[เวรัญชพราหมณ์กล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ปราศจากครรภ์]
.... (อรรถกถา)
ก็บรรดาบทเหล่านั้นใจความแห่งบทเหล่านี้ว่า ยสฺส โข พฺราหฺมณ อายตึ คพฺภเสยฺยา ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ ป

นา พึงทราบอย่างนี้ :-
ดูก่อนพราหมณ์! ความนอนในครรภ์ในอนาคต และความเกิดในภพใหม่ของบุคคลใด ชื่อว่าละได้แล้วเพราะมีเหตุอันมรรคยอดเยี่ยมกำจัดเสียแล้ว.
ก็ในอธิการนี้ ชลาพุชะกำเนิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาด้วยคัพภเสยยศัพท์. กำเนิดนอกนี้อีก ๓ ทรงถือเอาด้วยปุนัพภวาภินิพพัตติศัพท์.
อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในสองบทว่า คพฺภเสยฺยา ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ นี้ อย่างนี้ว่าความนอนแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ชื่อว่า คพฺภเสยฺยา ความบังเกิด คือภพใหม่ ชื่อว่า ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ เหมือนอย่างว่า แม้เมื่อกล่าวว่าวิญญาณฐิติ ที่ตั้งอื่นจากวิญญาณไป (เช่นวิญญาณอันบริสุทธิ์. อันไร้อารมณ์อยู่ก็เหมือนว่าตายแล้ว)
ย่อมไม่มี ฉันใด แม้ในที่นี้ก็ฉันนั้น ไม่พึงเข้าใจความนอนอื่นจากสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ต่อไป
ก็ขึ้นชื่อว่า ความบังเกิดที่เป็นภพใหม่ก็มี ที่ไม่ใช่ภพใหม่ก็มี แต่ในที่นี้ประสงค์เอาที่เป็น.ไม่ใช่ภพใหม่ (3 )
.
ป.ล. เว้นชั้นสุทธาวาสภูมิ (ชั้นที่ 12 – 16 )จึงไม่รวมเข้ากับวิญญาณฐิติ ไม่รวมเข้ากับสัตตาวาส. เพราะไม่เป็นสิ่งที่หาดูได้ง่าย. (จักขวายตนะในรูปายตนะอันปรณีตทั้งหลาย)
และสัตว์ไม่มีสัญญา เพราะไม่มีวิญญาณ ไม่สงเคราะห์เข้าในวิญญาณฐิตินี้ แต่สงเคราะห์เข้าในสัตตาวาสที่ ๔ ด้วยสามารจตุตถฌานภูมินิดหน่อย ท่ามกลางและประณีตบางพวก เช่น เวหัปผลาภูมิ (ชั้นที่ 10) และอสัญญีสัตตาภูมิรูปฌานประณีตสูงสุดในสัตตาวาสที่ ๕ (ชั้นที่ 11 )
ส่วนพวกมีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) เพราะแม้วิญญาณละเอียดเหมือนความละเอียดของสัญญา มีแต่จิตเจตสิกที่รับอากาศเป็นอารมณ์รับรู้(มนายตนะในอรูปายตนะทั้งหลาย)เป็นเอกเทศไม่มีรูปมากระทบหรือสื่อสารกับใครได้
เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่กล่าวในวิญญาณฐิติ
แต่สงเคราะห์เข้าในสัตตาวาสที่ ๙)
....
.
อนึ่ง พระนิพพานนั่น ทรงเรียกว่า นิพพาน เพราะเหตุว่าออกไป
คือเล่นออกหลุดพ้น จากตัณหา (เครื่องร้อยรัด) ซึ่งได้โวหารว่า วานะ เพราะผูกคือล่าม 🧶
ได้แก่เย็บเชื่อมกำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ ไว้ เพื่อ
ความมีความเป็นสืบ ๆ ไป ฉะนี้แล. 🧵
.ป.ล จะเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตาก็ไม่สำคัญ. อันใคร ๆก็ไม่สมควรกล่าว เพราะไม่เคยข
รู้เพียงว่าถึงแล้วสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป
(หรือไม่ได้เกิดเป็นใครๆ อะไร ๆที่ไหนเวลาไหนๆ อีกต่อไป เพราะไม่มีความยึดมั่นอะไร ๆ ในโลกทั้งปวงนั้นละ ที่สุดแห่งทุกข์(ภพ.)
(จะมีผู้สร้างหรือไม่มีผู้สร้างก็ไม่สำคัญ.ให้ปรากฏเอง.)
เมื่อเป็นอยู่.โดยชอบ ฯ นั้นแล) 8
(เช่น เขาว่า นายแมวกำลังทอดแหอยู่. ที่สระโบก...
หรือใครก็ไม่รู้กำลังไถนาอยู่. ที่ทุ่งทุ่งกุลา... น้น
เพราะเหตุ อะไร ? ...เใคร?เป็นผู้สังเกตุการณ์ มาจากไหน?เมื่อไร? ฯลฯ เป็นต้น.)
.
มีปัญญาแล้วจะมาเกิดทำไม?
เช่นเคยว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อย นานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรา มรณะ ใดแล ; ทุกข์นี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมี ชรา มรณะจึงมี?” ดังนี้.
...ฯลฯีเป็นต้น
.ป.ล
(เช่นคนในพุทธบอกว่า ไม่มีพระผู้สร้างเกิดแต่เหตุแต่ปัจจัย ฯ นั้นแหละ (เสียง...เรียกว่ารถ)
ถูกแล้ว. (พระเจ้าเป็นใคร?หรือตรัสกับใคร?ที่ไหน?)นอกจ่ากพุทธะ
เช่น อาสวะเหล่าใด ให้ถึงความไม่เป็น ใน......
เราละมันได้ขาด นั้นแล. เป็นต้น
.
ว่าด้วย ผู้ปราศจากครรภ์....
.... (อรรถกถา)
ก็บรรดาบทเหล่านั้นใจความแห่งบทเหล่านี้ว่า ยสฺส โข พฺราหฺมณ อายตึ คพฺภเสยฺยา ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ ป
ดูก่อนพราหมณ์! ความนอนในครรภ์ในอนาคต และความเกิดในภพใหม่ของบุคคลใด ชื่อว่าละได้แล้วเพราะมีเหตุอันมรรคยอดเยี่ยมกำจัดเสียแล้ว.
ก็ในอธิการนี้ ชลาพุชะกำเนิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาด้วยคัพภเสยยศัพท์. กำเนิดนอกนี้อีก ๓ ทรงถือเอาด้วยปุนัพภวาภินิพพัตติศัพท์.
อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในสองบทว่า คพฺภเสยฺยา ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ นี้ อย่างนี้ว่าความนอนแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ชื่อว่า คพฺภเสยฺยา ความบังเกิด คือภพใหม่ ชื่อว่า ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ เหมือนอย่างว่า แม้เมื่อกล่าวว่าวิญญาณฐิติ ที่ตั้งอื่นจากวิญญาณไป (เช่นวิญญาณอันบริสุทธิ์. อันไร้อารมณ์อยู่ก็เหมือนว่าตายแล้ว)
ย่อมไม่มี ฉันใด แม้ในที่นี้ก็ฉันนั้น ไม่พึงเข้าใจความนอนอื่นจากสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ต่อไป
ก็ขึ้นชื่อว่า ความบังเกิดที่เป็นภพใหม่ก็มี ที่ไม่ใช่ภพใหม่ก็มี แต่ในที่นี้ประสงค์เอาที่เป็น.ไม่ใช่ภพใหม่ (3 )
.
ป.ล. เว้นชั้นสุทธาวาสภูมิ (ชั้นที่ 12 – 16 )จึงไม่รวมเข้ากับวิญญาณฐิติ ไม่รวมเข้ากับสัตตาวาส. เพราะไม่เป็นสิ่งที่หาดูได้ง่าย. (จักขวายตนะในรูปายตนะอันปรณีตทั้งหลาย)
และสัตว์ไม่มีสัญญา เพราะไม่มีวิญญาณ ไม่สงเคราะห์เข้าในวิญญาณฐิตินี้ แต่สงเคราะห์เข้าในสัตตาวาสที่ ๔ ด้วยสามารจตุตถฌานภูมินิดหน่อย ท่ามกลางและประณีตบางพวก เช่น เวหัปผลาภูมิ (ชั้นที่ 10) และอสัญญีสัตตาภูมิรูปฌานประณีตสูงสุดในสัตตาวาสที่ ๕ (ชั้นที่ 11 )
ส่วนพวกมีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) เพราะแม้วิญญาณละเอียดเหมือนความละเอียดของสัญญา มีแต่จิตเจตสิกที่รับอากาศเป็นอารมณ์รับรู้(มนายตนะในอรูปายตนะทั้งหลาย)เป็นเอกเทศไม่มีรูปมากระทบหรือสื่อสารกับใครได้
เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่กล่าวในวิญญาณฐิติ
แต่สงเคราะห์เข้าในสัตตาวาสที่ ๙)
....
.
อนึ่ง พระนิพพานนั่น ทรงเรียกว่า นิพพาน เพราะเหตุว่าออกไป
คือเล่นออกหลุดพ้น จากตัณหา (เครื่องร้อยรัด) ซึ่งได้โวหารว่า วานะ เพราะผูกคือล่าม 🧶
ได้แก่เย็บเชื่อมกำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ ไว้ เพื่อ
ความมีความเป็นสืบ ๆ ไป ฉะนี้แล. 🧵
.ป.ล จะเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตาก็ไม่สำคัญ. อันใคร ๆก็ไม่สมควรกล่าว เพราะไม่เคยข
รู้เพียงว่าถึงแล้วสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป
(หรือไม่ได้เกิดเป็นใครๆ อะไร ๆที่ไหนเวลาไหนๆ อีกต่อไป เพราะไม่มีความยึดมั่นอะไร ๆ ในโลกทั้งปวงนั้นละ ที่สุดแห่งทุกข์(ภพ.)
(จะมีผู้สร้างหรือไม่มีผู้สร้างก็ไม่สำคัญ.ให้ปรากฏเอง.)
เมื่อเป็นอยู่.โดยชอบ ฯ นั้นแล) 8
(เช่น เขาว่า นายแมวกำลังทอดแหอยู่. ที่สระโบก...
หรือใครก็ไม่รู้กำลังไถนาอยู่. ที่ทุ่งทุ่งกุลา... น้น
เพราะเหตุ อะไร ? ...เใคร?เป็นผู้สังเกตุการณ์ มาจากไหน?เมื่อไร? ฯลฯ เป็นต้น.)
.
มีปัญญาแล้วจะมาเกิดทำไม?
เช่นเคยว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อย นานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรา มรณะ ใดแล ; ทุกข์นี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมี ชรา มรณะจึงมี?” ดังนี้.
...ฯลฯีเป็นต้น
.ป.ล
(เช่นคนในพุทธบอกว่า ไม่มีพระผู้สร้างเกิดแต่เหตุแต่ปัจจัย ฯ นั้นแหละ (เสียง...เรียกว่ารถ)
ถูกแล้ว. (พระเจ้าเป็นใคร?หรือตรัสกับใคร?ที่ไหน?)นอกจ่ากพุทธะ
เช่น อาสวะเหล่าใด ให้ถึงความไม่เป็น ใน......
เราละมันได้ขาด นั้นแล. เป็นต้น
.