Georgia – Turkey (April 14-22, 2019)
ทริปนี้คิดมานานมากกกกกก แต่ก็มาจองตั๋วด้วยเวลากระชั้นชิดมากเช่นกัน เพราะอยากจะอยู่เที่ยวนานๆ แต่ว่าตกลงเรื่องวันลากับหัวหน้าไม่ได้ เลยได้มาเท่านี้จริงๆ เริ่มมาจากเม้ามอยกับเพื่อนว่าอยากไปเที่ยวไกลๆช่วงหยุดยาว ธรรมชาติสวยๆ ฟรีวีซ่า ทุกอย่างเลยมาจบลงที่จอร์เจีย (ฟรีวีซ่าตั้ง 365 วัน) ซึ่งก็มองหาตั๋วของหลายๆสายการบิน เห็นตั๋ว BKK – TBS มาตั้งแต่หมื่นกลางๆปลายๆ จนในที่สุดราคาตั๋วก็พุ่ง เราเลยปรับเปลี่ยนเส้นทางกันนิดหน่อย สรุปว่าไปลงกันที่ TBS (จอร์เจีย) แล้วกลับจาก IST (ตุรกี) เพราะรู้มาว่าช่วงเดือน เม.ย. ที่อิสตันบูลจะมีงานเทศกาลดอกทิวลิป ก็เลยขอเที่ยวอิสตันบูลด้วยเลย ทางเราเลือก Gulf Air เพราะว่าวันเดินทางและราคาดีที่สุดแล้วในตอนนั้น
แผนคร่าวๆ
April 14 : Bangkok - Tbilisi
April 15 : Tbilisi - Mestia
April 16 : Mestia - (Ushguli)
April 17 : Mestia – (Kutaisi) - Tbilisi
April 18 : Tbilisi
April 19 : Tbilisi - Istanbul
April 20 : Istanbul
April 21 : Istanbul
April 22 : Istanbul – Bangkok
รายละเอียดค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ต่อคน
- ค่าตั๋วเครื่องบิน (Gulf Air) 22,360
- ค่าตั๋วเครื่องบิน (Pegasus) 2,598
- โรงแรม Mestia 1,080 (2 คืน)
- โรงแรม Tbilisi 2,158 (2 คืน)
- โรงแรม Istanbul 1,805 (2 คืน)
- Travel insurance 751
- แลกเงินสำหรับใช้จ่ายทั้ง 2 ประเทศ 10,000
รวม 40,752 บาท
ปล.เงินที่แลกไปใช้ไม่หมด กินอยู่และเดินทางแบบสบายๆ แต่ถ้าได้ตั๋วเครื่องบินโปรดีๆ ก็จะถูกลง และดียิ่งขึ้นไปอีก
ปล2.เขียนกระทู้ครั้งแรก ถูกผิดยังไงช่วยชี้แนะด้วยนะคะ ;)
April 14 : Bangkok - Tbilisi
เราเดินทางมาถึงสุวรรณภูมิ พอดีๆกับเวลาเค้าเตอร์เปิด เลยมีเวลาเดินเล่นเรื่อยเปื่อย พอขึ้นเครื่องแล้วก็หลับๆตื่นๆ ตื่นมากิน แล้วก็นอนยาวๆไป ตื่นอีกทีก็ถึงสนามบินบาห์เรน ต่อเครื่องกันสนุกสนาน ไฟล์ทดีเลย์ไปนิดหน่อย พอมาไฟล์ทไปทบิลิซิก็ตาสว่างเพราะคนที่นั่งเยื้องๆกันหล่อมาก 55555
April 15 : Tbilisi – Mestia

มาถึงทบิลิซิก็หกโมงกว่าๆ ฟ้าสลัวๆ ก่อนเครื่องแลนด์มองลงมาก็ร้องว้าววว.......ทำไมแถวนี้ไม่มีอะไรเลย บ้านคนก็ไม่มี 555
ผ่านด่าน ตม. ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ถือพาสปอร์ตไทยเดินเข้าจอร์เจียไปเลย อยู่ได้ 365 วัน

รับกระเป๋าเรียบร้อยต่อมาก็เป็นเรื่องแลกเงิน ในสนามบินก็มีหลายเค้าเตอร์ เลือกได้ตามสะดวก แต่ถ้าอยู่มาอยู่ไปเงินไม่พออยากแลกเพิ่ม คนจอร์เจียแนะนำมาว่าให้ไปที่ร้าน Rico credit มีหลายสาขากระจายๆอยู่ทั้งใน ทบิลิซิ และตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆอย่าง คูทายสิ กับ บาทูมี เราเตรียมเป็นเงินยูโรไปแล้วไปแลกเงินลารีที่จอร์เจีย (ค่าเงินช่วง เม.ย. 2019 ประมาณ 1 GEL = 12 THB)
แลกเงินแล้วก็ซื้อซิมการ์ด จริงๆแล้วมีให้เลือกหลายเจ้าอยู่ และเราก็เลือกใช้ Beeline (internet 8 GB + 10 mins call) ราคา 17 Gel (204 บาท) คุณภาพก็โอเคดีเลย เน็ตลื่นปรื้ดๆอยู่ในหุบเขาที่เมสเตียก็ยังแรงอยู่ จริงๆถ้าไม่เอาโทรก็มีที่ถูกกว่านี้ด้วย แต่ว่าเราเผื่อเอาไว้โทรเรียกแท็กซี่ หรือโทรหาโรงแรมเลยซื้อโทรไว้ด้วย ซึ่งก็ได้โทรจริงๆ เมื่อเงินพร้อม เน็ตพร้อมก็ออกจากสนามบินได้ แพลนแรกของเราวันนี้คือไปขึ้นเครื่องบินเล็กของ Vanilla sky ไปที่เมสเตีย ซึ่งสนามบิน Natakhtari นี้อยู่ห่างจากสนามบินทบิลิซิออกไปประมาณ 1 ชั่วโมง เรียกแท็กซี่จากแอพ Bolt เลยค่ะนาทีนั้น เน้นสบาย 555

และเราก็มาถึงสนามบิน Natakhtari ประมาณ 8 โมง สำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปเมสเตีย การใช้บริการเครื่องบินเล็กของ Vanilla sky นั้นถือว่าคุ้มค่ามากจริงๆ เพราะถ้าเดินทางโดยรถต้องใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าเครื่องบินเล็กนี้ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ราคาต่อคนก็ 90 GEL (1,080 บาท) เดินเล่น นั่งเล่น นอนเล่น ถ่ายรูปเล่น รอไปแถวๆนั้น เพราะเวลาออกของเครื่องบินคือ 10 โมง ซึ่งตอนนั้นเราลุ้นกันมากๆว่าแต้มบุญของเรานั้นจะเพียงพอให้ได้ขึ้นเครื่องบินเล็กรึเปล่า เพราะพยากรณ์อากาศบอกว่าเมสเตียมีฝนมา 2 วันก่อนที่เราจะไปถึง และในวันนั้นก็มีเมฆปกคลุมเยอะ ได้แต่ลุ้นขอให้ได้บินค่ะงานนี้ ก็รอๆๆๆไปเรื่อยๆรอจนประมาณ 11 โมง เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่าวันนี้เครื่องขึ้นไม่ได้ เดี๋ยวจะทำเรื่องคืนเงินให้ เศร้ามากกกกก ฝันสลาย ช็อค...... แล้วทาง Vanilla sky ก็มาแนะนำว่าจะช่วยเรียกรถบัสสำหรับเหมาไปที่เมสเตียให้ ก็ถามผู้ร่วมชะตากรรมสิบกว่าคน สุดท้ายก็มีผู้ร่วมทางทั้งหมด 7 คน ที่ไปเมสเตียด้วยกันกับรถบัสนี้ ค่าเหมารถเที่ยวละ 900 GEL (เฉลี่ยแล้วคนละประมาณ 129 GEL แอบน้ำตาซึม แพงกว่านั่งเครื่องบินไปอีก แต่เราต้องสู้ เพราะได้เตรียมทุกอย่างไว้ที่เมสเตียหมดแล้ว จริงๆก็คิดไว้แต่แรกแล้วว่าถ้าไม่ได้บินจะทำยังไง ทำใจมาแล้วบางส่วน ก็เลยตกลงไปกับรถบัสนี้ สำหรับใครที่ตั้งใจจะบินไปเมสเตียก็ขอให้เผื่อใจไว้ด้วยนะคะ ในวันที่แต้มบุญยังไม่ถึง....ก็อาจจะไม่ได้บิน ㅠㅠ)

ระหว่างทางก็ดูวิวเมืองสลับกับภูเขาและทุ่งหญ้าไปเพลินๆเลยจ้า 8 ชั่วโมง ลุงคนขับก็แวะร้านค้ากับห้องน้ำให้เป็นระยะๆ

เจอวิวสวยๆอยากแวะถ่ายรูปก็บอกได้ตลอด สำหรับระยะทางขึ้นเขานั้นโหดมาก มีความสลับซับซ้อนระยะทางที่ขับวนไปวนมาบนเขานั้นก็ราวๆ 3 ชั่วโมง ขึ้นมาบนเขาแล้วยิ่งครึ้มๆเข้าไปอีก ฉะนั้นเตรียมไปเลยค่ะ ยาดม ยาลม ยาหม่อง ใครที่ร่างกายไม่พร้อม มีประวัติการเมารถ เมาเรือ ได้ใช้แน่นอน และแล้ววันที่ยาวนานก็จบลงถึงโรงแรมราวๆ 2 ทุ่ม เพื่อนอ้วกบนรถไป 3 รอบ

โรงแรมวันนี้ก็ดีงาม Hotel Svaneti วิวจากห้องนอนสวยมากๆ เพื่อนชอบตั้งแต่ตอนที่เห็นในรูปในเวป booking ว่าวิวสวยและที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย ตอนที่ไปถึงก็เริ่มมืดแล้ว ประกอบกับบรรยากาศครึ้มๆ เลยเห็นยอดเขาไม่ชัด หลังจากเช็คอินเรียบร้อยก็ออกมาหาข้าวกิน คาดหวังในระดับนึงเพราะหลายคนบอกว่าอาหารจอร์เจียอร่อย

Laila café คือร้านแรกสำหรับมื้อแรกแบบจัดเต็มของเราที่จอร์เจีย สั่งมามั่วๆ 4 อย่าง คือ Kubdari, Chvishtari เห็ดชีส แล้วก็อะไรไม่รู้อีกสองอย่าง รสชาติก็ใช้ได้ กินได้แต่ก็ยังไม่ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่นัก ก็เลยรีบกินรีบกลับมานอนเอาแรง เป็นวันที่เหนื่อยมากกกกกก
April 16 : Mestia - (Ushguli)

ที่จริงวันนี้ตามแผนแล้วเราต้องไปที่เมือง Ushguli แต่ด้วยความที่เมื่อวันก่อนนั่งเครื่องบินจากไทย เมื่อวานนั่งรถทางไกลมาถึงเมสเตีย พลังงานหมดแล้วหมดอีก เพื่อนก็อ้วกมาตลอดทาง (ดีที่เตรียมถุงมาด้วย 5555) เหนื่อยมากๆจริงๆ วันนี้เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนเพราะคงนั่งรถไป Ushguli ไม่ไหว (เพื่อนน่าจะอ้วกอีกรอบ) เราเลยเปลี่ยนแผนเป็นเที่ยวในเมสเตียแทน

เริ่มจากอาหารเช้าวันนี้ที่ทางโรงแรมมีให้ก็จอร์เจี้ยนสไตล์สุดๆ อร่อยดีโดยเฉพาะไข่ต้มกับไส้กรอก 555

เราเริ่มจากสกีรีสอร์ท Hatsvali ski แต่มันปิด (เดินขึ้นไปเหนื่อยมาก ดีนะถามคนที่เดินสวนลงมาก่อน) เลยต้องเดินกลับลงมา แล้วก็เปลี่ยนแผนไปที่ Chalaadi glacier กันแทน คนแถวนั้นก็แนะนำว่าดี ว่าสวย และอยู่ใกล้ๆเอง เช่ารถไปประมาณ 8 กิโล แล้วก็เดินขึ้นเขาไปอีกราวๆ 2 กิโล

เราเลยเดินมาแถวๆ Mestia tourism information centre เพื่อหาเช่ารถไป Chalaadi glacier ก็มาเจอคุณลุงรถเช่าเข้ามาคุยด้วยพอดี เราก็คุยๆไป ตอนแรกลุงบอกราคา 100 GEL ต่อไปต่อมาเหลือ 60 GEL (ไปกัน 3 คนในวันนั้น ก็คนละ 20 GEL) จริงๆถ้าต่ออีกก็น่าจะได้แต่เห็นว่าหารลงตัวแล้วเลยตกลง

คุณลุงจะไปส่งเราไว้ที่เชิงเขาและรอรับเรากลับ แค่ไปถึงตรงเชิงเขาก็ว้าวแล้วจ้า มีหิมะปกคลุมตั้งแต่ด้านล่างแล้ว

อากาศวันนั้นก็ครึ้มๆ กลัวมาก กลัวฝนตก ถ้าตกก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน Chalaadi glacier เป็นเหมือนธารน้ำที่ไหลลงมาจากยอดเขา ดังนั้นเราต้องเดินลัดเลาะลำธารขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆเลยในช่วงที่มีหิมะปกคลุม เพราะว่าตลอดทางที่เดินเป็นเหมือนหิมะที่ตกลงมาทับๆกัน ทำให้มองไม่รู้เลยจริงๆว่าด้านล่างเป็นโพรงรึเปล่า และทางก็ค่อนข้างชัน

พยายามเดินตามรอยเท้าที่มีคนเดินเข้าไว้ ซึ่งเราก็พยายามแล้วนะ แต่ก็มีหิมะทรุดลงไปเหมือนกัน ตกใจมาก มีอยู่ครั้งนึงขาซ้ายตกลงไปทั้งขาเลย แต่มันเป็นโพรงเลยไม่เจ็บไม่เปียก


ขาเดินขึ้นเขาไปฟ้าก็ครึ้มๆมีเมฆปกคลุม อากาศไม่หนาวอย่างที่คิด อาจจะเพราะว่าเดินขึ้นไปจนเหนื่อย และตื่นเต้นกับความสวยงามอยู่ จนไปถึงบนเขาก็ถ่ายรูป ชื่นชมความงามอยู่พักใหญ่

แล้วแดดก็เริ่มออก ซึ่งพอแดดออกมันทำให้หน้าของหิมะที่ฟูๆปุยๆในตอนเช้านั้นเริ่มละลายเบาๆ ทำให้ลื่นหนักมาก ลื่นสุดๆ เดินไปลื่นไป ลื่นอยู่คนเดียว ลื่นจนเหนื่อย (ทำไมเพื่อนๆไม่ลื่นก็ไม่รู้ น่าจะเป็นอาการเข่าทรุดส่วนบุคคล 5555) บางจุดที่ชันๆนี่ถึงกับต้องสไลด์ลงไปเลยจ้า เดินลงไปไม่ได้จริงๆ ดีที่มีเพื่อนช่วยจับเอาไว้ด้วย ไม่งั้นคงไถลท่าฟรีสไตล์ลงไปในลำธาร นี่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไงถ้าตกลงไปจริงๆ 5555
ตอนขึ้นไปเดินสวนกับหนุ่มเกาหลี 2 คน เขาบอกว่าสบายๆไปกลับแค่ 2 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงของเรานั้น เราใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมง พักเหนื่อย+ถ่ายรูปตลอดทาง ไหนจะลื่นอีก เลยใช้เวลานานเลยงานนี้

กลับลงมาคุณลุงก็รอรับกลับไปส่งที่โรงแรม แอบสงสารคุณลุงรอนาน และถึงจะเลอะเทอะขนาดไหน แต่วิวสวยมากๆ เลยต้องขอแวะถ่ายรูประหว่างทาง

ในส่วนมื้อเย็นของวันนี้ เราไปกันที่ร้านดังประจำถิ่นตามที่เพื่อนแนะนำมาชื่อ Sunseti เมนูก็จิ้มมั่วๆมาสองอย่าง แล้วก็ถือโอกาสลองอาหารขึ้นชื่อของจอร์เจีย Khinkali (คินคาลี่ เป็นเกี๊ยวที่มีไส้เนื้ออยู่ด้านใน หลายๆคนบอกว่ามันคือเสี่ยวหลงเปา) ซึ่งก็อร่อยสมคำล่ำลือ กินเกลี้ยงทุกส่วนค่ะ และที่พลาดไม่ได้อีกอย่างก็คือไวน์ ปกติเป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์พอได้ลองแล้วยังแอบติดใจทั้งรสชาติและราคา (ถูกมาก)
[CR] รีวิวเที่ยวจอร์เจีย-ตุรกี : โซซัดโซเซไปแดนคอเคซัส ฟินจัดทิวลิปที่อิสตันบูล (Georgia-Turkey : Spring 2019)
ทริปนี้คิดมานานมากกกกกก แต่ก็มาจองตั๋วด้วยเวลากระชั้นชิดมากเช่นกัน เพราะอยากจะอยู่เที่ยวนานๆ แต่ว่าตกลงเรื่องวันลากับหัวหน้าไม่ได้ เลยได้มาเท่านี้จริงๆ เริ่มมาจากเม้ามอยกับเพื่อนว่าอยากไปเที่ยวไกลๆช่วงหยุดยาว ธรรมชาติสวยๆ ฟรีวีซ่า ทุกอย่างเลยมาจบลงที่จอร์เจีย (ฟรีวีซ่าตั้ง 365 วัน) ซึ่งก็มองหาตั๋วของหลายๆสายการบิน เห็นตั๋ว BKK – TBS มาตั้งแต่หมื่นกลางๆปลายๆ จนในที่สุดราคาตั๋วก็พุ่ง เราเลยปรับเปลี่ยนเส้นทางกันนิดหน่อย สรุปว่าไปลงกันที่ TBS (จอร์เจีย) แล้วกลับจาก IST (ตุรกี) เพราะรู้มาว่าช่วงเดือน เม.ย. ที่อิสตันบูลจะมีงานเทศกาลดอกทิวลิป ก็เลยขอเที่ยวอิสตันบูลด้วยเลย ทางเราเลือก Gulf Air เพราะว่าวันเดินทางและราคาดีที่สุดแล้วในตอนนั้น
แผนคร่าวๆ
April 14 : Bangkok - Tbilisi
April 15 : Tbilisi - Mestia
April 16 : Mestia - (Ushguli)
April 17 : Mestia – (Kutaisi) - Tbilisi
April 18 : Tbilisi
April 19 : Tbilisi - Istanbul
April 20 : Istanbul
April 21 : Istanbul
April 22 : Istanbul – Bangkok
รายละเอียดค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ต่อคน
- ค่าตั๋วเครื่องบิน (Gulf Air) 22,360
- ค่าตั๋วเครื่องบิน (Pegasus) 2,598
- โรงแรม Mestia 1,080 (2 คืน)
- โรงแรม Tbilisi 2,158 (2 คืน)
- โรงแรม Istanbul 1,805 (2 คืน)
- Travel insurance 751
- แลกเงินสำหรับใช้จ่ายทั้ง 2 ประเทศ 10,000
รวม 40,752 บาท
ปล.เงินที่แลกไปใช้ไม่หมด กินอยู่และเดินทางแบบสบายๆ แต่ถ้าได้ตั๋วเครื่องบินโปรดีๆ ก็จะถูกลง และดียิ่งขึ้นไปอีก
ปล2.เขียนกระทู้ครั้งแรก ถูกผิดยังไงช่วยชี้แนะด้วยนะคะ ;)
April 14 : Bangkok - Tbilisi
เราเดินทางมาถึงสุวรรณภูมิ พอดีๆกับเวลาเค้าเตอร์เปิด เลยมีเวลาเดินเล่นเรื่อยเปื่อย พอขึ้นเครื่องแล้วก็หลับๆตื่นๆ ตื่นมากิน แล้วก็นอนยาวๆไป ตื่นอีกทีก็ถึงสนามบินบาห์เรน ต่อเครื่องกันสนุกสนาน ไฟล์ทดีเลย์ไปนิดหน่อย พอมาไฟล์ทไปทบิลิซิก็ตาสว่างเพราะคนที่นั่งเยื้องๆกันหล่อมาก 55555
April 15 : Tbilisi – Mestia
มาถึงทบิลิซิก็หกโมงกว่าๆ ฟ้าสลัวๆ ก่อนเครื่องแลนด์มองลงมาก็ร้องว้าววว.......ทำไมแถวนี้ไม่มีอะไรเลย บ้านคนก็ไม่มี 555
ผ่านด่าน ตม. ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ถือพาสปอร์ตไทยเดินเข้าจอร์เจียไปเลย อยู่ได้ 365 วัน
รับกระเป๋าเรียบร้อยต่อมาก็เป็นเรื่องแลกเงิน ในสนามบินก็มีหลายเค้าเตอร์ เลือกได้ตามสะดวก แต่ถ้าอยู่มาอยู่ไปเงินไม่พออยากแลกเพิ่ม คนจอร์เจียแนะนำมาว่าให้ไปที่ร้าน Rico credit มีหลายสาขากระจายๆอยู่ทั้งใน ทบิลิซิ และตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆอย่าง คูทายสิ กับ บาทูมี เราเตรียมเป็นเงินยูโรไปแล้วไปแลกเงินลารีที่จอร์เจีย (ค่าเงินช่วง เม.ย. 2019 ประมาณ 1 GEL = 12 THB)
แลกเงินแล้วก็ซื้อซิมการ์ด จริงๆแล้วมีให้เลือกหลายเจ้าอยู่ และเราก็เลือกใช้ Beeline (internet 8 GB + 10 mins call) ราคา 17 Gel (204 บาท) คุณภาพก็โอเคดีเลย เน็ตลื่นปรื้ดๆอยู่ในหุบเขาที่เมสเตียก็ยังแรงอยู่ จริงๆถ้าไม่เอาโทรก็มีที่ถูกกว่านี้ด้วย แต่ว่าเราเผื่อเอาไว้โทรเรียกแท็กซี่ หรือโทรหาโรงแรมเลยซื้อโทรไว้ด้วย ซึ่งก็ได้โทรจริงๆ เมื่อเงินพร้อม เน็ตพร้อมก็ออกจากสนามบินได้ แพลนแรกของเราวันนี้คือไปขึ้นเครื่องบินเล็กของ Vanilla sky ไปที่เมสเตีย ซึ่งสนามบิน Natakhtari นี้อยู่ห่างจากสนามบินทบิลิซิออกไปประมาณ 1 ชั่วโมง เรียกแท็กซี่จากแอพ Bolt เลยค่ะนาทีนั้น เน้นสบาย 555
และเราก็มาถึงสนามบิน Natakhtari ประมาณ 8 โมง สำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปเมสเตีย การใช้บริการเครื่องบินเล็กของ Vanilla sky นั้นถือว่าคุ้มค่ามากจริงๆ เพราะถ้าเดินทางโดยรถต้องใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าเครื่องบินเล็กนี้ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ราคาต่อคนก็ 90 GEL (1,080 บาท) เดินเล่น นั่งเล่น นอนเล่น ถ่ายรูปเล่น รอไปแถวๆนั้น เพราะเวลาออกของเครื่องบินคือ 10 โมง ซึ่งตอนนั้นเราลุ้นกันมากๆว่าแต้มบุญของเรานั้นจะเพียงพอให้ได้ขึ้นเครื่องบินเล็กรึเปล่า เพราะพยากรณ์อากาศบอกว่าเมสเตียมีฝนมา 2 วันก่อนที่เราจะไปถึง และในวันนั้นก็มีเมฆปกคลุมเยอะ ได้แต่ลุ้นขอให้ได้บินค่ะงานนี้ ก็รอๆๆๆไปเรื่อยๆรอจนประมาณ 11 โมง เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่าวันนี้เครื่องขึ้นไม่ได้ เดี๋ยวจะทำเรื่องคืนเงินให้ เศร้ามากกกกก ฝันสลาย ช็อค...... แล้วทาง Vanilla sky ก็มาแนะนำว่าจะช่วยเรียกรถบัสสำหรับเหมาไปที่เมสเตียให้ ก็ถามผู้ร่วมชะตากรรมสิบกว่าคน สุดท้ายก็มีผู้ร่วมทางทั้งหมด 7 คน ที่ไปเมสเตียด้วยกันกับรถบัสนี้ ค่าเหมารถเที่ยวละ 900 GEL (เฉลี่ยแล้วคนละประมาณ 129 GEL แอบน้ำตาซึม แพงกว่านั่งเครื่องบินไปอีก แต่เราต้องสู้ เพราะได้เตรียมทุกอย่างไว้ที่เมสเตียหมดแล้ว จริงๆก็คิดไว้แต่แรกแล้วว่าถ้าไม่ได้บินจะทำยังไง ทำใจมาแล้วบางส่วน ก็เลยตกลงไปกับรถบัสนี้ สำหรับใครที่ตั้งใจจะบินไปเมสเตียก็ขอให้เผื่อใจไว้ด้วยนะคะ ในวันที่แต้มบุญยังไม่ถึง....ก็อาจจะไม่ได้บิน ㅠㅠ)
ระหว่างทางก็ดูวิวเมืองสลับกับภูเขาและทุ่งหญ้าไปเพลินๆเลยจ้า 8 ชั่วโมง ลุงคนขับก็แวะร้านค้ากับห้องน้ำให้เป็นระยะๆ
เจอวิวสวยๆอยากแวะถ่ายรูปก็บอกได้ตลอด สำหรับระยะทางขึ้นเขานั้นโหดมาก มีความสลับซับซ้อนระยะทางที่ขับวนไปวนมาบนเขานั้นก็ราวๆ 3 ชั่วโมง ขึ้นมาบนเขาแล้วยิ่งครึ้มๆเข้าไปอีก ฉะนั้นเตรียมไปเลยค่ะ ยาดม ยาลม ยาหม่อง ใครที่ร่างกายไม่พร้อม มีประวัติการเมารถ เมาเรือ ได้ใช้แน่นอน และแล้ววันที่ยาวนานก็จบลงถึงโรงแรมราวๆ 2 ทุ่ม เพื่อนอ้วกบนรถไป 3 รอบ
โรงแรมวันนี้ก็ดีงาม Hotel Svaneti วิวจากห้องนอนสวยมากๆ เพื่อนชอบตั้งแต่ตอนที่เห็นในรูปในเวป booking ว่าวิวสวยและที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย ตอนที่ไปถึงก็เริ่มมืดแล้ว ประกอบกับบรรยากาศครึ้มๆ เลยเห็นยอดเขาไม่ชัด หลังจากเช็คอินเรียบร้อยก็ออกมาหาข้าวกิน คาดหวังในระดับนึงเพราะหลายคนบอกว่าอาหารจอร์เจียอร่อย
Laila café คือร้านแรกสำหรับมื้อแรกแบบจัดเต็มของเราที่จอร์เจีย สั่งมามั่วๆ 4 อย่าง คือ Kubdari, Chvishtari เห็ดชีส แล้วก็อะไรไม่รู้อีกสองอย่าง รสชาติก็ใช้ได้ กินได้แต่ก็ยังไม่ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่นัก ก็เลยรีบกินรีบกลับมานอนเอาแรง เป็นวันที่เหนื่อยมากกกกกก
April 16 : Mestia - (Ushguli)
ที่จริงวันนี้ตามแผนแล้วเราต้องไปที่เมือง Ushguli แต่ด้วยความที่เมื่อวันก่อนนั่งเครื่องบินจากไทย เมื่อวานนั่งรถทางไกลมาถึงเมสเตีย พลังงานหมดแล้วหมดอีก เพื่อนก็อ้วกมาตลอดทาง (ดีที่เตรียมถุงมาด้วย 5555) เหนื่อยมากๆจริงๆ วันนี้เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนเพราะคงนั่งรถไป Ushguli ไม่ไหว (เพื่อนน่าจะอ้วกอีกรอบ) เราเลยเปลี่ยนแผนเป็นเที่ยวในเมสเตียแทน
เริ่มจากอาหารเช้าวันนี้ที่ทางโรงแรมมีให้ก็จอร์เจี้ยนสไตล์สุดๆ อร่อยดีโดยเฉพาะไข่ต้มกับไส้กรอก 555
เราเริ่มจากสกีรีสอร์ท Hatsvali ski แต่มันปิด (เดินขึ้นไปเหนื่อยมาก ดีนะถามคนที่เดินสวนลงมาก่อน) เลยต้องเดินกลับลงมา แล้วก็เปลี่ยนแผนไปที่ Chalaadi glacier กันแทน คนแถวนั้นก็แนะนำว่าดี ว่าสวย และอยู่ใกล้ๆเอง เช่ารถไปประมาณ 8 กิโล แล้วก็เดินขึ้นเขาไปอีกราวๆ 2 กิโล
เราเลยเดินมาแถวๆ Mestia tourism information centre เพื่อหาเช่ารถไป Chalaadi glacier ก็มาเจอคุณลุงรถเช่าเข้ามาคุยด้วยพอดี เราก็คุยๆไป ตอนแรกลุงบอกราคา 100 GEL ต่อไปต่อมาเหลือ 60 GEL (ไปกัน 3 คนในวันนั้น ก็คนละ 20 GEL) จริงๆถ้าต่ออีกก็น่าจะได้แต่เห็นว่าหารลงตัวแล้วเลยตกลง
คุณลุงจะไปส่งเราไว้ที่เชิงเขาและรอรับเรากลับ แค่ไปถึงตรงเชิงเขาก็ว้าวแล้วจ้า มีหิมะปกคลุมตั้งแต่ด้านล่างแล้ว
อากาศวันนั้นก็ครึ้มๆ กลัวมาก กลัวฝนตก ถ้าตกก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน Chalaadi glacier เป็นเหมือนธารน้ำที่ไหลลงมาจากยอดเขา ดังนั้นเราต้องเดินลัดเลาะลำธารขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆเลยในช่วงที่มีหิมะปกคลุม เพราะว่าตลอดทางที่เดินเป็นเหมือนหิมะที่ตกลงมาทับๆกัน ทำให้มองไม่รู้เลยจริงๆว่าด้านล่างเป็นโพรงรึเปล่า และทางก็ค่อนข้างชัน
พยายามเดินตามรอยเท้าที่มีคนเดินเข้าไว้ ซึ่งเราก็พยายามแล้วนะ แต่ก็มีหิมะทรุดลงไปเหมือนกัน ตกใจมาก มีอยู่ครั้งนึงขาซ้ายตกลงไปทั้งขาเลย แต่มันเป็นโพรงเลยไม่เจ็บไม่เปียก
ขาเดินขึ้นเขาไปฟ้าก็ครึ้มๆมีเมฆปกคลุม อากาศไม่หนาวอย่างที่คิด อาจจะเพราะว่าเดินขึ้นไปจนเหนื่อย และตื่นเต้นกับความสวยงามอยู่ จนไปถึงบนเขาก็ถ่ายรูป ชื่นชมความงามอยู่พักใหญ่
แล้วแดดก็เริ่มออก ซึ่งพอแดดออกมันทำให้หน้าของหิมะที่ฟูๆปุยๆในตอนเช้านั้นเริ่มละลายเบาๆ ทำให้ลื่นหนักมาก ลื่นสุดๆ เดินไปลื่นไป ลื่นอยู่คนเดียว ลื่นจนเหนื่อย (ทำไมเพื่อนๆไม่ลื่นก็ไม่รู้ น่าจะเป็นอาการเข่าทรุดส่วนบุคคล 5555) บางจุดที่ชันๆนี่ถึงกับต้องสไลด์ลงไปเลยจ้า เดินลงไปไม่ได้จริงๆ ดีที่มีเพื่อนช่วยจับเอาไว้ด้วย ไม่งั้นคงไถลท่าฟรีสไตล์ลงไปในลำธาร นี่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไงถ้าตกลงไปจริงๆ 5555
ตอนขึ้นไปเดินสวนกับหนุ่มเกาหลี 2 คน เขาบอกว่าสบายๆไปกลับแค่ 2 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงของเรานั้น เราใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมง พักเหนื่อย+ถ่ายรูปตลอดทาง ไหนจะลื่นอีก เลยใช้เวลานานเลยงานนี้
กลับลงมาคุณลุงก็รอรับกลับไปส่งที่โรงแรม แอบสงสารคุณลุงรอนาน และถึงจะเลอะเทอะขนาดไหน แต่วิวสวยมากๆ เลยต้องขอแวะถ่ายรูประหว่างทาง
ในส่วนมื้อเย็นของวันนี้ เราไปกันที่ร้านดังประจำถิ่นตามที่เพื่อนแนะนำมาชื่อ Sunseti เมนูก็จิ้มมั่วๆมาสองอย่าง แล้วก็ถือโอกาสลองอาหารขึ้นชื่อของจอร์เจีย Khinkali (คินคาลี่ เป็นเกี๊ยวที่มีไส้เนื้ออยู่ด้านใน หลายๆคนบอกว่ามันคือเสี่ยวหลงเปา) ซึ่งก็อร่อยสมคำล่ำลือ กินเกลี้ยงทุกส่วนค่ะ และที่พลาดไม่ได้อีกอย่างก็คือไวน์ ปกติเป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์พอได้ลองแล้วยังแอบติดใจทั้งรสชาติและราคา (ถูกมาก)