กลับมาแล้วค่า
สำหรับใครอยากทราบรายละเอียดโดยรวม สามารถเข้าไปอ่าน Part1 ได้นะคะที่
https://pantip.com/topic/39001427
Part3 Day4:
https://pantip.com/topic/39266470
Part4 Day5-7:
https://pantip.com/topic/39426751
คำเตือน: กระทู้นี้รูปเยอะและใหญ่เหมือนเดิมค่า ^^
Day3: Nikko
วันนี้ตื่นเร็วเป็นพิเศษเพราะต้องออกนอกเมืองกัน เราออกจากโรงแรมเช้ามาก ก่อนหกโมง วันนี้จะได้ขึ้น Shinkansen ครั้งแรกในชีวิตค่าาาา ประกาศดังๆให้โลกรู้ ยู่ฮู้ววว

ที่สถานี Ueno เราเดินถือตั๋วอย่างมั่นใจไปที่ชานชาลาของ Yamabiko line เพื่อเดินทางไป Utsunomiya แต่เอ๋ ทำไมมันรู้สึกธรรมดา ชินคันเซ็นรถไฟเร็วติดอันดับโลกเลยนะแก๊ ใช่ ความรู้สึกเหมือนเราจะหลงก็มาจ้า ก็เลยลองถามคนแถวนั้นปรากฎว่า แม่เจ้า พวกเรามารอผิดที่ what!! จากอารมณ์ชิลตอนแรก ตอนนี้ต้องเร่งแล้วเพราะใกล้ถึงเวลารถไฟจะออกแล้ว ไหนจะกระเป๋าบนหลังแต่ละคนที่หนัก ไหนกระเป๋าถือเสบียงที่หนักกว่า ไหนจะร่มอีก โอ้ย แม่เจ้า วิ่งจนเข่าอ่อนเลยจ้า ในที่สุดพวกเราก็มาถึงชานชลาก่อนเวลารถไฟออกนิดหน่อย แต่เอ๊ะทำไม ไม่มีคน ทำไมรางรถไฟมันเป็นทางตัน ตอนนั้นคิดไปเองว่า อารมณ์คล้ายๆ KLIA Express มั้ง คนไม่เยอะมาก ยิ่งเช้าเงี้ย และที่ตันก็ที่นี่เป็นต้นทาง มันวิ่งเข้ามาแล้วก็วิ่งออกไปมั้ง อ่ะ จะนั่งชินคันเซ็นทั้งทีมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย เงยหน้าขึ้นมองป้าย โอ้ย Out of service จ้า 55555555555+
สุดท้ายก็คือไม่ทันนั่งรอบที่เรา reserve seat ไว้ ก็เลยต้องนั่งโบกี้ unreserve seat ตอนแรกก็ต้องยืน แต่ไปสักพักก็ได้ที่นั่ง เราก็เลยได้ทานอาหารเช้ากันค่ะ นั่งชินคันเซ็นไม่ถึงชั่วโมง ก็ถึง Utsunomiya โชคดีเรามาทันก่อนรอบที่ตั้งใจจะไปแต่แรกค่ะ เราจะรอที่นี่เพื่อนั่งต่อรถไฟท้องถิ่น JR Nikko line เพื่อไปนิกโก้ รถไฟยังไม่ออกนะคะ แต่เค้าจะปิดประตูไว้ ก็ให้กดเพื่อเปิดประตูเข้าไปรอในรถได้เลยค่ะ
เมื่อไปถึง Nikko ภาพที่เห็นคือแตกต่างจากโตเกียวโดยสิ้นเชิง ที่นี่จะมีบ้านเล็กๆตึกไม่สูงมาก บรรยากาศดี มีต้นไม้เยอะ ภูเขาล้อมรอบ แต่ลมหนาวแรงเว่อร์ ก่อนมาเราได้ถามเพื่อนที่เพิ่งกลับมาจากนิกโก้แล้ว เราจึงได้เตรียมตัวมาพอประมาณ ใส่เสื้อกางเกงหลายๆชั้นแล้ว แต่ก็ยังไม่รอด ลมมาทีนิแม่คุณเอ้ย หยิบถุงมือกับแมสก์เอามาใส่แทบไม่ทันน
จากสถานีรถไฟนิกโก้ ให้เดินออกจากสถานีไปทางขวาเพื่อไปซื้อตั๋วบัสและนั่งบัสสำหรับเที่ยวในนิกโก้ เราซื้อตั๋ว Nikko 2 day pass ราคา 2000 เยน สามารถเที่ยวโซนมรดกโลกและทะเลสาป ที่ซื้อ pass แบบนี้เพราะอ่านรีวิวค่ารถมาแล้วเค้าคำนวณให้และบอกว่ามันจะคุ้มกว่าค่ะ

เราพอทราบว่าช่วงไบไม้เปลี่ยนสีรถจะติดมากกกก เราเลยเลือกไปทะเลสาปก่อนแล้วค่อยกลับมาโซนมรดกโลกขากลับ รอบัสไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาชมเมืองนิกโก้แล้วจ้า
รอบัสที่นี่ค่ะ

ขึ้นบัสไปคนก็เต็มแล้ว พวกเราก็เลยได้ตั๋วยืนไปโดยปริยาย เมื่อบัสเริ่มไต่เขาขึ้นไป ภาพใบไม้เปลี่ยนสีก็เริ่มมา ยิ่งบางจุด เราจะเห็นสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวบ้าง โอ้ววโหวว มันสวยมากกกกก ก.ไก่ล้านตัวเลย คือต้องเห็นด้วยตาเท่านั้น มันจะดูสวยงามอลังการมากจริงๆ ความสามรถในการเก็บรูปของเราได้แค่นี้จริงๆ >///<
ขึ้นไปได้ประมาณเกือบๆชั่วโมง บัสแวะจอดที่ Akechidaira Rope พวกเราแวะลงที่นี่ด้วยค่ะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดนะ พวกเราเข้าแถวประมาณชั่วโมงครึ่งเพื่อขึ้นกระเช้าแบบเบียดๆสามนาที ฮ่าๆ แต่ก็ได้เห็นภาพภูเขาเปลี่ยนสีทั้งลูกก็ถือว่าคุ้มอยู่ค่ะชีวิตนี้ ถึงแม้จะดูคล้ายๆช่วงต้นยางใบไม้ร่วงก็ตาม ฮ่าาา ราคากระเช้าอยู่ที่คนละ 607.5 เยนนะคะ ราคานี้ได้รับส่วนลดจากตั๋ว pass ของเราแล้วค่ะ แนะนำให้ซื้อตั๋วให้เสร็จก่อนไปเข้าแถว ของเราไม่รู้ในส่วนนี้ ดีที่มีเจ้าหน้าที่เดินมาถามหลังจากที่เข้าแถวไปแล้วเกือบชั่วโมงแล้วเค้าก็เดินนำเราไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยที่เพื่อนอีกส่วนก็รออยู่ที่แถว ออกมากับเจ้าหน้าที่เลยรู้สึกไม่ได้น่าเกลียดมาก หรือเราคิดไปเองก็ไม่รู้ แฮ่ ที่เราแตกแถวเรานั่งกระเช้าเพื่อขึ้นไปดูน้ำตก Kegon และทะเลสาป Chuzenjiko วิวสวยใช้ได้เลยค่ะ
เดินมาซื้อตั๋วที่นี่ก่อนนะคะ
ระหว่างเข้าแถวก็ดูคนอื่นนั่งกระเช้าไปก่อน

1 ชั่วโมงผ่านไป ใกล้จะได้นั่ง ropeway แล้ว
เย้ ในที่สุดก็ได้ขึ้นกระเช้าแล้ว แต่เบียดสุดไรสุดแทบไม่มีที่วางขาเลยจ้า เห็นสถานีปลายทางแล้ว

ใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ในช่วงพีคขั้นสุด

ข้างล่างก็ยังมีคนเข้าแถวเต็มแถวเหมือนเดิม รอยาวๆไปเด้อ สู้ๆน้า
ท้าดาาาา นี่ไง ชั่วโมงกว่าที่รอคอยของเรา เพื่อสิ่งนี้ล่ะจ้าาาาา บอกไว้เลยว่าวิวที่นี่ระหว่างทางแปรผันตรงกับปลายทาง แต่มองด้วยตาเปล่าช่างแปรผกผันกับมองผ่านกล้อง ต้องมาดูด้วยตัวเองจริงๆค่ะ!

<img class="img-in-post in-tiny-editor"> ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาเข้าแถวเพื่อนั่งกระเช้าลงไปต่อค่ะ ขาลงเข้าแถวไม่นานมากค่ะ แต่นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น เราต้องไปเข้าแถวเพื่อรอบัสไปทะเลสาป Chuzenjiko จ้า รวมๆแล้ว เราใช้เวลาที่ขึ้นกระเช้าไปประมาณ 3 ชั่วโมงเลยค่ะ จะร้องไห้ - -”
ระหว่างรอบัสก็ถ่ายบรรยากาศโดยรอบวนไปค่ะ บอกเลย เสพติดใบไม้เปลี่ยนสีหนักมากกก ฟินสุดเลยค่ะ ณ จุดนี้
บัสวิ่งมาเรื่อยๆ ดูวิวข้างทางไปเพลินตาทีเดียว เห็นวิวทะเลสาปล้าววว แปลว่าถึงแล้วค่ะ

ลงจากบัส เราก็มุ่งหน้าไปที่ทะเลสาปเลย เดินไปเรื่อยๆเมืองเค้าก็จะน่ารักหน่อยๆ

น้ำใสมากกก

เห็นวิวข้างหน้าไหมค้าาา อลังการงานสร้างมากจ้าพี่จ๋าาา

ที่ทะเลสาปเวลาบ่ายๆลมแรงและหนาวมั่กๆ วันนั้นอุณหภูมิอยู่ประมาณ 10-12 องศาค่ะ ซึ่งที่นี่เราได้พบกับความ amazing สุดๆ ต้นไม้สีแดงทั้งต้น ใช่เลย แบบนี้เลยที่เราใฝ่ฝันอยากเห็นกับตาสักครั้ง แค่นี้ก็ฟินมากๆแล้ว

แต่ยัง ความฟินของเรายังไม่จบแค่นี้ค่ะ ด้วยความที่เวลานี้บ่ายแก่ๆแล้ว เพื่อนไปต่อไม่ได้เพราะตอนนี้โดนรองเท้าจู่โจมกัดเท้าอย่างหนักและพวกเราก็เริ่มหิว เราก็เลยจัด restaurant เคลื่อนที่ต่อหน้าทะเลสาปให้ต้นเมเปิ้ลเป็นพยานนี้เลยค่ะ เป็นการกินปลากระป๋อง มาม่าต้ม ที่อร่อยสุดๆไปเลยค่ะ เส้นมาม่าของเราจะเป็นแบบอัลเดนเต้ สุกพอประมาณนะคะ เพราะแค่เปิดฝาน้ำร้อนไอน้ำก็แทบละลายไปในอากาศทันที ฮ่าๆ

ความหิวไม่ปราณีใคร ตอนกินก็แทบไม่สนวิวข้างหน้าแล้ว กินจนหมดเกลี้ยงทุกเมนูเลยค่า

เอารูปรีวิวความรุงรังของพวกเรามาฝากค่ะ กระเป๋าบนหลังและถุงเขียวคือถุงยังชีพแบกมันไปทุกที่ มีผ้ากี่ชิ้นก็เอาออกมาใช้ให้หมดเพราะมันหนาวมากจริง ส่วนร่มนั้นนนน เอิ่มม ลืมมันไปเถอะค่ะ 555555

แผนที่ว่าจะเดินไปถ่ายรูปในป่าแบบฮิปเตอร์ๆก็ต้องพับไว้ จะเดินไปน้ำตกก็ต้องยกเลิกไป พวกเราก็เลยกลับมาเข้าแถวเพื่อจะรีบไปที่โซนมรดกโลกต่อ แต่ความผิดหวังก็ถาโถมเราอีกครั้ง เมื่อต้องมาเข้าแถวรอบัสที่ใช้เวลายาวนานอีกครั้ง เกือบๆสองชั่วโมง เราเลยอาศัยจังหวะนี้แบ่งไปละหมาด หามุมที่สะดวกก็จัดไปเลยค่ะ
และเมื่อบัสมาถึง แน่นอนว่าเราได้ตั๋วยืนค่า ตอนแรกก็ยังมีอารมณ์ชมวิวอยู่หรอกแต่เพราะความเพลียตั่งต่างในวันนี้และฟ้าก็เริ่มมืดก็มองไม่เห็นทางแล้วพวกเราหลับทั้งยืนตลอดทางเลย โซนมรดกโลกก็เป็นอันต้องทิ้งไปค่ะ ถือว่าเราไม่มีวาสนาร่วมกันเนอะ
[CR] ทริปทรหด 7 วัน โตเกียว เกียวโตและโอซาก้าพร้อมตามล่าอาหารฮาลาล 27 ตุลา - 2 พฤศจิ 2018 Part2
สำหรับใครอยากทราบรายละเอียดโดยรวม สามารถเข้าไปอ่าน Part1 ได้นะคะที่ https://pantip.com/topic/39001427
Part3 Day4: https://pantip.com/topic/39266470
Part4 Day5-7: https://pantip.com/topic/39426751
คำเตือน: กระทู้นี้รูปเยอะและใหญ่เหมือนเดิมค่า ^^
Day3: Nikko
วันนี้ตื่นเร็วเป็นพิเศษเพราะต้องออกนอกเมืองกัน เราออกจากโรงแรมเช้ามาก ก่อนหกโมง วันนี้จะได้ขึ้น Shinkansen ครั้งแรกในชีวิตค่าาาา ประกาศดังๆให้โลกรู้ ยู่ฮู้ววว
ที่สถานี Ueno เราเดินถือตั๋วอย่างมั่นใจไปที่ชานชาลาของ Yamabiko line เพื่อเดินทางไป Utsunomiya แต่เอ๋ ทำไมมันรู้สึกธรรมดา ชินคันเซ็นรถไฟเร็วติดอันดับโลกเลยนะแก๊ ใช่ ความรู้สึกเหมือนเราจะหลงก็มาจ้า ก็เลยลองถามคนแถวนั้นปรากฎว่า แม่เจ้า พวกเรามารอผิดที่ what!! จากอารมณ์ชิลตอนแรก ตอนนี้ต้องเร่งแล้วเพราะใกล้ถึงเวลารถไฟจะออกแล้ว ไหนจะกระเป๋าบนหลังแต่ละคนที่หนัก ไหนกระเป๋าถือเสบียงที่หนักกว่า ไหนจะร่มอีก โอ้ย แม่เจ้า วิ่งจนเข่าอ่อนเลยจ้า ในที่สุดพวกเราก็มาถึงชานชลาก่อนเวลารถไฟออกนิดหน่อย แต่เอ๊ะทำไม ไม่มีคน ทำไมรางรถไฟมันเป็นทางตัน ตอนนั้นคิดไปเองว่า อารมณ์คล้ายๆ KLIA Express มั้ง คนไม่เยอะมาก ยิ่งเช้าเงี้ย และที่ตันก็ที่นี่เป็นต้นทาง มันวิ่งเข้ามาแล้วก็วิ่งออกไปมั้ง อ่ะ จะนั่งชินคันเซ็นทั้งทีมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย เงยหน้าขึ้นมองป้าย โอ้ย Out of service จ้า 55555555555+
สุดท้ายก็คือไม่ทันนั่งรอบที่เรา reserve seat ไว้ ก็เลยต้องนั่งโบกี้ unreserve seat ตอนแรกก็ต้องยืน แต่ไปสักพักก็ได้ที่นั่ง เราก็เลยได้ทานอาหารเช้ากันค่ะ นั่งชินคันเซ็นไม่ถึงชั่วโมง ก็ถึง Utsunomiya โชคดีเรามาทันก่อนรอบที่ตั้งใจจะไปแต่แรกค่ะ เราจะรอที่นี่เพื่อนั่งต่อรถไฟท้องถิ่น JR Nikko line เพื่อไปนิกโก้ รถไฟยังไม่ออกนะคะ แต่เค้าจะปิดประตูไว้ ก็ให้กดเพื่อเปิดประตูเข้าไปรอในรถได้เลยค่ะ
เมื่อไปถึง Nikko ภาพที่เห็นคือแตกต่างจากโตเกียวโดยสิ้นเชิง ที่นี่จะมีบ้านเล็กๆตึกไม่สูงมาก บรรยากาศดี มีต้นไม้เยอะ ภูเขาล้อมรอบ แต่ลมหนาวแรงเว่อร์ ก่อนมาเราได้ถามเพื่อนที่เพิ่งกลับมาจากนิกโก้แล้ว เราจึงได้เตรียมตัวมาพอประมาณ ใส่เสื้อกางเกงหลายๆชั้นแล้ว แต่ก็ยังไม่รอด ลมมาทีนิแม่คุณเอ้ย หยิบถุงมือกับแมสก์เอามาใส่แทบไม่ทันน
จากสถานีรถไฟนิกโก้ ให้เดินออกจากสถานีไปทางขวาเพื่อไปซื้อตั๋วบัสและนั่งบัสสำหรับเที่ยวในนิกโก้ เราซื้อตั๋ว Nikko 2 day pass ราคา 2000 เยน สามารถเที่ยวโซนมรดกโลกและทะเลสาป ที่ซื้อ pass แบบนี้เพราะอ่านรีวิวค่ารถมาแล้วเค้าคำนวณให้และบอกว่ามันจะคุ้มกว่าค่ะ
เราพอทราบว่าช่วงไบไม้เปลี่ยนสีรถจะติดมากกกก เราเลยเลือกไปทะเลสาปก่อนแล้วค่อยกลับมาโซนมรดกโลกขากลับ รอบัสไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาชมเมืองนิกโก้แล้วจ้า
รอบัสที่นี่ค่ะ
ขึ้นบัสไปคนก็เต็มแล้ว พวกเราก็เลยได้ตั๋วยืนไปโดยปริยาย เมื่อบัสเริ่มไต่เขาขึ้นไป ภาพใบไม้เปลี่ยนสีก็เริ่มมา ยิ่งบางจุด เราจะเห็นสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวบ้าง โอ้ววโหวว มันสวยมากกกกก ก.ไก่ล้านตัวเลย คือต้องเห็นด้วยตาเท่านั้น มันจะดูสวยงามอลังการมากจริงๆ ความสามรถในการเก็บรูปของเราได้แค่นี้จริงๆ >///<
ขึ้นไปได้ประมาณเกือบๆชั่วโมง บัสแวะจอดที่ Akechidaira Rope พวกเราแวะลงที่นี่ด้วยค่ะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดนะ พวกเราเข้าแถวประมาณชั่วโมงครึ่งเพื่อขึ้นกระเช้าแบบเบียดๆสามนาที ฮ่าๆ แต่ก็ได้เห็นภาพภูเขาเปลี่ยนสีทั้งลูกก็ถือว่าคุ้มอยู่ค่ะชีวิตนี้ ถึงแม้จะดูคล้ายๆช่วงต้นยางใบไม้ร่วงก็ตาม ฮ่าาา ราคากระเช้าอยู่ที่คนละ 607.5 เยนนะคะ ราคานี้ได้รับส่วนลดจากตั๋ว pass ของเราแล้วค่ะ แนะนำให้ซื้อตั๋วให้เสร็จก่อนไปเข้าแถว ของเราไม่รู้ในส่วนนี้ ดีที่มีเจ้าหน้าที่เดินมาถามหลังจากที่เข้าแถวไปแล้วเกือบชั่วโมงแล้วเค้าก็เดินนำเราไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยที่เพื่อนอีกส่วนก็รออยู่ที่แถว ออกมากับเจ้าหน้าที่เลยรู้สึกไม่ได้น่าเกลียดมาก หรือเราคิดไปเองก็ไม่รู้ แฮ่ ที่เราแตกแถวเรานั่งกระเช้าเพื่อขึ้นไปดูน้ำตก Kegon และทะเลสาป Chuzenjiko วิวสวยใช้ได้เลยค่ะ
เดินมาซื้อตั๋วที่นี่ก่อนนะคะ
ระหว่างเข้าแถวก็ดูคนอื่นนั่งกระเช้าไปก่อน
1 ชั่วโมงผ่านไป ใกล้จะได้นั่ง ropeway แล้ว
เย้ ในที่สุดก็ได้ขึ้นกระเช้าแล้ว แต่เบียดสุดไรสุดแทบไม่มีที่วางขาเลยจ้า เห็นสถานีปลายทางแล้ว
ใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ในช่วงพีคขั้นสุด
ข้างล่างก็ยังมีคนเข้าแถวเต็มแถวเหมือนเดิม รอยาวๆไปเด้อ สู้ๆน้า
ท้าดาาาา นี่ไง ชั่วโมงกว่าที่รอคอยของเรา เพื่อสิ่งนี้ล่ะจ้าาาาา บอกไว้เลยว่าวิวที่นี่ระหว่างทางแปรผันตรงกับปลายทาง แต่มองด้วยตาเปล่าช่างแปรผกผันกับมองผ่านกล้อง ต้องมาดูด้วยตัวเองจริงๆค่ะ!
<img class="img-in-post in-tiny-editor"> ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาเข้าแถวเพื่อนั่งกระเช้าลงไปต่อค่ะ ขาลงเข้าแถวไม่นานมากค่ะ แต่นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น เราต้องไปเข้าแถวเพื่อรอบัสไปทะเลสาป Chuzenjiko จ้า รวมๆแล้ว เราใช้เวลาที่ขึ้นกระเช้าไปประมาณ 3 ชั่วโมงเลยค่ะ จะร้องไห้ - -”
ระหว่างรอบัสก็ถ่ายบรรยากาศโดยรอบวนไปค่ะ บอกเลย เสพติดใบไม้เปลี่ยนสีหนักมากกก ฟินสุดเลยค่ะ ณ จุดนี้
บัสวิ่งมาเรื่อยๆ ดูวิวข้างทางไปเพลินตาทีเดียว เห็นวิวทะเลสาปล้าววว แปลว่าถึงแล้วค่ะ
ลงจากบัส เราก็มุ่งหน้าไปที่ทะเลสาปเลย เดินไปเรื่อยๆเมืองเค้าก็จะน่ารักหน่อยๆ
น้ำใสมากกก
เห็นวิวข้างหน้าไหมค้าาา อลังการงานสร้างมากจ้าพี่จ๋าาา
ที่ทะเลสาปเวลาบ่ายๆลมแรงและหนาวมั่กๆ วันนั้นอุณหภูมิอยู่ประมาณ 10-12 องศาค่ะ ซึ่งที่นี่เราได้พบกับความ amazing สุดๆ ต้นไม้สีแดงทั้งต้น ใช่เลย แบบนี้เลยที่เราใฝ่ฝันอยากเห็นกับตาสักครั้ง แค่นี้ก็ฟินมากๆแล้ว
แต่ยัง ความฟินของเรายังไม่จบแค่นี้ค่ะ ด้วยความที่เวลานี้บ่ายแก่ๆแล้ว เพื่อนไปต่อไม่ได้เพราะตอนนี้โดนรองเท้าจู่โจมกัดเท้าอย่างหนักและพวกเราก็เริ่มหิว เราก็เลยจัด restaurant เคลื่อนที่ต่อหน้าทะเลสาปให้ต้นเมเปิ้ลเป็นพยานนี้เลยค่ะ เป็นการกินปลากระป๋อง มาม่าต้ม ที่อร่อยสุดๆไปเลยค่ะ เส้นมาม่าของเราจะเป็นแบบอัลเดนเต้ สุกพอประมาณนะคะ เพราะแค่เปิดฝาน้ำร้อนไอน้ำก็แทบละลายไปในอากาศทันที ฮ่าๆ
ความหิวไม่ปราณีใคร ตอนกินก็แทบไม่สนวิวข้างหน้าแล้ว กินจนหมดเกลี้ยงทุกเมนูเลยค่า
เอารูปรีวิวความรุงรังของพวกเรามาฝากค่ะ กระเป๋าบนหลังและถุงเขียวคือถุงยังชีพแบกมันไปทุกที่ มีผ้ากี่ชิ้นก็เอาออกมาใช้ให้หมดเพราะมันหนาวมากจริง ส่วนร่มนั้นนนน เอิ่มม ลืมมันไปเถอะค่ะ 555555
แผนที่ว่าจะเดินไปถ่ายรูปในป่าแบบฮิปเตอร์ๆก็ต้องพับไว้ จะเดินไปน้ำตกก็ต้องยกเลิกไป พวกเราก็เลยกลับมาเข้าแถวเพื่อจะรีบไปที่โซนมรดกโลกต่อ แต่ความผิดหวังก็ถาโถมเราอีกครั้ง เมื่อต้องมาเข้าแถวรอบัสที่ใช้เวลายาวนานอีกครั้ง เกือบๆสองชั่วโมง เราเลยอาศัยจังหวะนี้แบ่งไปละหมาด หามุมที่สะดวกก็จัดไปเลยค่ะ
และเมื่อบัสมาถึง แน่นอนว่าเราได้ตั๋วยืนค่า ตอนแรกก็ยังมีอารมณ์ชมวิวอยู่หรอกแต่เพราะความเพลียตั่งต่างในวันนี้และฟ้าก็เริ่มมืดก็มองไม่เห็นทางแล้วพวกเราหลับทั้งยืนตลอดทางเลย โซนมรดกโลกก็เป็นอันต้องทิ้งไปค่ะ ถือว่าเราไม่มีวาสนาร่วมกันเนอะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้