ขอระบายหน่อยค่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะไปพูดเรื่องนี้กับใครดี
เรากับสามี ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันสวนทางกัน เราทำงานประจำ ส่วนสามีบ้านมีฐานะไม่ได้ทำงานอะไร ทุกๆคืนเรากับเขาไม่เคยนอนตรงกัน เราเข้านอน3ทุ่ม ส่วนสามีเข้าห้องตี3-4 ทุกวัน ซึ่งเราทะเลาะเรื่องนี้กันมาตลอดเกือบ3ปีที่แต่งงานอยู่ด้วยกันมา จนคุณแม่ของเรา บอกให้เราปลงและไม่ต้องสนใจ ใช้ชีวิตไปตามปกติ เขาอยากจะทำอะไรก็ปล่อยเขา ง่วงก็นอนไม่ต้องรอ (เราแต่งงานเข้าไปอยู่บ้านสามีค่ะ)
วีรกรรมของสามีมักจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะรถบิ๊กไบค์ล้ม รถยนต์เสยเกาะกลาง แขนหัก ขาซ้น สังกะสีบาด หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุที่ตา จนเราคิดว่าต้องทำประกันอุบัติเหตุให้เขา เพื่อที่เวลาเจ็บตัวมาก็ยื่นบัตรเข้ารักษาได้เลยไม่ต้องสำรองเงิน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องจะเป็นช่วงเวลากลางดึกตลอด เที่ยงคืน-ตี3 และก็เป็นเราทุกครั้งที่ต้องตื่นพาไปโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งคอยดูแลเวลาเกิดเคสหนักๆ จนในที่สุดเราก็เริ่มเอือมระอา
คืนที่ผ่านมา เกิดเหตุตกจากบันไดไม้เพราะปีนขึ้นไปซ่อมสายไฟฟ้าบนเสาตอนตี1 ช่วงที่เขาซ่อมสายไฟพ่อเขาเป็นคนจับบันไดให้ แต่บันไดเก่าๆเอาเทปพันสั่วๆมันก็ต้องอันตรายใช่ไหมคะ และก็จริงผ้าเทปหลุดบันไดร่วง คนร่วง พ่อแม่เขาก็มาบอกเราว่า ลูกชายเขาตกบันได แขนเจ็บ ไม่แน่ใจว่าหักหรือเปล่า จะพาไปหาหมอ ความรู้สึกเราที่รู้สึกแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากเรื่องที่เข้านอนเวลาไม่ตรงกัน เราก็หยิบบัตรประกัน-บัตรประชาชนให้ และบอกว่า "หนูไม่ไปนะ เอาบัตรไปยื่นได้เลย" และเข้านอนต่อ เลือกที่จะไม่สนใจ เรื่องมันก็น่าจะจบ จนเราลุกมาเข้าห้องน้ำและยังเห็นบัตรวางอยู่บนโต๊ะ ด้วยความร้อนใจคิดว่าลืมก็โทรหาพ่อเขา แต่สิ่งที่พ่อเขาพูดกลับมา คือต่อว่าเรา ว่าลูกชายเขาเจ็บไม่คิดจะไปดูแล ใจดำ แล้งน้ำใจ และต่างๆนาๆอีกมากมาย ที่ทำให้เราร้องไห้ เราก็ตอบกลับไปว่า "ครั้งอื่นๆที่ผ่านมาตลอดหลายปี หนูก็ดูแลมาตลอด ประกันปีละหมื่นหนูก็ส่งให้ด้วยเงินหนูเอง เจ็บมาไม่เคยไปรบกวนพ่อแม่สักบาท ช่วยมองเห็นความดีที่ผ่านมาด้วย หนูก็ดีมามากพอเหลือเกินแล้ว มากกว่าที่ลูกชายพ่อแม่จะดีกับหนูซะอีก หนูเจ็บหนูป่วยก็ดูแลตัวเอง เงินของหนูจ่ายเองทั้งนั้น ตอนแม่เข้าโรงพยาบาลหนูก็ลางานเป็นอาทิตย์ไปดูแล รวมถึงพ่อไม่สบายหนูก็เป็นคนหาข้าวหายาให้กิน ดูแลมากกว่าพ่อแม่ของหนูเองซะอีก" ซึ่งเขาก็ยังไม่ฟังและพูดใส่กลับมาว่าเราผิดอยู่ดีที่คิดแบบนี้
เสียความรู้สึกค่ะ คิดแบบเห็นแก่ตัวกับเรามากๆ สิ่งที่คิดตอนนี้คือเราจะไม่ยกมือไหว้เลย
ดูแลมาตลอด ไม่ดูแลครั้งเดียว ถูกมองว่าแร้งน้ำใจ
เรากับสามี ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันสวนทางกัน เราทำงานประจำ ส่วนสามีบ้านมีฐานะไม่ได้ทำงานอะไร ทุกๆคืนเรากับเขาไม่เคยนอนตรงกัน เราเข้านอน3ทุ่ม ส่วนสามีเข้าห้องตี3-4 ทุกวัน ซึ่งเราทะเลาะเรื่องนี้กันมาตลอดเกือบ3ปีที่แต่งงานอยู่ด้วยกันมา จนคุณแม่ของเรา บอกให้เราปลงและไม่ต้องสนใจ ใช้ชีวิตไปตามปกติ เขาอยากจะทำอะไรก็ปล่อยเขา ง่วงก็นอนไม่ต้องรอ (เราแต่งงานเข้าไปอยู่บ้านสามีค่ะ)
วีรกรรมของสามีมักจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะรถบิ๊กไบค์ล้ม รถยนต์เสยเกาะกลาง แขนหัก ขาซ้น สังกะสีบาด หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุที่ตา จนเราคิดว่าต้องทำประกันอุบัติเหตุให้เขา เพื่อที่เวลาเจ็บตัวมาก็ยื่นบัตรเข้ารักษาได้เลยไม่ต้องสำรองเงิน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องจะเป็นช่วงเวลากลางดึกตลอด เที่ยงคืน-ตี3 และก็เป็นเราทุกครั้งที่ต้องตื่นพาไปโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งคอยดูแลเวลาเกิดเคสหนักๆ จนในที่สุดเราก็เริ่มเอือมระอา
คืนที่ผ่านมา เกิดเหตุตกจากบันไดไม้เพราะปีนขึ้นไปซ่อมสายไฟฟ้าบนเสาตอนตี1 ช่วงที่เขาซ่อมสายไฟพ่อเขาเป็นคนจับบันไดให้ แต่บันไดเก่าๆเอาเทปพันสั่วๆมันก็ต้องอันตรายใช่ไหมคะ และก็จริงผ้าเทปหลุดบันไดร่วง คนร่วง พ่อแม่เขาก็มาบอกเราว่า ลูกชายเขาตกบันได แขนเจ็บ ไม่แน่ใจว่าหักหรือเปล่า จะพาไปหาหมอ ความรู้สึกเราที่รู้สึกแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากเรื่องที่เข้านอนเวลาไม่ตรงกัน เราก็หยิบบัตรประกัน-บัตรประชาชนให้ และบอกว่า "หนูไม่ไปนะ เอาบัตรไปยื่นได้เลย" และเข้านอนต่อ เลือกที่จะไม่สนใจ เรื่องมันก็น่าจะจบ จนเราลุกมาเข้าห้องน้ำและยังเห็นบัตรวางอยู่บนโต๊ะ ด้วยความร้อนใจคิดว่าลืมก็โทรหาพ่อเขา แต่สิ่งที่พ่อเขาพูดกลับมา คือต่อว่าเรา ว่าลูกชายเขาเจ็บไม่คิดจะไปดูแล ใจดำ แล้งน้ำใจ และต่างๆนาๆอีกมากมาย ที่ทำให้เราร้องไห้ เราก็ตอบกลับไปว่า "ครั้งอื่นๆที่ผ่านมาตลอดหลายปี หนูก็ดูแลมาตลอด ประกันปีละหมื่นหนูก็ส่งให้ด้วยเงินหนูเอง เจ็บมาไม่เคยไปรบกวนพ่อแม่สักบาท ช่วยมองเห็นความดีที่ผ่านมาด้วย หนูก็ดีมามากพอเหลือเกินแล้ว มากกว่าที่ลูกชายพ่อแม่จะดีกับหนูซะอีก หนูเจ็บหนูป่วยก็ดูแลตัวเอง เงินของหนูจ่ายเองทั้งนั้น ตอนแม่เข้าโรงพยาบาลหนูก็ลางานเป็นอาทิตย์ไปดูแล รวมถึงพ่อไม่สบายหนูก็เป็นคนหาข้าวหายาให้กิน ดูแลมากกว่าพ่อแม่ของหนูเองซะอีก" ซึ่งเขาก็ยังไม่ฟังและพูดใส่กลับมาว่าเราผิดอยู่ดีที่คิดแบบนี้
เสียความรู้สึกค่ะ คิดแบบเห็นแก่ตัวกับเรามากๆ สิ่งที่คิดตอนนี้คือเราจะไม่ยกมือไหว้เลย