สวัสดีเพื่อนๆชาวขาเที่ยวทั้งหลาย พวกเรามาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางมด(ไปเสิร์ชหาเอาเอง) ต้องบอกก่อนเลยว่าทริปนี้ของเราคือทริปงบนักศึกษาไปกันแบบสนุก เน้นเก็บเกี่ยวประสบการณ์ รวมถึงต้องทำประโยชน์ต่อสังคมบ้างไม่มากก็น้อย สำหรับคนที่เที่ยวเก่งอยู่แล้วคุณสามารถอ่านกระทู้เราเพื่อการวางแผนก่อนเดินทางได้เลย ส่วนคนที่พึ่งหัดเที่ยวคุณจะเดินตามรอยพวกเราก็ได้เอาที่สะดวกเลย ส่วนคนที่กำลังลังเลว่าจะไปดีไหม เราขอบอกเลยนะว่า ไม่ว่าจะวันหยุดยาว วันครบรอบ วันอกหักรักคุด ไม่ว่าจะวันไหนๆอารมณ์ไหนๆขอให้ทุกคนอย่าปล่อยเวลาที่มีค่าทิ้งไปในตอนที่เรายังมีกำลังแรงกาย มีโอกาสได้ไปก็ออกไปเถอะออกไปเที่ยวออกไปเจอคนใหม่ๆสถานที่ใหม่ๆ เมืองไทยของเรามีที่เที่ยวสวยๆไม่แพ้ชาติใดในโลก รับรองเลยว่าคุณจะต้องได้อะไรใหม่ๆกลับมาแน่นอน อย่าเสียเวลาดีกว่าบางคนขี้เกียจอ่านยาว
พวกเรามีกัน 7 คน ต่างภาคเรียนต่างวิชาสาขาจับกลุ่มกันจะไปBackpack โดยต่างคนต่างเสนอที่ที่ตัวเองอยากไป ตอนแรกมีเพื่อนเสนอจะไปกางเต็นท์นอนบนภูเขาหนาวๆ เช่น ภูทับเบิก แต่ก็มีเพื่อนบางคนไม่ชอบอากาศหนาว มีเพื่อนเสนอจังหวัดสุราษฎร์ธานีเพราะว่าอยากไปเขื่อนเชี่ยวหลานที่ที่เขาว่ากันว่ากุ้ยหลินเมืองไทย สรุปโอเคไปสุราษฎร์
เมื่อสรุปจุดมุ่งหมายได้แล้ว ก็ต้องมีการรวบรวมข้อมูลที่เที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดสุราษฎร์ มีการแพลนค่าใช้จ่ายคร่าวๆ และที่สำคัญเราจะไม่ไปเที่ยวแค่เอาสนุกเราก็เลยตกลงกันว่าจะเที่ยวกันแบบไม่ใช้ถุงพลาสติก
25 / ตค. / 62
พวกเรามาเจอกันที่ป้ายรถเมล์หน้า มจธ. 16.30 โดยไม่มีใครมาสาย ที่ต้องรีบไปก่อนเวลารถทัวร์ออกเนื่องจากเป็นวันศุกร์รถติดมากๆพวกเราก็เลยต้องเผื่อเวลาไว้เยอะหน่อย จากนั้นเรียกgrabใช้ส่วนลดสรุปจ่ายไปคนละ 65 บาท ไปถึงหมอชิต 18.00 น. พอดี รีบเอาสลิปการจ่ายเงินค่าตั๋วไปแลกเอาตั๋วเพื่อยื่นก่อนขึ้นรถที่เคาน์เตอร์ (พวกเราจองตั๋วรถทัวร์กันในเว็บ เป็นของ บขส. ราคา 499 บาท) บนรถมีผ้าห่มให้ มีห้องน้ำด้วยนะ แต่เบาะนั่งแคบไปหน่อย

ระหว่างทางจะมีบริการน้ำเปล่ากับขนมให้บนรถและยังมีการจอดพักรถทานข้าวที่ ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้ตั๋วรถแลกอาหารได้หนึ่งมื้อ เขาจะจัดเป็นโต๊ะนั่งโต๊ะละ 7 คน อาหารก็ถือว่าโอเคนะไม่แย่ สำหรับราคา 499 บาท มีบริการถึงขนาดนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า
26 / ตค. / 62
พวกเราใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ 10 ชม. ถึง บขส.สุราษฎร์ธานี ตอน 05.19 น. โดยมีเจ้าของทัวร์มารับ ทัวร์นี้เป็นทัวร์ของคนรู้จักเขามีบริการพาทัวร์พร้อมที่พักในราคา 5,000 บาท ตกคนละ 625 บาท ที่พักเป็นบ้านพักของเจ้าของทัวร์เองอยู่ในเมือง บ้านสวย บริการดี ลุงกับป้าใจดีมากๆ เมื่อถึงที่พักอาบน้ำแต่งตัวเสร็จนัดลุงกับป้าไว้ว่าให้มารับออกไปทานข้าวเช้าก่อนจะเริ่มเที่ยว 07.30 น.

สำหรับอาหารเช้าของวันแรกที่สุราษฎร์ธานี คือ ร้านสุธารส ติ่มซำ ร้านนี้ก็ตามชื่อเลยเป็นร้านติ่มซำ บรรยากาศในร้านสะอาด น่าทาน พี่ๆพนักงานเสิร์ฟก็มีการแนะนำเมนูขึ้นชื่อของทางร้านที่ขายดี ราคาก็จานเล็กๆที่เห็นในภาพก็ 17-30 บาท แล้วแต่ความเป็นsignatureของทางร้าน มากันเยอะสั่งกันเยอะมาก

เมนูที่พวกเราอยากจะแนะนำ คือ บะกุ๊ดเต๋ เมนูขายดีของทางร้าน บะกุ๊ดเต๋เป็นอาหารที่คนภาคใต้นิยมทาน มันคือกระดูกหมูในน้ำตุ๋นยาจีน รสชาติก็จีนๆบอกไม่ถูก5555เหมือนสมุนไพรอร่อยดี หน้าตาก็คล้ายๆเกาเหลาน้ำดำ จะกินเลยก็ได้หรือกินกับข้าวสวยก็ได้

เมนูต่อไป คือ ซาลาเปาชาโคล มันคือแป้งชาโคลบอกเลยว่าแป้งนุ่มมากกกกกกกก ไส้เป็นครีมไข่เค็ม(แต่เราว่ารสชาติไส้แอบเหมือนไส้ครีมในเซเว่น)
สรุปรวมๆในมื้อเช้านี้ อร่อย ราคาโอเค ร้านสะอาด พนักงานน่ารักเป็นกันเอง พวกเราหมดค่าเสียหายไป ประมาณ 800-900 บาทตกคนละประมาณ 120 บาท เนื่องจาก หิว แล้วก็สั่งเพลินไปหน่อย แต่คุ้มค่านะเพราะมันอร่อยไหนๆก็มาถึงถิ่นติ่มซำทั้งทีก็จัดกันเต็มๆไปเลย
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วเราไปต่อกันที่ สะพานศรีสุราษฎร์ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำตาปี ทางขึ้นคือสูงมากและชันมาก พอขึ้นไปตรงกลางสะพานจะมองเห็นวิวแม่น้ำตาปียาวเป็นสาย มองเห็นผู้คนขับเรือหาปลากันตามวิถีชีวิต ถือว่าเป็นจุดถ่ายรูปที่เด็ดๆอีกจุดเลย จะเห็นวิวเมือง วิวแม่น้ำ วิวภูเขา
หลังจากพวกเราลงจากสะพานอันสูงชันแห่งนี้ก็พากันไปไหว้ขอพรที่ ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี แปลกมากไม่ค่อยมีคนเลย

เขาว่ากันว่าตั้งจิตอธิษฐานขอพรแล้วตั้งเหรียญ ถ้าตั้งได้คำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริง แต่ส่วนตัวเราไม่ได้เชื่อแบบนั้นนะ เรามองว่าความเชื่อนี้กำลังจะสอนเราว่า เมื่อเรามีความหวัง การพยายามที่จะตั้งเหรียญให้ได้ก็คือความพยายามที่เราจะต้องมีก่อนจะได้ในสิ่งที่หวัง และแล้วเราก็ตั้งเหรียญได้55555
หลังจากที่พวกเราทุกคนไหว้ขอพรกันเสร็จ ก็ถึงเวลาที่เรานัดเรือเอาไว้ เรือที่จะพาเราไปทำกิจกรรมสนุกๆ ใช้ชีวิตแบบคนเล เรียนรู้วิถีชาวเลแบบจริงๆ ซึ่งท่าเรือที่พวกเราจะต้องไปขึ้นเรือนั้น ก็อยู่ไม่ไกลจากศาลหลักเมืองแห่งนี้ นั่นคือ ท่าเรือเกาะเต่า แต่ก่อนจะลงเรือเราจะต้องตุนเสบียงอาหารไปด้วย เมนูนั้นก็คือ ข้าวหมูแดงคนละกล่อง ตกคนละ 40 บาท เอาจริงๆของกินที่สุราษฎร์ไม่แพงเลย
ที่เวลา 10.00 น. ลงเรือกันไปเรียบร้อย ลักษณะเรือเป็นเรือหางยาวของชาวบ้านที่เขาเอาไว้หากุ้งหอยปูปลากันจริงๆ เนื่องจากว่าพวกเราต้องการเป็นชาวเรือจริงๆในหนึ่งวันต่อจากนี้ อีกอย่างไม่ใช่เรือนำเที่ยวราคาค่าเสียหายก็จะถูกลงประหยัดงบไปอีก โดยมีน้าผู้ชายเป็นคนขับเรือพาพวกเราไป เราติดต่อน้าชายจากลุงกับป้าอีกทอดนึง ราคาก็คนละ 700 รวมทุกอย่าง กิจกรรม ตกปลามีอุปกรณ์ให้ เก็บอวน(เก็บจริงของน้าแกเอง) ที่พักคือบ้านที่อยู่กลางทะเลแบบที่ว่าเสาของบ้านปักอยู่ในน้ำกันเลย

ระหว่างทางนั่งเรือดูวิถึชีวิตของชาวเลที่มีบ้านอยู่ริมทะเล มีร้านขายของ ขายขนม ร้านอาหาร ปั้มน้ำมันฉบับเติมเรือ มีกลิ่นคาวปลาเป็นเรื่องปกติของคนทำมาหากินทางน้ำ สิ่งที่เรารู้สึกได้อีกอย่างนึงก็คือความเป็นกันเอง ความมีน้ำใจ อยู่กันแบบเพื่อนบ้าน อย่างเวลาที่น้าแกพาพวกเราขับเรือผ่านเรืออีกลำแกก็จะร้องตะโกนทักทายกันเป็นภาษาใต้ ยิ้มแย้มกัน พูดประมาณว่าวันนี้หาปลาได้หรือเปล่า ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจมาก มองเห็นถึงความสุขความเป็นมิตรภาพที่ดีของคนในระแวกนั้น

ภาพที่เห็นนั้น คือ เรือของเพื่อนบ้านน้าแกเสีย เขาเรียกว่าอะไรอ่ะ สายดึงเพื่อสตาร์ทเรือขาด น้าแกก็เลยค่อยๆพยุงเรือของเพื่อนแกเข้าฝั่งไปส่ง น้ำใจของคนเรือด้วยกัน นี่ก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างการท่องเที่ยวของพวกเรา
และนี่คือที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ของพวกเรา บอกตามตรงว่าเห็นครั้งแรกรู้สึกตกใจ แอบrealกว่าที่คิดไว้ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณมือถือ และแจ็คพอตแตกน้าบอกว่าห้องน้ำคอห่านหาย(ส้วมหาย,ชักโครกหาย) ไม่รอช้า ขนของขึ้นบนบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมออกไปหาของกินของกินในที่นี้คือ กุ้ง หอย ปู ปลา
กิจกรรมแรกก็คือ เก็บอวน อวนซึ่งยาวประมาณเป็นกิโลเมตรได้ โดยค่อยๆขับเรือไปเรื่อยๆตามแนวอวนที่วางเอาไว้ มีธงเป็นที่มาร์คไว้ว่าถึงไหนถึงไหน ทุกคนตื่นเต้นกับสิ่งที่ติดมากับอวน กุ้ง กั้งคือตัวใหญ่มาก ปูม้าบ้าง ปลากระเบนตัวเล็กๆ แมงดาทะเล
ก่อนจะกลับที่พักกลางทะเล น้าก็พาแวะ เกาะปราบ เกาะปราบเป็นเกาะเงียบๆ มีทหารเฝ้าดูแลอยู่คนนึงกับหมาอีกสองสามตัว โดยน้าเตือนไว้ว่า เดินเล่น เข้าห้องน้ำได้แต่อย่าไปเก็บอะไรกลับมา ไม่ว่าจะหินหรืออะไรก็ตาม จริงๆเกาะนี้ถ้ามีการปรับปรุงหรือทำให้มีอะไรให้ทำเป็นกิจกรรมหรือว่ามีอะไรที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ก็จะดีนะ เพราะว่าการเดินทางไปค่อนข้างจะง่าย แต่ก็ไม่ค่อยมีคนไปกันสังเกตจากใบลงชื่อชมเกาะ
จนตอนนี้ก็เป็นเวลา 14.00 น. แล้ว พวกเราเริ่มหิวข้าวน้าชายก็เลยพากลับบ้านกลางทะเลเพื่อที่จะนำกุ้งหอยปูปลาที่หามาได้ไปทำอาหารกินกัน เมนูก็ง่ายๆ ลวกจิ้ม หน้าตาอาหารอาจจะดูธรรมดาแต่บอกเลยว่ารสชาติดีมาก ด้วยความที่กุ้งหอยปูปลาที่หามามันสดใหม่ทำให้เนื้อแน่นนุ่มลิ้นมาก
ทันใดนั้นข่าวร้ายก็คือ ในบ่ายวันนั้นน้าบอกว่าเขามีข่าวที่แชร์ๆกันมาในเพจชาวประมงของน้าว่าลมจะเข้า ลมเข้าแกก็เลยไม่อยากให้นอนเนื่องจากมันอันตราย อีกอย่างของกินที่หามาได้มันไม่น่าจะพอสำหรับจะค้างคืน พวกเราก็เลยเปลี่ยนแผนขนของกลับเข้าฝั่งไปนอนบ้านลุงกับป้าเหมือนเดิม และน้าแกก็ยังพาพวกเราแวะเข้าไปเอาปูที่นึ่งเสร็จแล้วที่บ้านของแกมาให้พวกเรากินเป็นอาหารมื้อค่ำในคืนนั้นด้วย

เมื่อกลับถึงฝั่งในตอนเย็นนั้นเราก็แวะเดินที่ตลาดคนเดินศาลเจ้า ตลาดศาลเจ้า แหล่งช้อปปิ้งของชาวสุราษฎร์ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทั้งของกินของใช้ ชายหญิง มีให้เลือกช้อปกันมากมาย หากผู้ที่ยังไม่เคยมาเยือน ขอบอกว่าต้องรีบไปแต่หัวค่ำเนื่องจากคนเยอะจะไม่มีที่จอดรถ ส่วนที่จอดรถนั้นจะอยู่ภายในวัดสามัคคีเข้าจอดฟรี ภายในตลาดนอกจากจะมีของกินยังมีการละเล่นเช่น ร้องเพลง เปิดเพลง มีรำวง ภาพรวมๆคล้ายๆงานวัด(จริงๆก็คืองานวัด) และของกินส่วนใหญ่ก็จะเป็นขนมไทย บางอย่างก็เป็นของขึ้นชื่อทางภาคใต้ ของถูก อร่อย
ที่อยากแนะนำคืออันนี้เลย ปิ้งมันปลา อร่อยมาก ชุดละ 20 บาท ได้ 5 ไม้ แตกต่างจากทอดมันปลาที่เราเคยกินกันคือเขาปิ้งแทนการทอด ไม่อ้วนด้วย คนต่อแถวซื้อกันยาวมาก
ส่วนนี่เขาเรียกว่า จำปาดะทอด จำปาดะเป็นผลไม้ท้องถิ่นของใต้ รสชาติคล้ายๆขนุนแต่เนื้อจะต่างกัน ส่วนตัวคิดว่าจำปาดะอร่อยกว่าเนื่องจากมีรสหวานกว่า นุ่ม กินง่ายกว่า
อาหารก็มีอื่นๆอีกมากมาย ผัดไทยขึ้นชื่อของใต้ ยำรสเด็ด รวมๆคือ ถูก อร่อย แพ็คเกตที่ใส่ให้ส่วนมากจะเป็นกล่องกระดาษไม่ค่อยมีถุงพลาสติกซึ่งก็ถือเป็นการลดใช้ถุงไปในตัว
Backpack Trip 3 วัน 2 คืน กิน เที่ยว ช้อป ชิล ครบจบที่สุราษฎร์ธานีเมืองคนดีศรีสยาม
พวกเรามีกัน 7 คน ต่างภาคเรียนต่างวิชาสาขาจับกลุ่มกันจะไปBackpack โดยต่างคนต่างเสนอที่ที่ตัวเองอยากไป ตอนแรกมีเพื่อนเสนอจะไปกางเต็นท์นอนบนภูเขาหนาวๆ เช่น ภูทับเบิก แต่ก็มีเพื่อนบางคนไม่ชอบอากาศหนาว มีเพื่อนเสนอจังหวัดสุราษฎร์ธานีเพราะว่าอยากไปเขื่อนเชี่ยวหลานที่ที่เขาว่ากันว่ากุ้ยหลินเมืองไทย สรุปโอเคไปสุราษฎร์
เมื่อสรุปจุดมุ่งหมายได้แล้ว ก็ต้องมีการรวบรวมข้อมูลที่เที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดสุราษฎร์ มีการแพลนค่าใช้จ่ายคร่าวๆ และที่สำคัญเราจะไม่ไปเที่ยวแค่เอาสนุกเราก็เลยตกลงกันว่าจะเที่ยวกันแบบไม่ใช้ถุงพลาสติก
25 / ตค. / 62
พวกเรามาเจอกันที่ป้ายรถเมล์หน้า มจธ. 16.30 โดยไม่มีใครมาสาย ที่ต้องรีบไปก่อนเวลารถทัวร์ออกเนื่องจากเป็นวันศุกร์รถติดมากๆพวกเราก็เลยต้องเผื่อเวลาไว้เยอะหน่อย จากนั้นเรียกgrabใช้ส่วนลดสรุปจ่ายไปคนละ 65 บาท ไปถึงหมอชิต 18.00 น. พอดี รีบเอาสลิปการจ่ายเงินค่าตั๋วไปแลกเอาตั๋วเพื่อยื่นก่อนขึ้นรถที่เคาน์เตอร์ (พวกเราจองตั๋วรถทัวร์กันในเว็บ เป็นของ บขส. ราคา 499 บาท) บนรถมีผ้าห่มให้ มีห้องน้ำด้วยนะ แต่เบาะนั่งแคบไปหน่อย
ระหว่างทางจะมีบริการน้ำเปล่ากับขนมให้บนรถและยังมีการจอดพักรถทานข้าวที่ ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้ตั๋วรถแลกอาหารได้หนึ่งมื้อ เขาจะจัดเป็นโต๊ะนั่งโต๊ะละ 7 คน อาหารก็ถือว่าโอเคนะไม่แย่ สำหรับราคา 499 บาท มีบริการถึงขนาดนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า
26 / ตค. / 62
พวกเราใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ 10 ชม. ถึง บขส.สุราษฎร์ธานี ตอน 05.19 น. โดยมีเจ้าของทัวร์มารับ ทัวร์นี้เป็นทัวร์ของคนรู้จักเขามีบริการพาทัวร์พร้อมที่พักในราคา 5,000 บาท ตกคนละ 625 บาท ที่พักเป็นบ้านพักของเจ้าของทัวร์เองอยู่ในเมือง บ้านสวย บริการดี ลุงกับป้าใจดีมากๆ เมื่อถึงที่พักอาบน้ำแต่งตัวเสร็จนัดลุงกับป้าไว้ว่าให้มารับออกไปทานข้าวเช้าก่อนจะเริ่มเที่ยว 07.30 น.
สำหรับอาหารเช้าของวันแรกที่สุราษฎร์ธานี คือ ร้านสุธารส ติ่มซำ ร้านนี้ก็ตามชื่อเลยเป็นร้านติ่มซำ บรรยากาศในร้านสะอาด น่าทาน พี่ๆพนักงานเสิร์ฟก็มีการแนะนำเมนูขึ้นชื่อของทางร้านที่ขายดี ราคาก็จานเล็กๆที่เห็นในภาพก็ 17-30 บาท แล้วแต่ความเป็นsignatureของทางร้าน มากันเยอะสั่งกันเยอะมาก
เมนูที่พวกเราอยากจะแนะนำ คือ บะกุ๊ดเต๋ เมนูขายดีของทางร้าน บะกุ๊ดเต๋เป็นอาหารที่คนภาคใต้นิยมทาน มันคือกระดูกหมูในน้ำตุ๋นยาจีน รสชาติก็จีนๆบอกไม่ถูก5555เหมือนสมุนไพรอร่อยดี หน้าตาก็คล้ายๆเกาเหลาน้ำดำ จะกินเลยก็ได้หรือกินกับข้าวสวยก็ได้
เมนูต่อไป คือ ซาลาเปาชาโคล มันคือแป้งชาโคลบอกเลยว่าแป้งนุ่มมากกกกกกกก ไส้เป็นครีมไข่เค็ม(แต่เราว่ารสชาติไส้แอบเหมือนไส้ครีมในเซเว่น)
สรุปรวมๆในมื้อเช้านี้ อร่อย ราคาโอเค ร้านสะอาด พนักงานน่ารักเป็นกันเอง พวกเราหมดค่าเสียหายไป ประมาณ 800-900 บาทตกคนละประมาณ 120 บาท เนื่องจาก หิว แล้วก็สั่งเพลินไปหน่อย แต่คุ้มค่านะเพราะมันอร่อยไหนๆก็มาถึงถิ่นติ่มซำทั้งทีก็จัดกันเต็มๆไปเลย
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วเราไปต่อกันที่ สะพานศรีสุราษฎร์ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำตาปี ทางขึ้นคือสูงมากและชันมาก พอขึ้นไปตรงกลางสะพานจะมองเห็นวิวแม่น้ำตาปียาวเป็นสาย มองเห็นผู้คนขับเรือหาปลากันตามวิถีชีวิต ถือว่าเป็นจุดถ่ายรูปที่เด็ดๆอีกจุดเลย จะเห็นวิวเมือง วิวแม่น้ำ วิวภูเขา
หลังจากพวกเราลงจากสะพานอันสูงชันแห่งนี้ก็พากันไปไหว้ขอพรที่ ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี แปลกมากไม่ค่อยมีคนเลย
เขาว่ากันว่าตั้งจิตอธิษฐานขอพรแล้วตั้งเหรียญ ถ้าตั้งได้คำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริง แต่ส่วนตัวเราไม่ได้เชื่อแบบนั้นนะ เรามองว่าความเชื่อนี้กำลังจะสอนเราว่า เมื่อเรามีความหวัง การพยายามที่จะตั้งเหรียญให้ได้ก็คือความพยายามที่เราจะต้องมีก่อนจะได้ในสิ่งที่หวัง และแล้วเราก็ตั้งเหรียญได้55555
หลังจากที่พวกเราทุกคนไหว้ขอพรกันเสร็จ ก็ถึงเวลาที่เรานัดเรือเอาไว้ เรือที่จะพาเราไปทำกิจกรรมสนุกๆ ใช้ชีวิตแบบคนเล เรียนรู้วิถีชาวเลแบบจริงๆ ซึ่งท่าเรือที่พวกเราจะต้องไปขึ้นเรือนั้น ก็อยู่ไม่ไกลจากศาลหลักเมืองแห่งนี้ นั่นคือ ท่าเรือเกาะเต่า แต่ก่อนจะลงเรือเราจะต้องตุนเสบียงอาหารไปด้วย เมนูนั้นก็คือ ข้าวหมูแดงคนละกล่อง ตกคนละ 40 บาท เอาจริงๆของกินที่สุราษฎร์ไม่แพงเลย
ที่เวลา 10.00 น. ลงเรือกันไปเรียบร้อย ลักษณะเรือเป็นเรือหางยาวของชาวบ้านที่เขาเอาไว้หากุ้งหอยปูปลากันจริงๆ เนื่องจากว่าพวกเราต้องการเป็นชาวเรือจริงๆในหนึ่งวันต่อจากนี้ อีกอย่างไม่ใช่เรือนำเที่ยวราคาค่าเสียหายก็จะถูกลงประหยัดงบไปอีก โดยมีน้าผู้ชายเป็นคนขับเรือพาพวกเราไป เราติดต่อน้าชายจากลุงกับป้าอีกทอดนึง ราคาก็คนละ 700 รวมทุกอย่าง กิจกรรม ตกปลามีอุปกรณ์ให้ เก็บอวน(เก็บจริงของน้าแกเอง) ที่พักคือบ้านที่อยู่กลางทะเลแบบที่ว่าเสาของบ้านปักอยู่ในน้ำกันเลย
ระหว่างทางนั่งเรือดูวิถึชีวิตของชาวเลที่มีบ้านอยู่ริมทะเล มีร้านขายของ ขายขนม ร้านอาหาร ปั้มน้ำมันฉบับเติมเรือ มีกลิ่นคาวปลาเป็นเรื่องปกติของคนทำมาหากินทางน้ำ สิ่งที่เรารู้สึกได้อีกอย่างนึงก็คือความเป็นกันเอง ความมีน้ำใจ อยู่กันแบบเพื่อนบ้าน อย่างเวลาที่น้าแกพาพวกเราขับเรือผ่านเรืออีกลำแกก็จะร้องตะโกนทักทายกันเป็นภาษาใต้ ยิ้มแย้มกัน พูดประมาณว่าวันนี้หาปลาได้หรือเปล่า ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจมาก มองเห็นถึงความสุขความเป็นมิตรภาพที่ดีของคนในระแวกนั้น
ภาพที่เห็นนั้น คือ เรือของเพื่อนบ้านน้าแกเสีย เขาเรียกว่าอะไรอ่ะ สายดึงเพื่อสตาร์ทเรือขาด น้าแกก็เลยค่อยๆพยุงเรือของเพื่อนแกเข้าฝั่งไปส่ง น้ำใจของคนเรือด้วยกัน นี่ก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างการท่องเที่ยวของพวกเรา
และนี่คือที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ของพวกเรา บอกตามตรงว่าเห็นครั้งแรกรู้สึกตกใจ แอบrealกว่าที่คิดไว้ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณมือถือ และแจ็คพอตแตกน้าบอกว่าห้องน้ำคอห่านหาย(ส้วมหาย,ชักโครกหาย) ไม่รอช้า ขนของขึ้นบนบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมออกไปหาของกินของกินในที่นี้คือ กุ้ง หอย ปู ปลา
กิจกรรมแรกก็คือ เก็บอวน อวนซึ่งยาวประมาณเป็นกิโลเมตรได้ โดยค่อยๆขับเรือไปเรื่อยๆตามแนวอวนที่วางเอาไว้ มีธงเป็นที่มาร์คไว้ว่าถึงไหนถึงไหน ทุกคนตื่นเต้นกับสิ่งที่ติดมากับอวน กุ้ง กั้งคือตัวใหญ่มาก ปูม้าบ้าง ปลากระเบนตัวเล็กๆ แมงดาทะเล
ก่อนจะกลับที่พักกลางทะเล น้าก็พาแวะ เกาะปราบ เกาะปราบเป็นเกาะเงียบๆ มีทหารเฝ้าดูแลอยู่คนนึงกับหมาอีกสองสามตัว โดยน้าเตือนไว้ว่า เดินเล่น เข้าห้องน้ำได้แต่อย่าไปเก็บอะไรกลับมา ไม่ว่าจะหินหรืออะไรก็ตาม จริงๆเกาะนี้ถ้ามีการปรับปรุงหรือทำให้มีอะไรให้ทำเป็นกิจกรรมหรือว่ามีอะไรที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ก็จะดีนะ เพราะว่าการเดินทางไปค่อนข้างจะง่าย แต่ก็ไม่ค่อยมีคนไปกันสังเกตจากใบลงชื่อชมเกาะ
จนตอนนี้ก็เป็นเวลา 14.00 น. แล้ว พวกเราเริ่มหิวข้าวน้าชายก็เลยพากลับบ้านกลางทะเลเพื่อที่จะนำกุ้งหอยปูปลาที่หามาได้ไปทำอาหารกินกัน เมนูก็ง่ายๆ ลวกจิ้ม หน้าตาอาหารอาจจะดูธรรมดาแต่บอกเลยว่ารสชาติดีมาก ด้วยความที่กุ้งหอยปูปลาที่หามามันสดใหม่ทำให้เนื้อแน่นนุ่มลิ้นมาก
ทันใดนั้นข่าวร้ายก็คือ ในบ่ายวันนั้นน้าบอกว่าเขามีข่าวที่แชร์ๆกันมาในเพจชาวประมงของน้าว่าลมจะเข้า ลมเข้าแกก็เลยไม่อยากให้นอนเนื่องจากมันอันตราย อีกอย่างของกินที่หามาได้มันไม่น่าจะพอสำหรับจะค้างคืน พวกเราก็เลยเปลี่ยนแผนขนของกลับเข้าฝั่งไปนอนบ้านลุงกับป้าเหมือนเดิม และน้าแกก็ยังพาพวกเราแวะเข้าไปเอาปูที่นึ่งเสร็จแล้วที่บ้านของแกมาให้พวกเรากินเป็นอาหารมื้อค่ำในคืนนั้นด้วย
เมื่อกลับถึงฝั่งในตอนเย็นนั้นเราก็แวะเดินที่ตลาดคนเดินศาลเจ้า ตลาดศาลเจ้า แหล่งช้อปปิ้งของชาวสุราษฎร์ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทั้งของกินของใช้ ชายหญิง มีให้เลือกช้อปกันมากมาย หากผู้ที่ยังไม่เคยมาเยือน ขอบอกว่าต้องรีบไปแต่หัวค่ำเนื่องจากคนเยอะจะไม่มีที่จอดรถ ส่วนที่จอดรถนั้นจะอยู่ภายในวัดสามัคคีเข้าจอดฟรี ภายในตลาดนอกจากจะมีของกินยังมีการละเล่นเช่น ร้องเพลง เปิดเพลง มีรำวง ภาพรวมๆคล้ายๆงานวัด(จริงๆก็คืองานวัด) และของกินส่วนใหญ่ก็จะเป็นขนมไทย บางอย่างก็เป็นของขึ้นชื่อทางภาคใต้ ของถูก อร่อย
ที่อยากแนะนำคืออันนี้เลย ปิ้งมันปลา อร่อยมาก ชุดละ 20 บาท ได้ 5 ไม้ แตกต่างจากทอดมันปลาที่เราเคยกินกันคือเขาปิ้งแทนการทอด ไม่อ้วนด้วย คนต่อแถวซื้อกันยาวมาก
ส่วนนี่เขาเรียกว่า จำปาดะทอด จำปาดะเป็นผลไม้ท้องถิ่นของใต้ รสชาติคล้ายๆขนุนแต่เนื้อจะต่างกัน ส่วนตัวคิดว่าจำปาดะอร่อยกว่าเนื่องจากมีรสหวานกว่า นุ่ม กินง่ายกว่า
อาหารก็มีอื่นๆอีกมากมาย ผัดไทยขึ้นชื่อของใต้ ยำรสเด็ด รวมๆคือ ถูก อร่อย แพ็คเกตที่ใส่ให้ส่วนมากจะเป็นกล่องกระดาษไม่ค่อยมีถุงพลาสติกซึ่งก็ถือเป็นการลดใช้ถุงไปในตัว