก็ทำให้คิดว่าอ่อ ของจริงมันใหญ่นิ แต่ไม่จ้า เดินไปอีกนิด อ้าวเสาเล็กก็มีนิ เห็นมีสองเป็นทางเข้าและออกและความเหนื่อยก็บอกเหมือนเดิมให้ถ่ายรูปแค่นี้พอ ไม่ต้องเข้าไปหรอกคงไม่มีอะไร รูปที่ได้เลยเป็นแบบนี้
แต่เพื่อนก็บอกว่าไหนๆก็มาถึงนี่แล้วเราเดินขึ้นไปดูสักหน่อยจะเป็นไรไป อ่ะไปก็ไป อ้าว ใช่ๆรูปที่เราเห็นมันต้องมีตัวหนังสือนะ ไม่ใช่เสาโล่งๆแบบที่เห็นทางเข้า 555555 อ่ะ แรงมาเฉย เลยเดินไปถ่ายรูปไป รูปตัวอีกทีก็อยู่ทางออกแล้ว
ความที่หมดแรงแล้ว พวกเราขอจบทริปเกียวโตไว้เพียงเท่านี้ หลังจากนี้ก็คือจะไปหาอะไรกิน ซึ่งได้ข้อตกลงว่าจะไปกินเนื้อย่างอีกครั้งที่ร้าน Nanzan halal wagyu เรานั่ง JR กลับไปเปลี่ยนสายที่ Kyoto station แล้วต่อด้วยสายสีเขียว karasuma line ไปลงที่ matsugasaki station ที่นี่คนไม่เยอะมาก เราหามุมเพื่อทำการละหมาด (Muslim Pray) ที่นี่ก่อนที่จะเข้าเวลามัฆริบ จากนั้นก็เดินตาม Google Maps เดินไปที่ร้านไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงที่ร้าน
หน้าร้านเป็นแบบนี้นะคะ ประตูเข้าเค้าจะอยู่ข้างๆ ต้องดูดีๆ ไม่งั้นมีหลง
ร้านค่อนข้างหรูใช้ได้แฮะ ทางร้านก็ต้อนรับอย่างดี เข้าไปนั่งแบบโต๊ะญี่ปุ่น ซึ่งเราเลือกเมนูเซ็ตเหมือนเดิม มื้อนี้ตกคนละ 4428 เยน
ตามด้วยของหวาน อันนี้ไม่แน่ใจว่ามันอยู่ในเซ็ตที่เราสั่งไว้หรือว่าเป็นบริการของทางร้านอยู่แล้ว แต่มาแล้วก็กินไปสิ อืมมม ก็โอเคนะ อร่อยดีค่ะ
กลับมาที่สถานีเกียวโตเราก็เดินไปทางเดิมกับที่เข้ามาในตอนเช้าเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ เรากะจะใช้ทางลัดโดยใช้หลักการเดียวกันกับเคแอลคือถ้าแตะบัตรเข้าแล้วออกได้มันก็แค่หักเงินจากบัตรแค่นั้นเอง แต่ปรากฎว่าที่นี่ทำไม่ได้จ้าเพราะเราแตะบัตรเข้ากับออกคนละบริษัทคือ JR กับ metro และที่หนักกว่านั้นคือไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าที่ทางออกนั้น ทีนี้พวกเราก็ต้องหาทางอื่นเพื่อออกไปที่ล็อกเกอร์ให้ได้ และเหตุการณ์ที่กลัวก็เกิดขึ้นจนได้ พวกเราหลงทางในสถานีเกียวโตแล้วจ้าาาา ซึ่งสถานีเกียวโตมันใหญ่มากเลยแก๊ เดินไปทางไหนก็ตันหาทางออกไม่เจอ ฮ่าๆๆ จนสุดท้าย เพื่อนชวนออกไปข้างนอกเผื่อจะมองภาพง่ายขึ้นและเราก็ได้ไอจีสตอรี่ช่วยชีวิตด้วย เช็คโลเคชั่นจากที่ถ่ายคลิปไว้ตอนเช้า ฮ่าาาา สรุปหลงไปเป็นชั่วโมง!!
สำหรับการเดินทางไปโอซาก้า เราก็ยังใช้บริการของ JR อยู่นะคะ เราไปซื้อตั๋วที่เค้าน์เตอร์ JR โดยตรงเลย ราคาคนละ 560 เยน
เมื่อถึงสถานี Namba โอซาก้า การแอดแวนเจอร์ของเราก็เริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อต้องเดินหาห้องพักที่จองไว้กับ air bnb เหมือนแผนที่ที่เค้าให้มารูปไม่อัพเดตหรือไม่อย่างไรก็ไม่รู้ หรือไม่ก็เพราะกลางคืน เราถึงหาไม่เจอสักที มองไปทางไหนทั้งตึกและร้านก็เหมือนกันหมด Google Maps ก็พางงๆไปผิดที่ ซึ่งตอนนั้นเที่ยงคืนกว่าแล้ว เราพยายามติดต่อกับเจ้าของห้องที่เค้าให้ไว้ติดต่อทางไลน์แต่เค้าไม่ตอบมาเลย โทรไปก็ไม่รับ เราก็เลยถามป้าแถวนั้นที่พอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แกก็ใจดีพาที่ตึกที่พวกเราต้องพักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดแรกมากนัก ไปถึงเราก็เอากุญแจตามที่เค้าแนะนำไว้ ก็เข้าห้องกันเลยจ้า
ห้องพักของเราเป็นคิตตี้น่ารักฟรุ้งฟริ้งมากจ้าแม่ ทุกอย่างในบ้านเป็นคิตตี้หมด อุปกรณ์ในบ้านครบครัน แคบไปนิดหน่อยสำหรับสี่คนแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเรา ห้องนี้หลังหักจากที่ได้ส่วนลดแล้วก็ได้มาในราคา 5126.80 บาทสำหรับ 4 คน 2 คืน
สำหรับคืนนี้ คงต้องพักฟื้นไปยาวๆเลยค่ะ ขอนอนเก็บแรงก่อนเด้อ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปช้อปปิ้งกัลลล
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้