ส.ส.จี้รัฐบาลเพิ่มงบลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
https://www.matichon.co.th/education/news_1744908
จากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้มีวาระรับทราบรายงานประจำปี 2561 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายประเด็นที่กสศ.ได้รับการจัดสรรงบประมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับภารกิจงานที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยนาย
อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า
งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้กองทุน กสศ. ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับภารกิจ และวัตถุประสงค์การทำงาน ซึ่งต้องมาดูว่าทำอย่างไรให้กองทุนฯ แก้ปัญหาให้ได้ตรงเป้าให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่ดี แต่ตอนนี้มีการจัดสรรให้นักเรียนยากจนพิเศษ 5 แสนราย เงินอุดหนุน 1,600 บาทต่อปี หรือวันละ 4.50 บาท เงินจำนวนเท่านี้จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ไหม เท่านี้เงินก็หมดกองทุนแล้วจะลดความเหลื่อมล้ำอย่างไร
ด้านนางสาว
วรรณวรี ตะล่อมสิน พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า อ่านรายงานประจำปีแล้วมีความหวังกับประเทศนี้ว่าเป็นกองทุนลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง แต่พออ่านจบความหวังริบหรี่ เพราะ กสศ. ได้รับงบประมาณน้อย ทั้งที่ กสศ. เป็นกองทุนที่ดีมาก เสียดายได้รับจัดสรรงบไม่เพียงพอ ถ้าท่านนายกรัฐมนตรีได้ยินเสียงนี้ อยากให้ช่วยจัดสรรงบให้เพียงพอตามที่กองทุนนี้ต้องการ ทั้งนี้ขอให้กองทุนจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการพัฒนาต้นแบบการพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยมากกว่านี้ จากเดิมงบประมาณ 115 ล้านบาท และควรเพิ่มพื้นที่ กทม. ให้เป็นจังหวัดที่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบ พ่อแม่ส่วนใหญ่ใน กทม. มีอาชีพใช้แรงงาน พนักงานบริษัทระดับล่าง ต้องฝากลูกไว้กับปู่ย่าตายายต่างจังหวัด ถ้า กทม. มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมีความกังวล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะสิ่งที่พ่อแม่ต้องการง่ายมาก คืออยู่กับลูก เห็นพัฒนาการทุกวัน
ด้าน นพ.
สุภภร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า กสศ. เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษา ที่ชี้ว่า จุดอ่อนมากที่สุดเรื่องหนึ่งของประเทศ คือ ความเหลื่อมล้ำและความไม่เสมอภาค โดยมีข้อเสนอรัฐบาล 2 เรื่อง คือ การจัดตั้ง กสศ. เพื่อเป็นกลไกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และถ้าจะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติมเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่เพิ่มเติมที่ใดก็ได้ ต้องชี้เป้าให้ถูก ทางคณะกรรมการอิสระได้เสนอว่าควรจะใช้งบประมาณ 5 % ของงบประมาณด้านการศึกษาปัจจุบัน จนเป็นที่มางบที่ตั้งไว้ 25,000 ล้านบาทต่อปี
“อย่างไรก็ตามจำนวนงบประมาณเป็นคำตอบแค่ครึ่งเดียว ไม่สำคัญเท่ากับเงินจำนวนนี้ไปเติมที่จุดไหน ไม่จำเป็นต้องเข้าที่ กสศ. ทั้งหมด เข้ามาเป็นส่วนน้อยก็ได้ โดยมีข้อแม้ 2 ข้อ คือ เน้นเรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะไม่ใช่จับจ่ายเหมือนงบปกติหลายแสนล้าน และต้องเติมงบประมาณให้ผูกกับผู้เรียน เป็นดีมานด์ไซด์ไฟแนนซิ่งโดยมีเงื่อนไขต้องเปลี่ยนผู้เรียนให้ได้ ไม่ได้เติมไปในระบบราชการปกติที่เป็นฝั่งซัพพลายไซด์” ผจก.กสศ. กล่าว
นพ.
สุภกร กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการประเมินผล เช่น โครงเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข ซึ่งในปี 2561 ครอบคลุมงบกว่า 90% ปี 62 ครอบคลุมงบประมาณ 70% ซึ่ง กสศ. วางระบบประเมินไว้จากฐานงานวิจัย 4 โครงการ
1.ธนาคารโลก ซึ่งได้ประเมินว่าระบบมาตรการเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข (CCT) จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่ง กสศ. ใช้แนวทางนี้ในการช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษ ว่าเมื่อรับเงินอุดหนุนแล้วต้องมาโรงเรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
2.วิจัยบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาของประเทศไทย ว่าควรเติมงบประมาณให้กับเด็กกลุ่มนี้เท่าไหร่
3.การวิจัยปฏิรูประบบการคัดกรองความยากจน สามารถชี้วัดดัชนีความยากจนตั้งแต่จนน้อยสุดถึงจนมากสุด ซึ่งนักเรียนที่มารับทุนต้องมีความยากจนร้อยเปอร์เซ็นต์
และ4.การวิจัยด้วยระบบสารสนเทศ ซึ่งแอปพลิเคชั่นในการติดตามประเมินผล จะตามดูเรื่องผลการเรียน อัตราการเจริญเติบโต น้ำหนักส่วนสูง ถือเป็น KPI ที่ติดตั้งในระบบของ กสศ. อีกทั้งข้อมูลการช่วยเหลือเด็กยังสามารถส่งต่อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
"สมชัย" ช่วยสรุปให้อ่านสั้นๆ ใครที่ยังไม่เห็นข้อบกพร่องรธน.ฉบับนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_1744890
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นาย
สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง แสดงความเห็นประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบุว่า
ใครบอกยังไม่พบข้อบกพร่องรัฐธรรมนูญฉบับนี้
1. ระบบเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว ทำให้การเลือกตั้งผิดเพี้ยน คนเลือกไม่ได้เลือก ส.ส. แต่เลือกพรรค เลือกนายก เป็นหลัก (ดูจาก คะแนนที่ พลังประชารัฐได้ จากการชู พลเอกประยุทธ์ และ อนาคตใหม่ได้ จากการชูธนาธร)
2. ระบบการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อผิดเพี้ยน พรรคจิ๋วที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนเฉลี่ย กลับได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเข้าสภา ทำให้มีพรรคการเมืองหนึ่งเสียงในสภาทั้งๆที่ได้คะแนนรวมทั้งประเทศต่ำกว่า 71,000 คะแนนถึง 11 พรรค
3. ทำให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพ ประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลถึง 19 พรรค หนำซ้ำยังเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำที่พร้อมจะไปได้ตลอดเวลา เวลาลงมติทุกครั้งต้องลุ้นแบบใจหายใจคว่ำ เวลาเลือกตั้งซ่อม ต้องสวดมนต์ภาวนาไม่ให้แพ้ฝ่ายค้าน
4. การให้ ส.ส.มีเอกสิทธิ์ในการลงคะแนนโดยไม่จำเป็นต้องตามมติพรรค เปิดช่องทางให้ซื้อขายตัว ส.ส. โดยไม่เกรงกลัวถูกขับออกจากพรรค เพราะยังไม่ขาดสมาชิกภาพหากสามารถหาพรรคใหม่ได้ภายใน 30 วัน เข้าทำนองเตะหมูเข้าปากหมา ระบบพรรคการเมืองก็อ่อนแอ
5. ปัญหาการตีความรัฐธรรมนูญมากมาย เนื่องจากไม่เขียนให้ชัด เช่น ส.ส.ถูกจำคุกถือว่าขาดสมาชิกภาพหรือไม่ พรรคที่ยุบพรรคตัวเอง เวลาไปอยู่พรรคใหม่เป็นลำดับที่เท่าไรของบัญชีรายชื่อพรรคใหม่ ส.ส.ที่ถือหุ้นบริษัทที่จดทะเบียนว่าทำสื่อแต่จริงๆไม่ได้ทำถือว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่ ฯลฯ
6. มี กลไก ส.ว. ที่กลายเป็นสภาค้ำจุนอำนาจรัฐบาลจากซีกฟากที่แต่งตั้งตัวเองเข้ามา ไม่ใช่มี ส.ว. เพื่อเป็นสภาผู้ทรงวุฒิ ที่มาเติมเต็มการทำงานของรัฐสภา
7. การกำหนดคุณสมบัติและวิธีการได้มาซึ่งองค์กรอิสระขั้นมหาเทพ กลับกลายเป็นข้อจำกัดในการได้คนดีคนเก่งมาทำงานอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นสุสานของข้าราชการระดับสูงที่เกษียณอายุ
8. การออกแบบกลไกในการแก้ที่ยากเย็น แค่แก้วิธีการแก้ ก็ยังต้องมี ส.ว.1 ใน 3 เห็นชอบทั้งในวาระ 1 และ วาระ 3 และยังต้องไปผ่านประชามติ เหมือนขายของที่ไร้คุณภาพแถมยังบอกไม่มีประกันและไม่รับคืน
เอาเบื้องต้นแค่นี้ก่อน ใครเห็นจุดไม่ดีตรงไหนช่วยกันบอกให้ได้ยินไปถึงคนหูตึง
https://www.facebook.com/Somchai.Srisutthiyakorn/posts/2431655293550526
JJNY : ส.ส.จี้รัฐบาลเพิ่มงบลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ/สมชัยช่วยสรุปข้อบกพร่องรธน.ฉบับนี้ฯ/ผวาธุรกิจ”หนี้พุ่ง-กำไรหด”ฯ
https://www.matichon.co.th/education/news_1744908
งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้กองทุน กสศ. ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับภารกิจ และวัตถุประสงค์การทำงาน ซึ่งต้องมาดูว่าทำอย่างไรให้กองทุนฯ แก้ปัญหาให้ได้ตรงเป้าให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่ดี แต่ตอนนี้มีการจัดสรรให้นักเรียนยากจนพิเศษ 5 แสนราย เงินอุดหนุน 1,600 บาทต่อปี หรือวันละ 4.50 บาท เงินจำนวนเท่านี้จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ไหม เท่านี้เงินก็หมดกองทุนแล้วจะลดความเหลื่อมล้ำอย่างไร
ด้านนางสาววรรณวรี ตะล่อมสิน พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า อ่านรายงานประจำปีแล้วมีความหวังกับประเทศนี้ว่าเป็นกองทุนลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง แต่พออ่านจบความหวังริบหรี่ เพราะ กสศ. ได้รับงบประมาณน้อย ทั้งที่ กสศ. เป็นกองทุนที่ดีมาก เสียดายได้รับจัดสรรงบไม่เพียงพอ ถ้าท่านนายกรัฐมนตรีได้ยินเสียงนี้ อยากให้ช่วยจัดสรรงบให้เพียงพอตามที่กองทุนนี้ต้องการ ทั้งนี้ขอให้กองทุนจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการพัฒนาต้นแบบการพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยมากกว่านี้ จากเดิมงบประมาณ 115 ล้านบาท และควรเพิ่มพื้นที่ กทม. ให้เป็นจังหวัดที่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบ พ่อแม่ส่วนใหญ่ใน กทม. มีอาชีพใช้แรงงาน พนักงานบริษัทระดับล่าง ต้องฝากลูกไว้กับปู่ย่าตายายต่างจังหวัด ถ้า กทม. มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมีความกังวล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะสิ่งที่พ่อแม่ต้องการง่ายมาก คืออยู่กับลูก เห็นพัฒนาการทุกวัน
ด้าน นพ.สุภภร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า กสศ. เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษา ที่ชี้ว่า จุดอ่อนมากที่สุดเรื่องหนึ่งของประเทศ คือ ความเหลื่อมล้ำและความไม่เสมอภาค โดยมีข้อเสนอรัฐบาล 2 เรื่อง คือ การจัดตั้ง กสศ. เพื่อเป็นกลไกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และถ้าจะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติมเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่เพิ่มเติมที่ใดก็ได้ ต้องชี้เป้าให้ถูก ทางคณะกรรมการอิสระได้เสนอว่าควรจะใช้งบประมาณ 5 % ของงบประมาณด้านการศึกษาปัจจุบัน จนเป็นที่มางบที่ตั้งไว้ 25,000 ล้านบาทต่อปี
“อย่างไรก็ตามจำนวนงบประมาณเป็นคำตอบแค่ครึ่งเดียว ไม่สำคัญเท่ากับเงินจำนวนนี้ไปเติมที่จุดไหน ไม่จำเป็นต้องเข้าที่ กสศ. ทั้งหมด เข้ามาเป็นส่วนน้อยก็ได้ โดยมีข้อแม้ 2 ข้อ คือ เน้นเรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะไม่ใช่จับจ่ายเหมือนงบปกติหลายแสนล้าน และต้องเติมงบประมาณให้ผูกกับผู้เรียน เป็นดีมานด์ไซด์ไฟแนนซิ่งโดยมีเงื่อนไขต้องเปลี่ยนผู้เรียนให้ได้ ไม่ได้เติมไปในระบบราชการปกติที่เป็นฝั่งซัพพลายไซด์” ผจก.กสศ. กล่าว
นพ.สุภกร กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการประเมินผล เช่น โครงเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข ซึ่งในปี 2561 ครอบคลุมงบกว่า 90% ปี 62 ครอบคลุมงบประมาณ 70% ซึ่ง กสศ. วางระบบประเมินไว้จากฐานงานวิจัย 4 โครงการ
1.ธนาคารโลก ซึ่งได้ประเมินว่าระบบมาตรการเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข (CCT) จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่ง กสศ. ใช้แนวทางนี้ในการช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษ ว่าเมื่อรับเงินอุดหนุนแล้วต้องมาโรงเรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
2.วิจัยบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาของประเทศไทย ว่าควรเติมงบประมาณให้กับเด็กกลุ่มนี้เท่าไหร่
3.การวิจัยปฏิรูประบบการคัดกรองความยากจน สามารถชี้วัดดัชนีความยากจนตั้งแต่จนน้อยสุดถึงจนมากสุด ซึ่งนักเรียนที่มารับทุนต้องมีความยากจนร้อยเปอร์เซ็นต์
และ4.การวิจัยด้วยระบบสารสนเทศ ซึ่งแอปพลิเคชั่นในการติดตามประเมินผล จะตามดูเรื่องผลการเรียน อัตราการเจริญเติบโต น้ำหนักส่วนสูง ถือเป็น KPI ที่ติดตั้งในระบบของ กสศ. อีกทั้งข้อมูลการช่วยเหลือเด็กยังสามารถส่งต่อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
"สมชัย" ช่วยสรุปให้อ่านสั้นๆ ใครที่ยังไม่เห็นข้อบกพร่องรธน.ฉบับนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_1744890
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง แสดงความเห็นประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบุว่า
ใครบอกยังไม่พบข้อบกพร่องรัฐธรรมนูญฉบับนี้
1. ระบบเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว ทำให้การเลือกตั้งผิดเพี้ยน คนเลือกไม่ได้เลือก ส.ส. แต่เลือกพรรค เลือกนายก เป็นหลัก (ดูจาก คะแนนที่ พลังประชารัฐได้ จากการชู พลเอกประยุทธ์ และ อนาคตใหม่ได้ จากการชูธนาธร)
2. ระบบการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อผิดเพี้ยน พรรคจิ๋วที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนเฉลี่ย กลับได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเข้าสภา ทำให้มีพรรคการเมืองหนึ่งเสียงในสภาทั้งๆที่ได้คะแนนรวมทั้งประเทศต่ำกว่า 71,000 คะแนนถึง 11 พรรค
3. ทำให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพ ประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลถึง 19 พรรค หนำซ้ำยังเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำที่พร้อมจะไปได้ตลอดเวลา เวลาลงมติทุกครั้งต้องลุ้นแบบใจหายใจคว่ำ เวลาเลือกตั้งซ่อม ต้องสวดมนต์ภาวนาไม่ให้แพ้ฝ่ายค้าน
4. การให้ ส.ส.มีเอกสิทธิ์ในการลงคะแนนโดยไม่จำเป็นต้องตามมติพรรค เปิดช่องทางให้ซื้อขายตัว ส.ส. โดยไม่เกรงกลัวถูกขับออกจากพรรค เพราะยังไม่ขาดสมาชิกภาพหากสามารถหาพรรคใหม่ได้ภายใน 30 วัน เข้าทำนองเตะหมูเข้าปากหมา ระบบพรรคการเมืองก็อ่อนแอ
5. ปัญหาการตีความรัฐธรรมนูญมากมาย เนื่องจากไม่เขียนให้ชัด เช่น ส.ส.ถูกจำคุกถือว่าขาดสมาชิกภาพหรือไม่ พรรคที่ยุบพรรคตัวเอง เวลาไปอยู่พรรคใหม่เป็นลำดับที่เท่าไรของบัญชีรายชื่อพรรคใหม่ ส.ส.ที่ถือหุ้นบริษัทที่จดทะเบียนว่าทำสื่อแต่จริงๆไม่ได้ทำถือว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่ ฯลฯ
6. มี กลไก ส.ว. ที่กลายเป็นสภาค้ำจุนอำนาจรัฐบาลจากซีกฟากที่แต่งตั้งตัวเองเข้ามา ไม่ใช่มี ส.ว. เพื่อเป็นสภาผู้ทรงวุฒิ ที่มาเติมเต็มการทำงานของรัฐสภา
7. การกำหนดคุณสมบัติและวิธีการได้มาซึ่งองค์กรอิสระขั้นมหาเทพ กลับกลายเป็นข้อจำกัดในการได้คนดีคนเก่งมาทำงานอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นสุสานของข้าราชการระดับสูงที่เกษียณอายุ
8. การออกแบบกลไกในการแก้ที่ยากเย็น แค่แก้วิธีการแก้ ก็ยังต้องมี ส.ว.1 ใน 3 เห็นชอบทั้งในวาระ 1 และ วาระ 3 และยังต้องไปผ่านประชามติ เหมือนขายของที่ไร้คุณภาพแถมยังบอกไม่มีประกันและไม่รับคืน
เอาเบื้องต้นแค่นี้ก่อน ใครเห็นจุดไม่ดีตรงไหนช่วยกันบอกให้ได้ยินไปถึงคนหูตึง
https://www.facebook.com/Somchai.Srisutthiyakorn/posts/2431655293550526