[CR] ไปอยู่ เที่ยว กิน (+ทำงาน) ณ Walt Disney World 2019 ตอนที่ 3.1 พร้อมแล้วก็ลุย! Disney's Animal Kingdom


          ต่อจากกระทู้ที่แล้ว (https://pantip.com/topic/39348000) สำหรับสวนสนุกแรกที่จะพาไปเที่ยวกัน คือ Disney’s Animal Kingdom หรือเค้าเรียกย่อๆคือ DAK จริงๆฟังจากชื่อแล้วเหมือนจะเป็นสวนสัตว์เลย ส่วนนึงก็ใช่ เพราะมันมีสวนสัตว์อยู่ในนั้นจริงๆ ทางด้านทิศเหนือ ซึ่งอาณาเขตใหญ่มากๆ เลยทำให้ที่นี่เป็นสวนสนุก Disney ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (600 acres) เลยทีเดียว แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเค้าออกแบบมาดีเหลือเกิน เวลาไปเที่ยวจะให้ความรู้สึกว่าอยู่เขตร้อนขึ้นทันที ทั้งๆที่อุณหภูมิก็พอๆกับพาร์คอื่นเลย อีกอย่างนึงคือสวนสนุกนี้ ในตอนแรกไม่ได้ปิดดึกๆแบบที่อื่นด้วย ช่วงบ่ายแก่ๆก็ปิดแล้วเพราะต้องมีช่วงให้ได้ดูแลสัตว์ต่างๆในนี้
ที่มาคร่าวๆของที่นี่ ซึ่งจะเห็นได้จากโลโก้ประจำพาร์ค ซึ่งก็มีสัตว์อยู่ทั้งหมด 3 ประเภทคือ 

1. สัตว์ที่ยังมีในปัจจุบัน (Safari) 
2. สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว (Dinosaur) 
3. สัตว์ในโลกจินตนาการ ตามเทพนิยาย หรืออีกชื่อที่เค้าจะตั้งคือ Beastly Kingdom เช่นมังกรตามในโลโก้ แต่ถูกยุบแผนไป แต่สุดท้ายการมาของ Pandora ก็ทำได้ดีไม่ต่างกันเลย


          รีวิวรอบนี้ขอแยกย่อยออกตามโซน ตามเครื่องเล่นเลยนะครับ เนื่องจากไปหลายรอบพอสมควร ถ้าเอาตามลำดับการเที่ยวจะทำให้สับสนหน่อย บางเครื่องเล่นไม่ได้เล่นก็อาจจะข้ามไป 

1. Oasis

         อันนี้จะอารมณ์คล้ายๆ Main Street USA ของ Magic Kingdom เป็นโซนแรกที่เข้ามาแล้วจะเจอ ซึ่งหลายๆคนไม่ได้ให้ความสนใจมาก จขกท.ก็เช่นกัน เพราะเป็นทางผ่านไปใจกลางสวนสนุก เลยรีบๆเดินผ่านไป
         หลักๆที่จะเจอก็คือความเป็นธรรมชาติ น้ำตก พืชพรรณต่างๆให้ได้เห็นรอบข้าง รวมทั้งสัตว์บางชนิดด้วย ถ้าใครโชคดีหน่อย บางวันจะมี DiVine มาหลบๆอยู่บริเวณต้นไม้ ถ้าเห็นคนมุงๆ อยู่ก็จะหาได้ไม่ยากเลย


2. Discovery Island

         ตรงนี้จะเป็นจุดศูนย์กลางและเป็น Landmark ของพาร์คนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมีจุดเด่นอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ตรงกลางเกาะ ถ้ามองกันดีๆ ส่วนประกอบของต้นไม้จะมีรูปร่างเป็นสิงสาราสัตว์ต่างๆ เสมือนว่าทุกชีวิตประกอบกันมาเป็นต้นไม้นี้

It’s Tough to be a Bug! 
เป็นเครื่องเล่นที่มาจากเรื่อง A Bug’s life ซึ่งจะพาเราเข้าไปชมหนัง 3 มิติในโรงละครของเหล่าแมลงต่างๆ จากเรื่อง รวมทั้งจะมีเอฟเฟ็กต่างๆมากมาย เช่น smell, touch, water ในบางฉาก ซึ่งถือว่า immersive มากๆ ไม่ผิดหวังเลย รวมถึงยังเป็น attraction หนึ่งเดียวในโลกแล้วด้วย ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เนื่องจากที่ California เพิ่งปิดตัวไป 

Adventurers Outpost
ตรงนี้จะเป็นที่มีท Mickey & Minnie ตรงๆเลย ชุดก็น่ารักมาก มาแนวธีมออกไปผจญภัย แถมถ้าใครฟาสพาสเหลือก็กดไว้ใช้กันได้ เผื่อบางทีต้องรอนาน


3. DinoLand U.S.A.

         ออกจากเกาะกลางมาทางขวาก็จะเป็นโซนไดโนเสาว์ ซึ่งหลักๆก็มีที่มาจากการโปรโมทหนังเรื่อง Dinosaur ปี 2000 ซึ่งจริงๆ เหมือนกับว่าดิสนีย์มีแผนจะปรับปรุงโซนนี้แล้วเปลี่ยนเป็น Indiana Jones เพราะเรื่องราวเริ่มล้าหลังแล้ว ต้องรอดูกันต่อไป


DINOSAUR
เป็นเครื่องเล่นชูโรงของโซนนี้เลยก็ว่าได้ โดยเนื้อเรื่องคร่าวๆ คือเราจะเข้าไปใน Dino Institute เพื่อเข้า the rover ย้อนเวลากลับไปยุคในโนเสาร์ ไปตามหา Iguanodon เพื่อช่วยไม่ให้สูญพันธุ์ โดยตัวเครื่องเล่นจะเป็นระบบเดียวกับ Indiana Jones ride เลย ถ้าใครเคยเล่นที่ DisneySea หรือ Disneyland LA เพราะตัวรถมันจะ bump ไปไปได้ตลอดทาง โยกซ้ายขวา ขึ้นลงพร้อมๆ กับเดินทางไปข้างหน้า

         ** เครื่องเล่นนี้เสีย / ปิดให้บริการค่อนข้างบ่อยในระหว่างวัน เนื่องจากระบบ ride ค่อนข้างเก่าแล้ว (เท่าที่ทราบมาคือเป็น hydraulic ด้วย) ทำให้ถ้าใครที่จอง Fastpass ไว้แล้วมันเสียตอนนั้นพอดี ก็จะได้คูปองไปเล่นอย่างอื่นฟรีๆเลย (ยกเว้นโซน Pandora นะ) เลยแนะนำว่าถ้าใคร fastpass เหลือก็มาจองเครื่องเล่นนี้ไว้ได้ แถมคิวจริงๆของเครื่องเล่นนี้ บางทีก็นานเกิน 1 ชั่วโมงด้วย

Primeval Whirl
อันนี้คือ roller coaster ที่มีธีมคือย้อนเวลาไปผจญภัยในยุคไดโนเสาร์ เครื่องเล่นนี้จริงๆก็ค่อนข้างอันตรายอยู่ เพราะเหวี่ยงแรงมาก หมุนๆไปด้วยตาม curve แต่สนุกอยู่นะ ช่วงที่ไปยังทันได้เล่นอยู่ แล้วไม่ทันไรเหมือนจะเสีย เลยต้องปิดปรับปรุงไปช่วงใหญ่เลย 
แล้วเหมือนตอนนี้จะกลับมาเปิดเป็น seasonal attraction เฉยๆ มีข่าวลือมามีโอกาสปิดด้วย ไปพร้อมกันทั้งโซนเลยทีเดียว 


Donald’s Dino-Bash!
ถัดมา ใกล้ๆกันจะมีโซนถ่ายรูปกับคาแรคเตอร์อยู่ จะมาในธีมไดโนเสาร์เลย ชุดน่ารักมากกก หรือบางทีพอช่วงพักก็จะมีเดินไปมาก่อนเข้าไป backstage อีกด้วย แถมบริเวณนั้นยังมีให้มีทตัวละครอื่นๆ มาในธีมนี้เหมือนกัน


Finding Nemo: The Musical
ตามชื่อเลย อันนี้จะเป็น Musical ซึ่งถือว่าอลังอยู่นะ เนื้อเรื่องก็ตามหนังเลย มีเอฟเฟ็กอลังการใช้ได้อยู่ โชว์ยาวประมาณครึ่งชั่วโมง ไปนั่งตากแอร์ชิวๆก็ยังได้ เพราะระหว่างวันน่าจะร้อนพอสมควรเลย


4. Asia

         มาถึงอีกหนึ่งโซนยอดฮิตของที่นี่ เรียกว่าฮิตสุด ณ ตอนนี้รองลงมาจาก Pandora เลยก็ว่าได้ เพราะมีเครื่องเล่นสุด thrills อยู่ถึงสองที่ แล้วก็เป็นโซนที่ค่อนข้างกว้างด้วย เดินจากขอบนึงไปถึงอีกขอบก็เหนื่อยแล้ว

Expedition Everest
เป็น roller coaster ทึ่เป็นเอกลักษณ์เลย ทั้งตัวยอดเขา แล้วก็ตัวเครื่องเล่น เหมือนเป็นการผจญภัยเกี่ยวกับตำนาน Yeti ส่วนยอดเขานี้สามารถมองเห็นได้จากไกลเลย สวยมากๆด้วย (เค้าออกแบบไว้ดีมาก มองจากในสวนสนุกคือจะไม่เห็นอะไรที่มันหลุดธีมเลย เช่นด้านหลังของเทือกเขานี้ที่ไม่ได้ทาสีไว้…) แถมยังใช้เทคนิค force perspective ด้วยเขาอีกลูกที่ดูเล็กๆ ทำให้รู้สึกว่าอยู่ไกลๆ สูงๆ ออกไปทางด้านหลัง

         ส่วนตัวแทรครถไฟก็ดูดีมาก จะมีบางช่วงที่เหมือนพาดจากเขาลูกนึงไปอีกลูก แล้วจะเห็นวิวกว้างๆของทั้งสวนสนุกได้ด้วย มองไปก็แอบเสียวไป หลังจากนั้นจะพาไปถึงจุดนึงที่พอมองไปด้านหน้า รางรถไฟจะขาดหายไป ไม่ทันไร ตัวรถไฟก็จะถอยหลังไปอีกทางนึง ตรงนี้สนุกมาก เพลินด้วย เพราะมืดมากแล้วเราก็ไม่รู้ว่าตัวรถไฟหมุนไปแค่ไหน เท่าที่รู้สึกคือเกือบพันเกลียว แต่ไม่ถึงกับกลับหัวนะ จนมาถึงอีกจุดก็จะเป็นถ้ำ เห็นเงาของ Yeti ที่กำลังทำลายรางรถไฟอยู่ หลังจากนั้นเราก็จะพุ่งไปข้างหน้าอย่างเร็ว มี drop ที่ค่อนข้างสูง แล้วก็เป็นจุดถูกถ่ายรูปด้วย

         มาถึงอีกจุดที่เป็น highlight คือเราจะเข้าไปในภูเขาอีกลูกด้วยความเร็ว รวมทั้งจะเห็นหุ่น Yeti ที่เป็น animatronic ขนาดใหญ่ด้วย เสียดายที่จริงๆแล้วมันขยับได้ แต่ดันมาพังซะก่อน เค้าเลยใช้แสงวูบวาบทำให้ดูเหมือนขยับแทน บางคนก็บอกว่าเสียเพราะน้ำหนักมาก จะซ่อมก็ยากตามด้วยเพราะอาจจะต้องปิดซ่อมไปเป็นปี ตอนนี้ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น

         สำหรับเครื่องเล่นนี้ มี Single rider ด้วยนะ สำหรับคนที่มาคนเดียว ไม่ต้องต่อคิวให้วุ่นวาย แต่บางครั้งคิวแถวนี้ก็ไม่ได้สั้นเท่าไหร่


Kali River Rapids
เอาง่ายๆก็คือ ‘ล่องแก่ง’ ที่ล่องไปชมธรรมชาติ แต่จะเถื่อนๆหน่อย มีทั้งหมุนๆแล้วก็ drop ไปตลอดทาง คาดเดาไม่ได้เลยว่าตรงไหนจะเปียกมาก เปียกน้อย เพราะเค้ามาในธีม illegal lodging แถมเครื่องเล่นนี้ยังเป็นต้นแบบของเครื่องเล่นแนวนี้ที่ California กับ Shanghai อีกด้วย ...หลังจากเล่นไปแล้วนั้น บอกเลยว่า เปียกมาก! ตามรูปเลย กระจุยกระจายมาก แต่สนุก

Maharajah Jungle Trek
ก็จะเป็นเหมือนเส้นทางเดินป่า เดินเข้าไปผจญภัยในนั้น รวมทั้งจะเจอสัตว์บางชนิดอีกด้วย

5. Africa

         โซนนี้จะเน้นในส่วนของ Entertainment ซะส่วนใหญ่ โดยจะมาในรูปแบบของหมู่บ้านที่ชื่อ Harambe ให้ฟีลแบบแอฟริกามากๆ ทั้งบรรยากาศแล้วก็ผู้คนในนั้น 

Kilimanjaro Safaris
เป็นการนั่งรถเข้าไฟชมซาฟารี ซึ่งคนขับรถก็คือไกด์นี่แหละ ตอนแรกแอบสงสัยว่ามีรางหรืออะไรรึเปล่า แต่ไม่เลย มันคือรถขับจริงๆ! แถมคนขับก็ยังคอยบรรยายตลอดทางด้วย แล้วก็ให้บริการถึงแค่พระอาทิตย์ตกเท่านั้น (เคยมีบางช่วงทำเป็น night safari เลยด้วย แต่ไม่เวิร์คเท่าไหร่ เลยปิดไป) แล้วที่ตลกคือเค้าบอกว่า Magic Kingdom ทั้งสวนมีพื้นที่พอๆกับ Safari นี้เลย ต้องใหญ่ขนาดไหน

Festival of the Lion King
เป็นโชว์ในโรงละครเหมือนที่ฮ่องกงเลย ผู้ชมจะนั่งล้อมกันทั้งสี่ทิศของโรง แล้วก็มีโชว์ตรงกลาง เป็นการ Celebrate ซึ่งจะมีตัวละครต่างๆจาก Lion King มาช่วยกันมาแสดงเพลงต่างๆจากในหนัง รวมทั้งใช้คนแสดงไม่น้อยเลย อารมณ์ประมาณโชว์ Broadway ผสมกับหุ่นจากพาเหรด

Rafiki’s Planet Watch เป็นอีกหนึ่งโซนที่ขยายความใหญ่ของพาร์คไปได้มาก แต่ขอรวมไว้ในโซนนี้เลยละกัน ไม่ได้ลงในรายละเอียดมาก จะเป็นการขึ้นรถไฟเข้าไปชม conservation station หรือศูนย์วิจัยสัตว์ของที่นี่ ก็จะมีให้เข้าไปศึกษาดูสัตว์อีกหลายๆประเภท ก็ว่ากันไป แถมตอนปี 2019 ที่ไปมา เหมือนเค้าจะปิดโซนนี้อยู่ช่วงนึงด้วย เพิ่งจะมาเปิดตอนกลางปีนี่เอง

Harambe Market
อันนี้เป็นร้าน quick-service แต่คือกลางแจ้งมาก ร้อนๆเลย ยังดีที่พอมีอะไรบังแดด วันนั้นลองมากินดูเมนูน่าสนใจอยู่ เป็นซี่โครงราดข้าว นั่งกินข้าวไปเหงื่อตกไปจริงๆ

ชื่อสินค้า:   Walt Disney World Resort in Orlando, Florida
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่