สัญญาจากคลอง

ต้นกล้าอกหัก ช้ำรักจากแฟนสาวที่คบซ้อน อยู่ดีๆสาวเจ้าก็แจกการ์ดประกาศแต่งงานกับผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้ว่าไปรักกันนมนานตั้งแต่เมื่อไหร่ 

เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชายหนุ่มต้องลาพักร้อนหนีหน้า แน่ล่ะ ทุกคนเข้าข้างเห็นใจไก่อ่อนอย่างเขาทั้งนั้นที่ไปหลงรักผู้หญิงผิดคน แต่ความสงสารมันตามมากับความสมเพชที่ชายหนุ่มเคยไปทุ่มเทอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วย

ถ้ายังอยู่กับสังคมแบบเดิม ต้นกล้าต้องทนตอบคำถามที่ตัวเขาเองก็หยั่งรู้ไม่ถึง ว่าทำไมอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน  ชายหนุ่มเติบโตมากับวิถีชีวิตที่มุ่งมั่น ไฝ่เรียน จริงจัง เพียรพยายามจนมาถึงจุดที่ได้ทำงานในบริษัทที่มั่นคงแห่งหนึ่ง

และได้มาพบกับสาวหน้าใส หุ่นแน่นสมส่วน ที่ควรจะเป็นก็เป็นไปตามจินตนาการของผู้ชายทั้งหลาย

เขาคิดเอาเองอย่างซื่อๆว่า ได้มาพบรักแรกและรักสุดท้ายในชีวิตเข้าแล้ว เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาติดต่อ ให้ไปดูคอมพิวเตอร์ในแผนกที่หล่อนใช้งานอยู่ซี่งใช้งานมีปัญหา ท่าทีนั้นปฎิบัติต่อเขาดุจดังเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ความรักของเขาแตกหน่อ ผลิใบออกตอนนั้น เริ่มต้นจากการแลกเปลี่ยนชื่อและเบอร์โทรศัพท์  นัดไปกินอาหารง่ายๆใกล้ที่ทำงาน จนกระทั่งดินเนอร์สุดหรูสองต่อสองหลังตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน

ต้นกล้าเป็นชายหนุ่มที่ไร้มารยาและกลเม็ดเด็ดพรายทั้งปวง เมื่อคิดว่ารักก็รัก ถ้าหากรักนั้นต้องการอะไรอีก เขาก็แสวงหาให้ได้

จวบจนเมื่อจีบติดได้ขึ้นใช้สรรพนามว่าแฟนกับผู้หญิงคนนั้นได้ ต้นกล้าก็ถวายเงินเดือนเกือบจะทั้งหมดเพื่อสนองคำว่ารักแท้ แม้กระทั่งผ่อนรถยนต์ให้เธอใช้เพื่อความสะดวก

สังคมรอบข้างก็ล้วนแล้วแต่ฉาบฉวยด้วยมายา หลายคนรู้เช่นเห็นชาติฝ่ายหญิงดี. แต่เก็บงำไว้ไม่พูด ไม่เตือน ต่อหน้าทำเป็นยกยอส่งเสริมว่าเขาและเธอช่างเหมาะสมกันโดยแท้ แต่ในใจเฝ้ารอดูความพังพินาศของชีวิตชายหนุ่ม เนื่องด้วยอิจฉาในฐานะการงานที่มาแรงเหลือเกิน

ตรงหน้ากระจกในห้องโรงแรมชายทะเล ต้นกล้าไม่อยากสบตากับคนหน้าเศร้าในภาพสะท้อนเพราะเขาไม่อยากมองหน้าคนโง่เง่าเต่าตุ่นให้ระคายใจ

เขาแค่ตรวจตราความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่นุ่งใส่เท่านั้น ไม่อยากกลัดกระดุมผิดเม็ดหรือ
ลืมรูดซิปกางเกงให้เป็นที่อับอายต่อธารกำนัลอีก

เขาเดินออกไปตรงระเบียงห้องพักชั้นที่สี่ มองไปทางชายหาดด้วยอารมณ์ว่างเปล่า ไม่ได้มีกะจิตกะใจชื่นชมธรรมชาติใดๆทั้งสิ้น 

แต่วันนี้ลมแรง ซู่ซ่า ทิวยอดไม้ที่ปลูกรอบๆโรงแรมปลิวลู่ลม พยับเมฆฝนลอยคล้อยมาแต่ไกล  พายุฝนกำลังเข้านั้นเป็นสาเหตุว่าทำไม่หาดทรายขาวเกลี้ยงนั้นจึงรกร้างปราศจากผู้คนในเวลานั้น

จะว่าไร้ผู้คนโดยสิ้นเชิงเลยก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเมื่อเบนสายตาไปยังช่วงชายหาดแคบๆจากเหล่าต้นไม้ที่ขึ้นถัดมาจากชายฝั่งเพียงเล็กน้อย จากจุดสูงของชั้นที่อยู่ ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งเล่นบนโขดหินที่เยื้องลงไปในทะเลเพียงลำพัง

ต้นกล้าอาจจะมองผ่านไปโดยไม่สนใจเลยก็ได้ ถ้าหากว่าผ้าพันคอของเธอไม่เผอิญปลิวหลุดละลิ่วมาติดยอดเรือน ของบรรดาพันธุ์ไม้ที่ขึ้นชายฝั่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีลำต้นคดงอด้วยแรงลมทะเลดัดยอดจรดโคน

ดูเหมือนเธอไม่สนใจแม้แต่จะเหลือบมอง ต้นกล้ามองเห็นตำแหน่งกิ่งไม้ที่ผ้าพันคอถูกลมพัดมาติด แต่เมื่อขยับสายตามองไปที่หินใหญ่ก้อนเรียบนั้นอีกครั้ง ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็หายไป

“เธอคงกำลังตามหาผ้าพันคอผืนนี้อยู่ “ต้นกล้าคิดในใจ ขณะจะหันหลังหนีไม่อยากเก็บมาใส่สมองให้วุ่นวาย แต่อยู่ความคิดผิดชอบชั่วดีก็กระตุ้นเขาให้เดินออกจากห้องลงลิฟต์

“เอาเถอะ เราไม่รู้หรอกว่าของธรรมดาในสายตาเราอาจมีค่าในความรู้สึกคนอื่นมากแค่ไหน” ต้นกล้าบอกตัวเองมาตลอดทาง ลืมเรื่องหม่นหมองของตัวเองไปชั่วขณะ และเมื่อเขาออกมาภายนอกอาคาร สายลมทะเลยามชิงพลบก็ปะทะตัวจนสั่นสะท้าน 

ชายหนุ่มห่อตัวสั่นเล็กน้อยเพราะยังไม่ชิน แต่ก็เห็นผ้าผืนนั้นเกี่ยวกิ่งไม้อยู่ไม่ไกล เขาเอื้อมมือไปเก็บมาอย่างง่ายดาย พอสัมผัสเนื้อผ้าก็รู้สึกว่าเหมือนกับเป็นวัตถุทอด้วยใยไหมผืนบางๆ

บรรยากาศยามโพล้เพล้ประกอบด้วยสายลมที่พัดแรง แม้กระทั่งต้นมะพร้าวสูงริมทะเลก็ยังไหวเอนในวันนี้ ราวกับพายุฝนจะเข้า

ต้นกล้ามองหาเจ้าของผ้าพันคอ เขาเดินพ้นต้นไม้ยอดติดกันเป็นแถวทิวออกไปยังหาดเสี้ยวรูปพระจันทร์โล่งตัดกับน้ำทะเลสีครามแต่ไม่พบเห็นผู้ใด แสงสุริยาหมดไปแล้ว ความมืดมะงุมมะงาหราเริ่มตกมาปกคลุมแทน

โขดหินใหญ่ชะโงกยื่นออกไปทางทะเลนั้นว่างเปล่า พื้นผิวที่ราบเรียบนั้นน่านั่งพักผ่อนชมทะเลเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มละล้าละลังอยู่พักหนึ่งพลางมองทะเลสีมรกตที่ระยิบระยับก่อนตัดสินใจหันหลังกลับ ในมือยังกำผ้าพันคอผืนนั้นตั้งใจเอาไปฝากหน้าเคาน์เตอร์โรงแรมให้เจ้าของมาตามหาเอาเอง

“ผ้าพันคอของฉันเอง ขอบคุณนะคะที่หยิบมาคืนให้” เสียงเย็นๆของสตรีผู้หนึ่งกล่าวขึ้น จากหางตาของชายหนุ่ม อยู่ดีๆเธอก็เดินออกมาจากมุมมืดที่แสงหมดไปแล้วตอนไหนก็ไม่รู้ 

ร่างของเธอเยื้องกรายออกมา บรรยายได้อย่างเดียวว่าสง่างามราวกับนางพญา ทั้งทรวดทรงและหน้าตา ที่โดดเด่นเกินหน้าเกินตาผู้หญิงคนไหน ปาก คอ จมูก คิ้ว คาง ล้วนใช่หมด จนต้นเกล้ายืนตะลึงมอง

“ผ้าพันคอคุณ “ ต้นกล้าทวนคำ คล้ายสติล่องลอยไปชั่วครู่  ยื่นผ้าพันคอให้

สตรีคนนั้นชม้อยนัยน์ตา ยืนบิดเอว องค์ ที่ล้วนแล้วแต่ยั่วยวนจนบรุษเพศล้วนเกิดกำหนัด แต่ต้นกล้าไม่มีอาการ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ใช่ชายแท้ แต่เขาคือสุภาพบุรุษ

คำว่าลูกผู้ชายไม่ได้หมายว่า ต้องถ่อย ต้องทำตัวเท่ห์ในวิธีการต่างๆที่มันไม่ถูกต้อง ลูกผู้ชายในแบบต้นกล้าคือเด็กชายที่ต้องเดินเข้าไปกอดผู้หญิงสองคนก่อนนอนทุกคืน

คนแรกนั้นคือคุณย่า และคนที่สองคือแม่ ต้นกล้าทำมาเป็นกิจวัตรจนกระทั่งคุณย่านั้นเสียไป

แต่แล้วกริยายั่วยวนทั้งหมดก็สะดุดหยุดลงเมื่อสายตาสตรีนางนั้นมองข้ามหัวไหล่ชายหนุ่มไปข้างหลัง

สตรีนางนั้นแสดงอาการตระหนกออกมาอย่างชัดเจน กล่าวเสียงสั่นๆว่า “เอาล่ะคุณเป็นคนดี อำนาจบารมีคุณสูงเกิน วิญญาณชั้นต่ำ อย่างฉันขอยอมแพ้ ตอนแรกตั้งใจจะหลอกลงทะเลจับกดน้ำเสียให้ตาย แต่ดูท่าฉันจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แถวนี้ทำลายเสียก่อน

แม่นางถึงกับมาคอยคุ้มกันให้ ฉันจะทำอะไรได้  ไปดีกว่า เสียเวลาแท้ๆ หลอกล่อให้ผู้ชายมาตายหลายศพ ไม่เคยลำบากเท่านี้ เป็นโหงพรายอยู่แถวนี้เพิ่งเคยเจอ”

ต้นกล้าขนลุกซู่  ผู้หญิงคนนั้นหันมาค้อนควัก โบกมือไล่ สายตาส่องประกาย แต่กลับมองไปข้างหลังต้นกล้าอย่างหวาดๆ

“ไปๆสะ คนอะไรเกราะแก้วเพชรคุ้มกันขนาดนี้ ใครจะมาทำอะไรคุณได้” พูดจบคุณเธอก็เดินหายวับ คำว่าหายวับหมายความตรงตัวว่าร่างกายสลายหายไปจากสายตาแบบดื้อๆ ไม่ใช่ว่าเดินไปพ้นจนลับมองไม่เห็น

ชายหนุ่มยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นสักครู่ พอรู้สึกตัวก็สยิวกายหนาวเหน็บไปทั้งตัวเมื่อเข้าใจดีแล้วว่าเพิ่งเจออะไรมาจังๆ

สิ่งที่ตอกย้ำว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ไม่ไช่เลอะเลือนไปเองคือผ้าผืนนั้น ได้กลายเป็นกาบมะพร้าวแห้งคล้ำในมือ ต้นกล้าโยนทิ้งไปไกลตัวทันทีที่เรียกสติกลับคืนมาได้ มองไปรอบๆตัวอย่างผวา

 ชายหนุ่มไม่คิดจะอยู่ในบริเวณนั้นต่อไปแม้อีกวินาทีเดียว คือไม่ได้กลัวถึงขั้นขึ้นสมอง  แต่เมื่อรู้ชัดแล้วว่าแถวนี้มีอะไรอยู่ จะทนถูกหลอกหลอนให้เสียกำลังขวัญทำไม แค่หนีอาการอกร้าวรานมาพักก็จะแย่อยู่แล้ว

มีเสียงกระแอมดังมาจากไม่ไกล ต้นกล้าแทบไม่อยากหันไปมองตามเพราะไม่รู้จะเจออะไรอีก ตั้งใจจะรีบไปให้พ้นๆจากบริเวณนั้น แต่แล้วก็มีกระแสเสียงไพเราะขัดขึ้น

“ถูกพรายแถวนี้หลอกจนขวัญหนีเลยหรือ น่าสารจริง กำลังอกหักรักคุดมาด้วย”

ชายหนุ่มชะงักเท้า เปลี่ยนใจ น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเห็นใจแต่ก็เหมือนกับเหยาะอยู่น้อยๆในที ไม่ว่าจะเป็น ภูตผีปีศาจใดต้นกล้ารู้สึกขุ่นๆในอารมณ์จนลืมกล้วอยากเจอหน้ากันสักตั้ง

หันหน้าขวับไป ภายใต้แสงสลัวเลือนลาง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีขาวแขนกุดกระโปรงยาวรัดรูปกร่อมเท้า ผิวพรรณนวล เปล่งพราวแม้อยู่ในความมืด ส่วนหน้าตานั้นมองเห็นว่าได้รูปเรียวเล็กถูกบดบังส่วนหนึ่งด้วยเรือนผมที่ดำดกหนา ปล่อยปลายสลวยตกลงเคลียต้นแขนทำให้มองเห็นองคาพยพบนใบหน้าไม่ชัด

สตรีนางนั้นยกท่อนแขนเรียวสวยขึ้นเกาะต้นมะพร้าวอย่างสบายๆ ท่าทีผ่อนคลายอารมณ์เหมือนไม่ได้ใส่ใจใยดีอะไรเป็นพิเศษ

ต้นกล้าปลุกปลอบใจพูด ตอนนั้นเริ่มรำคาญมากกว่ากลัวแล้ว
 
“คุณเป็นใคร หรือเป็น “อะไร”  คุณออกมาหลอกผมซ้ำแบบวิญญาณผู้หญิงตนเมื่อกี้หรือ ช่วงดวงตกนี่ผมถึงขนาดจะผีโดนหลอกติดๆกันเลยหรือนี้”

พูดจบชายหนุ่มรู้ตัวว่าผิดอย่างมหันต์ ลมโบยโบกจากทะเลพัดเอาเส้นผมดำสีขนนกกาน้ำสยายออก ทำให้ใบหน้างามดุจภาพวาดในวรรณคดีนั้นแย้มขึ้นมาต้องแสงชิงพลบ หญิงสาวเสยผมยาวลงไปปรกหลังอย่างไม่ตั้งใจ 

ชายหนุ่มมองตาค้างในท่าทางที่งดงามนั้น แต่พอรู้สึกตัวก็รีบปรับปรุงกริยาให้เป็นปกติ  เสียงใสๆราวกับระฆังกล่าวขึ้นอีก คราวนี้มีเหน็บเล็กน้อย

“เป็นไงค่ะ พอมองหน้าฉันเต็มตาแล้วตกใจที่โดนหลอกมากจนลืมหายใจเลยหรือเปล่า”

ต้นกล้าเหมือนมีอะไรมาจุกในลำคอ แต่ก็ฝืนตอบไปด้วยวิสัยคนซื่อ ปากกับใจตรงกัน

“ต้องขออภัยที่เสียมารยาทจ้องหน้าคุณ คุณเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ผมลืมตัวไป”

ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นแววตาคล้ายกับเนตร์หงส์คู่นั้น ฉายแววเห่งความพึงพอใจขึ้นวูบหนึ่ง แต่ก็ยังไม่วายแขวะซ้ำ

“แหมเพิ่งอกหักมามาดๆ มาชมผู้หญิงคนอื่นว่าสวยเสียแล้ว”

ต้นกล้าสะดุ้ง คนอย่างเขาไม่ชอบพูดปด จึงพูดโพล่งออกมาได้โดยไม่ต้องผ่านกลั่นกรอง ตลบแตลงใดๆ

“ผมว่าคุณสวยเพราะคุณสวยจริงครับ ส่วนคุณจะเป็นคนหรืออะไรผมไม่รู้ เอาเป็นว่าผมมองว่าคุณสวยแล้วกัน และการที่ผมชมคุณสวยไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องมีจิตปฏิพัทธ์อะไรกับคุณ ผมพูดในสิ่งที่ผมเห็นเท่านั้น”

ดวงตาหวานคมนั้นจับอยู่ที่ต้นกล้าแสดงออกว่าตั้งใจฟังเขาพูดทุกคำ แต่ชายหนุ่มกลับตะครั่นตะครอตัวอย่างไรบอกไม่ถูก

“ เอาล่ะ ผมคงไม่ถามว่าคุณรู้เรื่องราวของผมได้ยังไง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณนั้นพิเศษและเหนือธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นที่แน่นอน เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจมาหลอกผมอย่างวิญญาณเมื่อครู่ คุณมาปรากฎตัวให้ผมเห็นทำไม “

ระหว่างที่เขาพูด ต้นกล้าก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องหลบสายตาของหญิงสาวตลอด ใช่ว่าตาคู่นั้นจะดุดันน่าเกรงกลัวก็หาไม่ แต่มันทำให้ชายหนุ่มใจแกว่งๆพิกล

แถมยังมีรอยยิ้มที่เผยอให้เห็นฟันขาวเรียงรายราวกับใช่มุกสว่างขึ้นในความมืด ทำให้หัวใจชายหนุ่มหวิววาบ

“ฉันคงหลอกคุณไม่ได้หรอกค่ะ เพราะข้อแรก ฉันไม่ใช่สิ่งที่คุณเรียกว่า “ผี” แต่ฉันอาจทำให้มนุษย์ตกใจกลัวได้ถ้าปรากฎให้เห็นในอีกร่างหนึ่ง”

พอได้ยินแล้วชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลัง ไม่อยากจินตนาการต่อ เขาพูดตัดบทว่า

“คุณมีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่า ผมไปลบหลู่สถานที่ หรือทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ผมต้องขอโทษด้วย จะให้ทำพิธีขอขมาอย่างเป็นทางการก็ได้แต่คงต้องเป็นวันรุ่งขึ้น”

หญิงสาวคนนั้นยิ้มพรายแบบมีความนัย 

“คุณได้ทำพิธีแน่ค่ะ แต่ไม่ใช่พิธีขอขมา “

ชายหนุ่มรู้สึกว่าถามไปถามมาเช่นนี้ รังแต่จะเสียเวลาหรือมโนภาพไปคนละทาง สู้ถามไปตรงๆอย่างเด็ดขาดจะได้รู้เรื่อง เป็นไงก็เป็นกัน

ต้นกล้าสูดลมหายใจลึกๆ นึกถึงบุญคุณของยายที่วายชีพไปแล้ว และแม่ที่ยังอยู่ แทบกลั้นใจก่อนถาม

“คุณจะมาเอาชีวิตผมไปใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ” เสียงหวานก็จริงแต่ตอบเฉียบขาด ชายหนุ่มร่างสะท้าน แต่อาการหัวเราะที่ตามมาไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าพรั่นกลัวอย่างที่คาดหวังไว้

“ก็คุณเคยสัญญาเองว่าจะมอบชีวิตให้กับฉัน” สาวสวยพูดอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดา. ต้นกล้ายิ่งมึนงงหนักขึ้น ยิ่งเค้นเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

“ผมสัญญากับคุณ อย่าบอกนะว่าชาติที่แล้วแบบในละคร ผมคงระลึกชาติไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มไพล่ไปนึกถึงละครแนวข้ามชาติ ข้ามภพ 

ตาของหญิงสาวเริ่มสีเขียวเรืองคล้ายมรกต หรืออาจจะเป็นเพราะว่าตาฝาดไปเองในระยะมองเห็น

“ชาตินี้แหละค่ะ แต่คุณจำไม่ได้ มนุษย์มีขีดจำกัด ฉันไม่ถือสาคุณหรอก และจะช่วยให้คุณจำได้”

นัยน์ตาสีเขียวนั้นเข้มจัดขึ้นอีก ต้นกล้าถูกสะกดให้มองประสานเขม็งเบือนหน้าไปทางอื่นไม่ได้ แล้วสติเขาก็ค่อยๆวูบลง

เขาพบตัวเองกำลังเก้ๆกังๆกับการย่างเท้าลงเรือพายท้องแบนลำหนึ่ง ซึ่งมีชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตลุ่ยๆม่อซ่อเป็นคนพายแต่ทว่ากำลังยึดท่าน้ำให้เขาลงเรือสะดวก 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่