แชร๋ประสบการณ์ "หางาน+ทำงานปีแรกในญี่ปุ่น" กับบทเรียนดีๆ ที่ไม่รู้ลืม :)

สวัสดีครับ ผมชื่อตูน พึ่งเริ่มทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2019 ครับ ตอนผมเขียนกระทู้นี้คือวันที่ 26 ตุลาคม ก็ผ่านมาประมาณครึ่งปีแล้ว จึงอยากมาแชร์ให้เพื่อนๆ ที่อยากมาเรียนต่อหรือทำงานที่ญี่ปุ่นฟังครับว่า ตอนหางานเป็นอย่างไร ยากไหม และสังคมการทำงานเข้มงวดมากไหม

ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ นอกจากนี้แต่ละบริษัทก็มีระบบการทำงานไม่เหมือนกันอีก เพราะฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และถือว่าสิ่งที่ผมเขียนเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการประกอบการสินใจของท่านผู้อ่านด้วยนะครับ

ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัว และสโคปในสายงานของผมก่อน ผมจบ ป.ตรี วิศวะไฟฟ้าที่ไทย แล้วมาต่อ ป.โท ที่ญี่ปุ่น โดยใช้เวลา 3 ปี คือ (เรียนภาษา 1 ปี และ ป.โท 2 ปี) สำหรับใครที่อยากทำงานโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก ผมแนะนำให้มาเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นก่อนนะครับ 1 ปี (สองเทอม) กำลังดี โดยในระหว่างเรียน ป.โท ช่วงปี 2 เทอม 1 ผมก็เริ่มหางานครับ โดยติดต่อ Recruit ต่างๆ เช่น Pasona เป็นต้น สำหรับวิธีการติดต่อ เริ่มแรกเราต้องลงทะเบียนในเว็บก่อน หลังจากนั้นทาง Recruit ก็จะส่งเมล์มา ว่าขอประวัติการเรียนหรือการทำงาน (Rirekisho - 履歴書) หน่อย และขอทราบวันเวลาที่สะดวกในการโทรคุยสัมภาษณ์เราครับ จุดประสงค์คือเพื่อทราบว่าเราต้องการงานประเภทไหน สถานที่ทำงานที่ต้องการทำบริเวณไหน ตอนนี้ถือวีซ่าแบบไหนอยู่ ระดับภาษาเป็นอย่างไร (มี Toeic หรือ JLPT ไหม) และต้องการเงินเดือนประมาณไหน เป็นต้น

หลังจากบอกข้อมูลไปจนหมดแล้ว ทาง Recruit ก็จะไปหางานที่เหมาะกับเรา แล้วส่งรายชื่อบริษัทพร้อมรายละเอียดต่างๆ เป็นระยะๆ มาให้เราเลือกในเมล์ ถ้าอันไหนเราสนใจก็ตอบตกลง ถ้าไม่ก็ตอบปฏิเสธไป (ในความคิดเห็นของผมนะ เรื่องการเขียนอีเมล์นี่เมีสำคัญอันดับต้นๆ เลย ควรฝึกไว้ ไม่ว่าจะภาษาอังกฤษ หรือภาษาญี่ปุ่น อยากให้เตรียมตัวเรื่องนี้ไว้ก่อนครับ ตอนติดต่อจะได้ไม่ต้องใช้เวลาในการคิดคำเยอะ) หลังจากได้บริษัท ตกลงกันเรียบร้อย ก็ไปสัมภาษณ์ โดยส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นจะมีการสัมภาษณ์ 2-3 ครั้งครับ และบางที่ต้องไปเหมือนไกด์แดนซ์ (説明会) ด้วย แตกต่างกันไป ถ้าสัมภาษณ์ไม่ผ่าน ทาง Recruit ก็จะส่งเมล์มาว่าคุณไม่ได้ไปต่อนะ แต่ถ้าผ่านก็จะได้เมล์มาประมาณว่า ยินดีด้วย กรรมการกดสามผ่านให้คุณแล้ว ประมาณนี้ 555+ โดยข้อกำหนดของผมคือ อยากทำที่ไหนก็ได้ในโตเกียว และเป็นพนักงานประจำ ครับ

ถ้าถามว่าวิศวะ หางานที่ญี่ปุ่นง่ายไหม บอกตามตรงว่าค่อนข้างง่ายครับ มีอยู่แทบทุกที่ โดยเฉพาะสาย IT เพราะญี่ปุ่นตอนนี้เปิดรับชาวต่างชาติมาทำงานมากขึ้น ส่วนเรื่องภาษา ถ้าเทียบกับสายศิลป์ การคัดกรองภาษาระหว่างสัมภาษณ์จะเข้มงวดน้อยกว่าครับ ถ้าใครอยากทำงานโดยใช้ภาษาอังกฤษก็ควรมี Toeic ไว้ ส่วนใครอยากทำโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นก็ควรไปสอบ JLPT ไว้นะครับ เพราะตอนกรอกใบสมัครถ้ามีพวกนี้อยู่ ก็อาจจะเพิ่มโอกาสในการรับเลือกก็เป็นได้ 

สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำเพื่อนๆ ก่อนสัมภาษณ์คือ ให้เข้าไปศึกษาบริษัทนั้นๆ ที่เราไปสัมภาษณ์ก่อน และพยายามหาจุดร่วม (共通点) ในสายงานที่เราต้องการว่าจะมีประโยชน์ต่อบริษัทอย่างไร และการแนะนำตัวอย่างง่ายๆ ของเรา เช่นเราชื่ออะไร มาจากประเทศอะไร เรียนจบอะไรมา และเหตุผลว่าทำไมเราถึงมาเรียนที่ญี่ปุ่น 

ตอนผมได้งานนี่ดีใจมาก เพราะไปสัมภาษณ์มาหลายที่เหมือนกัน ก็โดนปฏิเสธมา โดยบริษัทผมก็เสนอให้ผมไปทำงานพาร์ทไทม์ (อะรุไบโตะ - ในที่นี้ผมขอเรียกสั้นๆ ว่าไบท์ละกันนะครับ) กับเขา โดยจะออกค่าเดินทางให้ และให้เงินชั่วโมงละ 1250 เยน ในตอนนั้นผมทำไบท์อยู่ที่อิออนอยู่ก็เลยลาออกมา และมาทำที่นี่ โดยเลือกทำวันจันทร์ และศุกร์ 9:00 - 17:30 ครับ 
เนื่องจากผมจบวิศวะไฟฟ้ามา ผมจึงมาอยู่ฝ่ายออกแบบระบบไฟฟ้าครับ บริษัทผมทำเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์ เช่นพวกปริ๊นสกรีน หรือพิมพ์ลายต่างๆ บนพื้นผิวสินค้า เช่น กระติกน้ำ Thermos, PS2 หรือเคสไอโฟนเป็นต้น โดยบริษัทลูกค้าก็จะกำหนดมาว่าต้องการเครื่องจักรประเภทนี้ เพื่อใช้กับสินค้าประเภทนี้ ทางเราก็ต้องสร้างเครื่องจักรตามที่ลูกค้าต้องการ (要望) สโคปงานจะประมาณนี้ครับ และด้วยความที่บริษัทของผมเป็นบริษัทขนาดย่อม ข้อดีคือทุกคนสนิทกัน ไม่มีการแก่งแย่ง แรงกดดันจะไม่เยอะเหมือนบริษัทใหญ่ แต่ข้อเสียคือด้วยจำนวนคนที่น้อย ทำให้คนๆ หนึ่งต้องทำงานเกือบทุกอย่างครับ เช่นฝ่ายออกแบบระบบไฟฟ้าแบบผม ก็ไม่ใช่แค่ต้องออกแบบ แต่ต้องสั่งสินค้าเอง ต่อวงจร ปลอกสายไฟ เดินสายไฟเองด้วยครับ และที่สำคัญคือต้องเรียนรู้งานเอง เพราะทุกคนไม่มีเวลาสอน ช่วงที่ผมทำไบท์จึงยังช่วยอะไรเขาไม่ได้มากนอกจาก บัดกรีหรือต่อวงจรง่ายๆ หรือทำความสะอาด เป็นต้น

ระหว่างช่วงทำไบท์กับบริษัท ผมก็วุ่นๆ กับการย้ายบ้านด้วย (เหนื่อยมาก และค่อนข้างเข้มงวดมาก! เรื่องนี้สามารถเขียนแยกอีกกระทู้นึงได้เลยทีเดียว) จนในที่สุดผมเรียนจบ. . .

วันที่ 1 เมษา วันทำงานวันแรกของผม และพนักงานหน้าใหม่ทั้งหลายในญี่ปุ่น ทันทีที่เท้าของผมเหยียบที่สถานีรถไฟ ผมรับรู้ได้ทันทีว่า เบียดเป็นปลากระป๋องแน่ๆ และแล้วฝันก็เป็นจริง ตอนผมเข้ารถไฟปุ๊บโดนอัดรัวๆ เลยจ้า คือตอนนั้นไม่รู้ละใครเป็นใคร รู้แค่ว่าอย่าล้มเป็นพอ 5555
เมื่อมาถึงบริษัทผมรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศแอบเปลี่ยนไปเล็กน้อย คือเขาจะจริงจังกับเรามากขึ้น ให้เราทำงานมากขึ้น เพราะเราก็เป็น 1 ในพนักงานของเขาแล้ว บางงานที่เราทำไม่ได้สมัยทำไบท์ เช่นงานทางโทรศัพท์ หรือไปทำงานนอกสถานที่ต่างๆ ตอนนี้คือ ได้ทำหมดจ้า

บริษัทผมนั้นสามารถลาหยุดได้ 8 วัน และอีก 3 วันช่วงฤดูร้อน ดูเผินๆ ถือว่าน้อย แต่ถ้าลองดูตามปฏิทินญี่ปุ่นที่มีวันหยุดต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น โกเด้นวีค (1 อาทิตย์) , ปีใหม่ (1 อาทิตย์) หรือวันหยุดต่างๆ อีกเช่นวันภูเขา ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อแล้วครับ นอกจากนี้สามารถลาหยุดแต่งงานได้ 1 อาทิตย์อีกด้วย

พูดถึงเรื่องเงินเดือน โดยปกติแล้วงานสายวิศวะ โดยส่วนใหญ่จะได้เงินจากบริษัท 3 ล้านเยน/ ปี ขึ้นไปครับ ซึ่งบริษัทผมก็แอบน้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยนิดหน่อย (แอบเสียดาย) มีค่าเดินทาง, ค่าโอทีให้ ถ้ามีออกไปทำงานนอกสถานที่ เวลาในการเดินทางที่ไม่ใช่เวลางานก็มีให้ชั่วโมงละ 1,200 เยน แต่ถ้าต้องไปค้างคืน บริษัทก็จะออกค่าโรงแรมให้ (โรงแรมเราสามารถเลือกเองได้) ส่วนโบนัสมีสองครั้งครับ คือเดือน 7 และ 12 

ช่วงแรกผมปรับตัวค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองเกือบหมด คือรู้ว่าเขาอยากสอนนะ แต่ไม่มีเวลาจริงๆ พอมีงานที่เขาคิดว่าเราน่าจะทำได้เข้ามา เขาก็จะให้เรามาทำ โดยผมจะบอกเขาก่อนเลยว่า ก่อนที่จะให้งานเรา ขอให้บอกรายละเอียดคร่าวๆ ก่อนได้ไหม ผมจะได้เตรียมตัวถูก เช่น การต่อสายไฟเข้าอุปกรณ์ต่างๆ เช่นรีเลย์ สวิทช์ ก็มีรูต่อไม่เหมือนกัน บางอย่างก็ต้องต่อโดยการบัดกรี เป็นต้น 

นอกจากนี้เรื่องการสื่อสาร ก่อนหน้าที่ผมเรียนภาษา ได้ N2 มา ทำไบท์ที่อิออน ในแผนกที่มีแต่คนญี่ปุ่น แทบไม่ค่อยมีปัญหาเลยครับ แต่พอมาทำงานที่นี่ พูดตามตรงเลยว่า "อิหยังวะ" ศัพท์เฉพาะเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มากถึงมากที่สุด และผมก็เด็กที่สุดที่นู่นด้วย นอกนั้นมีแต่คน 40 อัพ คือภาษา และการออกเสียงของคนมีอายุที่ญี่ปุ่นฟังค่อนข้างยากครับ (อันนี้สำหรับผมนะ) เรื่องนี้ใช้เวลาปรับตัวเยอะมาก จนตอนนี้ก็ยังไม่ชินเท่าไหร่ 555+
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาการสื่อสารคือ ถ้าเราฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือเข้าใจไม่หมด ก็ให้บอกเขาไปเลยตรงๆ ครับ อย่าปล่อยผ่าน เช่น ขอให้เขาพูดให้ฟังอีกรอบ หรือให้เราพูดอีกรอบตามความเข้าใจของเรา เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ เพราะถ้าเราฟังไม่รู้เรื่อง แล้วทำตามความใจแบบครึ่งๆ กลางๆ ของเรา ผลสุดท้ายก็อาจจะต้องทำใหม่ หรือสร้างความเสียหายให้กับทางบริษัทของเราด้วย

ในการทำงาน สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกอย่าง ก็คือ "การติดต่อทางโทรศัพท์ (電話対応)" ครับ ผมเชื่อว่าไม่ว่าที่ไหน ยังไงก็ต้องเจอ จึงอยากให้ทุกคนเตรียมตัวเรื่องนี้ไว้ให้ดีๆ ตอนแรกๆ ผมไม่มีพื้นเรื่องนี้เลยครับ เพราะก่อนหน้านี้ ผมโทรศัพท์ในฐานะลูกค้า เช่นโทรสั่งของ จองที่นั่งร้านอาหาร ความกดดันมันจะไม่มี เพราะไม่ต้องคอยพะวงเรื่องมารยาทในการใช้คำ แต่สำหรับงาน ต้องมีแพทเทิน และการเลือกใช้คำ คำไหนเหมาะ คำไหนพูดแล้วจะเสียมารยาท ตื่นเต้นมากครับตอนทำครั้งแรก คือตอนนั้นผมแค่จะโทรไปเช็คว่า ข้อมูลที่เราได้มาทางเมล์ตรงกับที่เราเข้าใจไหม จำได้ว่าตอนนั้นพูดผิดพูดถูก ลิ้นพันกันตั้งแต่แนะนำตัว ยังไงก็ตาม ทุกคนก็มีครั้งแรกกันทั้งนั้น ผมคิดเสมอนะว่ามันไม่ใช่จุดจบของโลกครับ ผิดแล้วก็ผิด ครั้งหน้าก็เอาใหม่ สบายๆ ครับ จำได้ตอนวางหูโทรศัพท์ เพลงพี่ตูนดังขึ้นมาในหัวเลย "จะออกไปแตะขอบฟ้า แต่เหมือนว่าโชคชะตาไม่เข้าใจ" 555+ พอได้คุยโทรศัพท์มากขึ้นก็เริ่มชินครับ

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นจากระบบการทำงานของญี่ปุ่น คือ การคำนึงถึงใจลูกค้าตลอดเวลาครับ ไม่ว่าจะทำอะไร จะไม่มีการที่ว่า "เอาเท่านี้พอละกัน ส่วนนี้ไม่สำคัญ ไม่ต้องอะไรมากก็ได้หรอก" แต่ทุกอย่างที่ทำคือ ต้องเลือกส่วนที่ดีที่สุดให้ลูกค้าในทุกๆ เรื่องเสมอ เช่นกันเลือกอุปกรณ์ในการประกอบเครื่องจักร หรือบางจุดที่ออกแบบแล้ว แต่ดู "น่าจะ" อันตราย ก็ต้องหาวิธีป้องกันเพิ่ม คือทุกๆ อย่างจะมีการคำนึงถึงใจลูกค้าเสมอ
นอกจากนี้เรื่องตรงต่อเวลา เช่นสมมติว่าเราต้องไปพบกับลูกค้าที่โรงงานอีกจังหวัดหนึ่งตอน 9 โมง เราก็ต้องรีบขับรถออกไปแต่เช้า (ผมไม่มีใบขับขี่นะ คุณลุงที่บริษัทเป็นคนขับครับ) แล้วไปจอดรถรอที่ลานจอดรถของร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ รอให้ใกล้ๆ 9 โมงก่อน ค่อยขับเข้าโรงงานลูกค้า คือไม่มีไปก่อน หรือไปเลทครับ พยายามให้ถึงพอดีกับเวลาที่สุดเท่าที่จะทำได้ จุดนี้ผมประทับใจ และนับถือคนญี่ปุ่นมากๆ

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มคุ้นเคย เริ่มกล้าที่จะทัก หรือคุยมากขึ้นครับ โดยผมจะถูกฝึกมาว่า บางงานถึงไม่ใช่งานในสายงานของเรา ก็ควรทำถ้ามีเวลาว่าง เช่น รถน้ำต้นไม้ ทำความสะอาด หรืองานสแกนต่างๆ ผมถือว่าเป็นเรื่องดีนะ แถมเป็นการฝึกตัวเองภายในตัวด้วย

และนี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ผมเจอมาจนถึงตอนนี้ของผมครับ เป็นยังไงกันบ้าง ถ้าถามตรงๆ ว่าจะทำงานที่นี่ไปเรื่อยๆ ไหม คำตอบของผมคือ "ไม่" ครับ เพราะผมก็อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง อาจจะทำที่นี่ซัก 2-3 ปี แล้วก็เปลี่ยนไปที่อื่นครับ เพราะข้อเสียที่ผมเห็นของที่นี่ตอนนี้คือ ระบบการเทรนพนักงานใหม่ไม่ค่อยดีครับ คือเราก็เรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลานะ แต่ลองคำนวณดูระยะเวลาแล้วอาจจะเติบโตช้า และที่สำคัญคือท้ายที่สุดผมก็อยากกลับไปทำงานที่ประเทศไทยก่อนอายุ 30 กว่าๆ ครับ ช่วงนี้จึงอยากตักตวงประสบการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตเนอะ ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว การลองอะไรใหม่ๆ ออกจาก Comfort Zone (อย่างมีสติ) ถือเป็นเรื่องดี ยิ่งเราทำอะไรผิดพลาด พอเวลาผ่านไป เรื่องพวกนี้ก็อาจเป็นหัวข้อเรื่องสนุกๆ ตอนไปเม้ากับเพื่อนได้อีกด้วย (อันนี้ผมคิดเองนะ 555+)

สุดท้ายนี้ผมก็ขอฝากเว็บที่ผมพึ่งทำมาไม่นานนี้ http://www.tooneattabi.com/ กับเพื่อนๆ ด้วยนะครับ เป็นเว็บเกี่ยวกับพาไป กิน-เที่ยว-เล่น ที่สถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น แล้วถ้าผมเปลี่ยนงานหรือมีอะไรอัพเดทยังไง ก็อาจจะมาเขียนกระทู้เพิ่มนะครับ 

ใครมีอะไรสงสัยก็โพสถาม หรือ DM ได้เลยนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน และตัวเอง ในการทำงานที่ญี่ปุ่นครับ สวัสดีครับ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่