นั่งสมาธิ ขาชาจนไม่รู้สึกว่ามีขา กระดิกนิ้วเท้าไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่านิ้วอยู่ตรงไหน อาการชาเปลี่ยนเป็นอาการปวด ปวดค่อยๆเพิ่มความรุนแรงใหญ่ขึ้นๆ ในขณะนั้นมี 1.จิตใจที่ไม่มีความรู้สึกใดๆเลย นิ่งๆเฉยๆอยู่ และมีกำลัง 2. ขาที่หายไปแต่รู้ว่ามีปวดอยู่บริเวณนั้น 3.ผู้ปฏิบัติ ที่มีความสงสัย และพยายามมองหาคำตอบ
สงสัยว่า ใจไม่ปวดแล้วทำไมยังรู้สึกมีความทุกข์อยู่ ยังรับความปวดมาอยู่ เป็นปกติ แล้วตรงไหนล่ะที่ทำให้ทุกข์ให้ปวด เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงปักจิตลงไป และกำหนดตรงที่ปวด สักครู่จึงเห็นได้ว่า มีสิ่งหนึ่งแยกตัวออกมาจากจิตที่นิ่งเฉยนั้น แต่แยกออกมาไม่ขาด เหมือนทับซ้อนอยู่กับจิตนิ่งๆอันนั้น แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติปวดได้ เมื่อยังปวดก็ยังมีทุกข์อยู่
การทำงานของสิ่งนี้คล้ายๆ เรากำลูกยางไว้ในมือ เมื่อสิ่งนี้บีบลูกยาง ขาก็จะปวดมากขึ้นขยายใหญ่ขึ้นตามแรงบีบ ทุกข์ก็มากขึ้นตามกำลังบีบ แต่เมื่อบีบสุดกำลังแล้ว ก็คลายออก ปวดก็ลดเล็กลงตามแรงคลายนั้น จนหายไปในที่สุด แล้วเริ่มเป็นปวดในรูปแบบใหม่กับขาอันเดิมอีกครั้ง
ถามว่า
1. สิ่งที่ทับซ้อน และแยกตัวออกมาจากจิตนั้นคืออะไร
2. ทั้งหมดที่เล่ามา ช่วงไหนเป็นจิตมีกุศล ช่วงไหนเป็นจิตมีอกุศล หรือช่วงไหนเป็นกลางไม่มีกุศลและอกุศล
กุศล อกุศล หรือเป็นกลาง
สงสัยว่า ใจไม่ปวดแล้วทำไมยังรู้สึกมีความทุกข์อยู่ ยังรับความปวดมาอยู่ เป็นปกติ แล้วตรงไหนล่ะที่ทำให้ทุกข์ให้ปวด เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงปักจิตลงไป และกำหนดตรงที่ปวด สักครู่จึงเห็นได้ว่า มีสิ่งหนึ่งแยกตัวออกมาจากจิตที่นิ่งเฉยนั้น แต่แยกออกมาไม่ขาด เหมือนทับซ้อนอยู่กับจิตนิ่งๆอันนั้น แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติปวดได้ เมื่อยังปวดก็ยังมีทุกข์อยู่
การทำงานของสิ่งนี้คล้ายๆ เรากำลูกยางไว้ในมือ เมื่อสิ่งนี้บีบลูกยาง ขาก็จะปวดมากขึ้นขยายใหญ่ขึ้นตามแรงบีบ ทุกข์ก็มากขึ้นตามกำลังบีบ แต่เมื่อบีบสุดกำลังแล้ว ก็คลายออก ปวดก็ลดเล็กลงตามแรงคลายนั้น จนหายไปในที่สุด แล้วเริ่มเป็นปวดในรูปแบบใหม่กับขาอันเดิมอีกครั้ง
ถามว่า
1. สิ่งที่ทับซ้อน และแยกตัวออกมาจากจิตนั้นคืออะไร
2. ทั้งหมดที่เล่ามา ช่วงไหนเป็นจิตมีกุศล ช่วงไหนเป็นจิตมีอกุศล หรือช่วงไหนเป็นกลางไม่มีกุศลและอกุศล