ดิว ไปด้วยกันนะ - รีวิวและวิเคราะห์ (Spoil 100%)

“แล้วไปด้วยกันนะ” “แล้วมาอีกนะ” “เดี๋ยวทำละกัน” ในชีวิตของคนเราคงต้องเคยผ่านคำพูดประมาณนี้อยู่หลายรอบ และคงจะมีอยู่หลายครั้งที่เราไม่สามารถทำตามสิ่งที่ได้เคยพูดเอาไว้ อันเนื่องมาจากโอกาส สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงของตัวตน การไหลไปของเวลาที่ทำให้เราไม่อาจรักษาคำพูดในอดีตที่เคยให้กับอีกฝ่ายได้

นี่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของหนังที่ผู้กำกับมะเดี่ยวชอบกำกับ ซึ่งมักจะอยู่ภายใต้คอนเซ็ปที่พูดถึง “ความสำคัญของห้วงเวลา” หากว่าท่านใดที่เคยดูเรื่อง Home ก็จะสามารถรู้สึกได้ว่ามันมีกลิ่นอายที่คล้ายๆกันอยู่บางจุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนสุดท้ายที่เนย์ไม่ได้มีโอกาสให้รูปกับบีมเนื่องจากบีมประสบอุบัติเหตุเสียก่อน



หากเรามาลองวิเคราะห์ชื่อของตัวละครในเรื่องนี้กันดู ก็จะพบว่ามันเป็นกุญแจสำคัญที่บอกถึงแก่นเค้าโครงของอารมณ์เรื่องได้เป็นอย่างดี  

1.    “ดิว” (Dew) แปลว่า “หยาดน้ำค้าง” ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือเกาะอยู่บนผืนหญ้า เกาะอยู่บน “ผืนดิน” เปล่งประกายยามเช้าเมื่อต้องแสงเพียงชั่วคราวก่อนที่จะสลายหายไปเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาอื่นของวัน ชื่อนี้คือการบอกเป็นนัยว่าเวลาชีวิตของดิวจะไม่ยืนยาว คล้ายๆกับทะเลหมอกในซีนหนึ่งของหนังที่ฉายให้ดู (สถานที่ คน และสิ่งมีชีวิต ณ จุดเวลา เป็นองค์ประกอบที่รวมตัวกันทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆอันเป็นความทรงจำที่ล้ำค่า)
 
ดิวมีนิสัยร่าเริง ชอบใส่เสื้อที่มีสีสัน ใช้กระเป๋าสีส้ม มีอารมณ์ขึ้นลงและชอบโวยวายบ้างซึ่งเป็นลักษณะของจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งที่ลงล็อคได้พอดีกับความเป็นตัวตนของภพ

2.    “ภพ” หมายถึง “ผืนดิน, โลก, ชาติ (ในความหมายของชาตินี้ชาติหน้า)”
ในความหมายของ “ผืนดิน” ภพคือสิ่งที่น้ำค้าง(ดิว) เกาะในยามเช้า ตกแต่งผืนหญ้าและทอประกาย 
ในความหมายของ “โลก, ชาติ” บอกถึงความเป็นนัยของเรื่องที่จะเกี่ยวข้องกับการเกิดใหม่ (reincarnation)
นอกเหนือจากนี้ชื่อ ภพ ยังพ้องเสียงกับคำว่า “พบ” ในความหมายของการพบเจอซึ่งในตัวหนังเองภพก็เป็นคนเข้าไปทักดิวก่อนในซีนแรก และแน่นอนว่าเมื่อมีการพบเจอก็ต้องมีการลาจาก
 
นิสัยพื้นฐานของภพคือเป็นคนสันโดษ ชอบใส่เสื้อสีเข้มๆ โดดเดียวแต่อ่อนโยนข้างในและใจเย็น เราจะสามารถเห็นได้จากหลายๆซีนว่าภพเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองมากและใจดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดิว 
-        ตอนแรกเลยภพเป็นคนที่เสนอให้ดิวซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียน ดิวทำรถภพล้มแต่ภพก็ไม่ได้ไม่ได้ว่าอะไร 
-        ภพตัดสินใจกลับมารับดิวที่ตู้โทรศัพท์ตอนที่รู้ว่าฝนตก พร้อมกับอ่านใจดิวแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรภพไม่โกรธ”
-        ภพเป็นคนส่งกระดาษที่ดิวแปลเพลงไปแทนดิว เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดิวตั้งใจเขียน 
-        ภพไม่ได้ต่อยดิวกลับในห้องเรียน (คิดว่าเป็นเพราะความรู้สึกในใจของภพอาจจะรู้สึกผิดหรือเข้าใจในตัวตนของดิวเป็นอย่างมาก)
-        ภพตัดสินใจไปฝึกที่ค่ายทหารแทนดิว เพราะไม่อยากให้ดิวต้องเจ็บตัว 
สิ่งที่ทำให้ภพไขว่เขวในความรักที่มีต่อดิวคือช่วงที่มีเพื่อนมานอนด้วยแต่ดิวไม่สนและยังนอนกอดภพ เมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง มีสายตาจากคนรอบข้าง ภพก็เริ่มรู้สึกว่าความรักนี้ “มันคงเป็นไปไม่ได้” เลยคิดที่จะยุติความสัมพันธ์ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจากนิสัยของภพทำให้ผมคิดว่าการที่ภพตัดสินใจแบบนี้ไม่ใช่เพียงเพราะเขาแคร์ตัวเองแต่เป็นเพราะเขาห่วงในตัวของดิวด้วย 

3.    “หลิว” ชื่อนี้นอกจากจะออกเสียงคล้ายกับชื่อของ “ดิว” แล้วความบังเอิญอีกอย่างของตัวหนังคือชื่อนี้มีความสัมพันธ์กับนามสกุล “แซ่หยาง (杨)” ของภพอีกด้วย เนื่องจากตัวอักษรของแซ่นี้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของชื่อต้นไม้杨柳 (yáng liǔ) ซึ่งแปลว่า Willow tree หรือต้นหลิวนั่นเอง 
ส่วนชื่อจริงของหลิวนั้นคือ “ณัชชา” ที่หมายความว่า “เกิดเพื่อความรู้” เราจะเห็นได้ว่าการเกิดใหม่อันเป็นแกนสำคัญของเรื่องนั้นแฝงอยู่ในองค์ประกอบต่างๆ ในตอนที่ภพตอนโตเข้าไปในห้องหลิวช่วงใกล้ๆจบนั้น หากเราสังเกตดีๆ จะเห็นสติ๊กเกอร์ “Happy Birthday” แปะอยู่บนรูปภาพสามมิติรูปหนึ่ง ถ้าผมคาดไม่ผิดน่าจะเป็นรูปที่มีความหมายสื่อถึงหัวใจ ราวกับเหมือนกำลังจะพูดถึงจุดประสงค์ของการเกิดเพื่อกลับมารักอีกครั้งหนึ่ง 
 
หลิวมีนิสัยคล้ายกับดิวอยู่หลายด้าน โดยเธอแสดงลักษณะของผู้ชายในยุคช่วง2539ออกมาอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาเช่นคำว่า “จ๊าบ” หรือการเลือกใช้หมัดต่อยท๊อปแทนการตบตอนอยู่บนดอย 

ในเรื่องนี้นั้นมีการใส่สัญลักษณ์ต่างๆมากมายลงไป ซึ่งถ้าหากลองวิเคราะห์ดูดีๆแล้วจะพบว่ามีส่วนที่น่าสนใจอยู่มาก 
1.      ส่วนที่ไม่ยกมาพูดไม่ได้เลยก็น่าจะเป็นพวกตัวสัตว์จากรูปภาพสามมิติเช่น ปลาวาฬหรือนกพิราบ ซึ่งคงมีความหมายหลากหลายตามการตีความ ส่วนตัวผมคิดว่าปลาวาฬอาจจะสะท้อนถึงความโดดเดี่ยวทางอารมณ์ เป็นลักษณะหนึ่งของเด็กส่วนมากที่มีความแตกต่างจากบรรทัดฐานของสังคมต้องเผชิญ นกพิราบอาจจะสะท้อนถึงอิสรภาพอันเป็นสิ่งที่เด็กทั้งสองไขว่คว้า 
2.      หากลองสังเกตกันดูดีๆแล้วจะมีฉากหนึ่งที่ ภพเพิ่งตื่นนอนและเดินมาเห็นดิวที่กำลังนอนอยู่หลังจากเพิ่งแปลเพลงเสร็จและเผลอหลับไปบนโต๊ะโดยมีกรรไกรและคัตเตอร์หันไปที่หัวเขา ในฉากนี้ผมคิดว่าเป็นการบอกเป็นนัยว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับดิว ภพคงจะสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง ทำให้เขารีบพาตัวดิวไปสอนขี่มอเตอร์ไซค์ทันทีราวกับรู้ว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นกับดิวจากอุบัติเหตุ โดยใช้ข้ออ้างว่าเขาขี้เกียจพาดิวออกไปซื้อของทั้งๆที่อารมณ์ของสีหน้าภพคืนวันก่อนบ่งบอกว่าเขามีความสุขมากที่ได้ออกไปด้วยกันกับดิว ในซีนนี้นั้นสถานที่ที่ทั้งสองไปฝึกขี่มอเตอร์ไซค์เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ที่ตายแล้วซึ่งผู้กำกับคงจงใจสะท้อนถึงลางไม่ดีของดิว เนื่องจากตอนสุดท้ายเขาเลือกที่จะไม่ฝึกขับมอเตอร์ไซค์ต่อ
3.      โต๊ะที่หลิวบอกภพว่าไม่ชอบนั่งเป็นตัวเดียวกับที่ดิวเคยนั่งแล้วถูกเพื่อนแกล้งขูดเขียนคำหยาบด่าทอเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของเขา ถึงแม้หลิวจะไม่รู้แต่ภพคงสัมผัสได้ถึงสาเหตุที่หลิวนั่งโต๊ะตัวนั้นแล้วไม่สบายใจเลยลงมือจัดการขัดโต๊ะให้หลิวด้วยตัวเอง 
4.      ในวันสุดท้ายที่ดิวจะเกิดเหตุรถชนเสื้อที่เขาใส่เขียนคำว่า Destiny เหมือนกับจะบอกเป็นนัยถึงโชคชะตาที่ได้ถูกกำหนด(destined) ให้เสียชีวิตในวันนั้น
5.      ถ้าผู้เขียนคิดลึกเกินไปเองก็ขออภัยแต่ผมแอบคิดว่าการที่ของที่ดิวชอบกินเป็นไส้กรอกอาจจะเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่บอกถึงรสนิยมทางเพศของดิวด้วย
 
- ส่วนที่ขัดใจใครหลายๆคนคาดว่าจะเป็นส่วนของการเลือกใช้เส้นเรื่องครึ่งหลังที่มีความเป็นแฟนตาซี ทั้งๆที่หนังปูมาโดยเน้นความเรียลมาตลอด แต่โดยส่วนตัวผมพอเข้าใจได้เนื่องจากตัวหนังต้องการแสดงให้เห็นถึงโอกาสสมมุติที่ปกติโลกแห่งความจริงไม่ได้ให้กับเรา ซึ่งในยุคของปี 2562 นี้แน่นอนว่ากรอบสังคมบางอย่างก็ยังอยู่แต่ตัวละครก็เลือกที่จะรักษาโอกาสนี้เอาไว้ การมีความรักระหว่างบุคคลที่มีอายุเยอะและน้อย, ความรักระหว่างครูกับนักเรียนเองก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ความถูกหรือผิดที่ถูกสังคมหยิบยกขึ้นมาวิจารณ์ตลอดเวลาล้อมวิถีความคิดและการกระทำของคนหลายๆคนเอาไว้ ทำให้บทสรุปของเรื่องอยู่ที่ฉากกระโดดบันจี้จ้ำตอนสุดท้ายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความต้องการฉีกออกจากสังคมหนีออกจากความกดดันและกฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น

- จริงๆแล้วก็มีบางส่วนของเรื่องเหมือนกันที่รู้สึกว่ามีความแปลกประหลาดเล็กน้อย
1. ในบริบทของสังคมไทยสมัยก่อนไม่ค่อยมีครอบครัวเชื้อสายจีนที่มาจากภาคเหนือของแผ่นดินใหญ่ที่พูดจีนกลางสำเนียงเหนือชัดขนาดนั้น (อาจจะเกี่ยวข้องกับการหาตัวนักแสดงและภาษาที่ใช้/แถวภาคเหนือไทยมีผู้อพยพย้ายมาแบบนี้อยู่เยอะผมก็ไม่แน่ใจ)
2. ฉากที่ภพทะเลาะกับพ่อ อารมณ์ดูส่งหากันได้ไม่ค่อยดี ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกำแพงของภาษารึเปล่าที่ทำให้รู้สึกว่าการแสดงมีส่วนขัดๆกัน
3. การปูเรื่องราวช่วงเด็กดูละเมียดละไมมากแต่มีความรู้สึกมีตัวบทที่ขาดหาย เหมือนจริงๆแล้วเนื้อเรื่องช่วงเด็กมีมากกว่านั้นแต่โดนตัดด้วยเวลาฉาย 
4. จังหว่ะดูลงตัวเกินไปในตอนที่ประตูถูกเผลอเปิดทิ้งไว้และท็อปเข้ามาไลฟ์ผ่าน FB พอดี

- ส่วนที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือข้อคิดของเรื่องผ่านการเล่าความรักที่ก้าวผ่านประเด็นของ ชาย-หญิง, อายุและสถานะไป รักเพราะความรู้สึกอยากจะรักด้วยความตระหนักรู้ว่าเนื่องจากมันไม่ถาวรเลยอยากที่จะรักษามันไว้ให้ดีที่สุด
- จขกท เองก็เกิดในปี 2539 เลยทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้มีโอกาสสัมผัสกับปลายยุคนั้นอยู่บ้างช่วงตอนประถม การดูเรื่องนี้ทำให้รู้สึกNostalgiaอยู่มาก โดยส่วนตัวแล้วมองว่าหนังเรื่องนี้ถึงแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่ก็เป็นหนังที่ถูกทำขึ้นด้วยความตั้งใจอย่างมาก อยากให้มีหนังไทยที่ใส่ใจเก็บรายละเอียดแบบนี้และพัฒนาต่อไปอีกเรื่อยๆ



Stars in Daylight
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่