ชิม ช้อป ใช้ ผมว่าเป็นแคมเปญที่ถ้าให้คะแนนในแง่ Marketing Campaign เต็ม 10 ผมให้ 10
ทำไมนะเหรอครับ
ง่ายๆจากสิ่งที่เห็นตั้งแต่วันที่เปิดโครงการ จนวันนี้ มาไล่เลียงผ่านสายตาผมนะ
สัปดาห์แรกที่ผมได้เห็นผ่านช่องข่าวถึงการทำโปรโมท รายการ ชิม ช้อป ใช้ ช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน 2562
รัฐบาลตั้งเป้าไว้ให้ร้านค้าร่วมรายการเท่าไรไม่รู้ แต่มีร้านค้าเข้าร่วมตอนนั้น 3000 รายแค่นั้นเอง
พอออกข่าวและใกล้เวลาลงทะเบียนเพื่อรับเงิน 1000 บาท ภายในสัปดาห์เดียว มีร้านค้าร่วมโครงการ 3หมื่นราย และเพิ่มเป็นอีกหลายหมื่นในเวลาไม่นาน
วันแรกที่เปิดลงทะเบียนผมไม่ได้สนใจ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอย่างไร ได้อะไรบ้าง แต่เริ่มอ่านๆในเว็ป แถมระบบล่มคนลงทะเบียนไม่ได้และสุดท้ายก็เต็มครบล้านคนในช่วงบ่ายแก่ๆ ท่ามกลางการนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องของแต่ละช่อง
เข้าคืนที่สองเพื่อนโทรมาถามได้ลงทะเบียนหรือยัง เข้าวันที่สอง เค้าแนะนำให้เที่ยงคืนลงทะเบียนเลย พอดีตื่นกลางดึกเลยลองเปิดเว็ปรอและลองดูว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จนเริ่มเข้าใจ
ทันทีที่เที่ยงคืนตรง ผมใส่ข้อมูลตัวเอง กดผิดถูก 3 ครั้งก็ลงทะเบียนสำเร็จ เวลาตอนนั้น เที่ยงคืน 15 นาทีของคืนที่ 2 และข้อความทางมือถือก็เข้ามาในไม่ช้า รอยืนยันจนสำเร็จ สแกนใบหน้าอีกวันต่อมาก็ได้เรียบร้อยไม่ยากเย็น
ผมไม่มีแผนจะไปใช้เงิน 1000 นี้เลยตอนแรก เพราะคิดว่าคนคงเยอะ และไม่รู้เลยว่ามีที่ไหนใกล้บ้านบ้าง (ผมอยู่ กทม ลงทะเบียนใช้ สมุทรปราการ)
สุดท้ายผ่านไป 1 สัปดาห์ก็คิดว่าจะไปใช้ ก็เลิอกที่ บิ๊กซี เมกะบางนาเพราะคิดว่าสะดวกใกล้บ้าน ไปแต่เช้าคงไม่มีคน
ไปตอนห้างเปิดวันเสาร์เช้า บอกเลยว่าพอเปิด แค่ 5 นาที แถวยาวแบบไม่รู้ปลาย แถมระบบล่มไม่สามารถใช้ได้อยู่พักใหญ่ (รุ่นน้องบอกรอ 5 ชม ถึงจะได้จ่าย)
สุดท้ายผมทิ้งเวลาไปเกือบวันสุดท้ายและมีน้องที่ออฟฟิศแนะนำให้ไปร้ายขายส่ง เป็นร้านธงฟ้าด้วย แถมคนแทบไม่มี แต่ก็มากกว่าปรกติที่เค้าขายได้ เข้าคิวอยู่ 10 คิวก็ได้ใช้ในที่สุด ใช้เวลา 25 นาทีกลับบ้านนอน
อะไรทำให้ campaign แบบนี้เป็นที่รู้จักทั่วประเทศในเวลาอันสั้น
1.การแจกเงิน1000ซึ่งเป็นสิ่งที่คนแม้จะไม่ชอบก็ต้องมีส่วนที่อยากได้อยากเอา
2.การพูดถึงอย่างไร้ขอบเขต ทั้งเสียงด่าทอจากคนที่ไม่เห็นด้วย และคนที่ต้องการเงินนี้ เพื่อใช้จ่ายในครัวเรือน อันนี้ผมรวมทั้งคนลงทะเบียน 10 ล้านคน และร้านค้าทั้งหมดที่ร่วมโครงการนะครับ ทำให้กระแสไปแบบไม่หยุด
3.ก๊อก2 wallet ที่ทั้งผู้ใช้และร้านค้าจะได้ประโยชน์จากการใช้เงินและได้คืน 15% ไม่เกิน 4500 บาท ถ้ามองเผินๆ ได้มา 1000 แล้วใช้เงินที่ต้องใช้อยู่แล้วอีก หลักหมื่น ก็ได้คืน 4500 รวมเป็น 5500 เหนาะๆ ถือว่าทำกำไรระยะสั้นแบบนี้หาได้ยาก
กลเม็ดการใช้เงินก็มีหลากหลายเช่นเอาคนใกล้ตัวโอนเงินและไปซื้อของในวงเงินที่ต้องการ และรอรับเงินคืน (ไม่ลงรายละเอียดนะครับ) แถมรัฐเลื่อนกำหนดการไปอีกจนเกือบสิ้นปี ทำให้คนมีเวลาหาเงินมาหมุนใช้เพื่อจะได้เงินก้อนนี้คืนมาใช้อีก คนก็มองว่าคุ้ม
4.ทั้ง 3 ข้อแรกทำให้คนคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีเฟส 2 ออกมาอีกที่จะช่วยให้แต่ละคนใช้จ่ายตามที่ต้องการได้ ซึ่งก็ประกาศว่าจะมีในที่สุด แต่ก็ยังรอรายละเอียดต่อไป
มามองดูจำนวนคนนะครับ
รัฐเปิดให้ลงทะเบียน 10 ล้านคน เอาจริงๆคุณคิดว่ามีคนลงทะเบียนกี่ล้านคน จนถึงวันสุดท้าย ไม่ใช่ 10 ล้านคนแน่ๆ
ร้านค้ามีเป็นหมื่นๆร้านค้าที่ร่วมรายการ ถึงแม้จะมีบางส่วนที่ไม่มีคนไปใช้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าใจโครงการนี้ดี และ 1 ร้านค้าจะมีคนที่เกี่ยวข้องกี่คน
มาดูร้านขายส่งแถวบ้านผมที่ผมไปซื้อ ผัวกับเมีย 2 คน วันๆขายเบียร์ เหล้า ได้ไม่เท่าไหร่ ผมไม่เคยเห็นคนเยอะ แต่พอมีคนมาใช้ 1000 นี้ ร้านนี้ คนมาไม่ขาดสาย คิวไม่ยาว แต่ขายได้ทั้งวัน
มีรถส่งของมาส่งของมากกว่าปรกติ ทั้งส่งของมึนเมา ของใช้ วันนึง เป็น 10 เจ้า หลายเที่ยวมาก
กลับมาบ้านผม มีคน 5 คน ผมลงทะเบียนคนเดียว คนอื่นไม่ได้สนใจ พอผมสมัครได้ 5 คนในบ้านรู้หมดว่าได้เงินมา ใช้อะไรบ้าง
เพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง 10 คน มีคนลงทะเบียนได้4 คน ก็ 40% ของคนที่ผมรู้จักรู้และมีส่วนในการแนะนำ มองหาร้านค้า
แต่ละคนทั้งคนในบ้าน และเพื่อนๆ บอกต่อกับคนในครอบครัว และเพื่อนของเพื่อนอีก ปากต่อปาก มันไม่มีจบหรอกครับ
ถ้าคิดแบบเลขกลมๆ ไม่ต้องเอามากมาย ประชากรประเทศไทย70-80 ล้านคน มี 20 ล้านคนแน่ๆแล้วที่เกี่ยวข้อง ที่เหลืออีก 50-60 ล้านคนจะไม่รู้จักโครงการนี้หรือครับ อืมมมม ผมว่าแทบจะรู้จักหมด
อันนี้ยังไม่ได้ใช้ตรรกะเป็นวิชาการ เอาแค่คิดและเห็นด้วยตาตัวเอง
การจัดโครงการนี้ แจกเงิน ซึ่งคนมองว่าไม่เกิดประโยชน์บ้างละ มองว่าเอาภาษีคนอื่นมาใช้อย่างไร้ประโยชน์บ้างละ
แถมยังบอกว่าโครงการแบบนี้เข้าถึงแต่คนมีอันจะกิน แต่ไม่เข้าคนจนแม้แต่น้อย
ผมบอกเลยว่าเข้าคนจนด้วยครับ แน่นอนไม่ได้มากขนาดนั้น แต่มีคนกลุ่มนึงที่เอา 1000 นี้ไปให้คนจน ซื้อของให้ แจกจ่ายแบ่งปัน
แล้วคนทีบอกว่าเอาภาษีไปใช้อย่างไร้ประโยชน์ เอาจริง ผมก็เห็นคนที่ได้เงินไป ซื้อแต่ของมีประโยชน์ทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะเอาไปใช้เองหรือเอาไปแจก
ของไม่มีประโยชน์ก็มีบ้าง เหล้าเบียร์ เเต่ก็เป็นส่วนน้อย
โครงการนี้ เข้าถึงแทบจะทุกกลุ่มคนในประเทศ
คนที่อยากได้เงินไว้ใช้จ่ายจับจ่าย คนจน คนมีฐานะ
คนที่เอาเงินไปแจกจ่ายเผื่อแผ่ คนที่ไม่มี
ร้านค้าที่ได้ขาย ได้รายได้จากการจับจ่าย
ร้านค้าส่งที่ส่งของขายให้ร้านค้า
ผู้ผลิต โรงงานโดยตรง เพิ่มผลผลิตระยะสั้นเห็นๆ
คนที่เกลียดโครงการและด่าทอตลอดเวลา กลับกระตุ้นให้คนยิ่งรู้จัก
ขนส่ง การเดินทาง พลังงานที่เกี่ยวข้อง
ทุกอย่างช่งเหมาะเจาะลงตัว
ผมถึงบอกว่า Campaign นี้เป็นที่รู้จักทั่วประเทศแน่นอน และมีผลให้การจับจ่ายเกิดขึ้นทุกๆส่วน ถึงจะระยะสั้นแต่ได้อานิสงค์แทบทุกส่วน กระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระดับนึงทีเดียว
ให้คะแนนเต็ม 10 ผมก็ให้ 10 ในแง่ Marketing campaign สำเร็จผลครับ
ผมไม่ได้บอกว่าโครงการนี้ดีหรือไม่ดี กับคนกลุ่มไหนบ้าง
แต่ผมมองแค่ถ้าผมอยากทำอะไรให้คนรู้แล้วผลตอบรับได้เหมือนโครงการชิมชอปใช้นี้ผมก็พอใจละ
ผมก็อยากให้เข้าถึงคนได้มากที่สุด แบบผลลัพท์ของงานนี้แหละ
ชิม ช้อป ใช้ ไร้สาระหรือได้ผล
ทำไมนะเหรอครับ
ง่ายๆจากสิ่งที่เห็นตั้งแต่วันที่เปิดโครงการ จนวันนี้ มาไล่เลียงผ่านสายตาผมนะ
สัปดาห์แรกที่ผมได้เห็นผ่านช่องข่าวถึงการทำโปรโมท รายการ ชิม ช้อป ใช้ ช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน 2562
รัฐบาลตั้งเป้าไว้ให้ร้านค้าร่วมรายการเท่าไรไม่รู้ แต่มีร้านค้าเข้าร่วมตอนนั้น 3000 รายแค่นั้นเอง
พอออกข่าวและใกล้เวลาลงทะเบียนเพื่อรับเงิน 1000 บาท ภายในสัปดาห์เดียว มีร้านค้าร่วมโครงการ 3หมื่นราย และเพิ่มเป็นอีกหลายหมื่นในเวลาไม่นาน
วันแรกที่เปิดลงทะเบียนผมไม่ได้สนใจ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอย่างไร ได้อะไรบ้าง แต่เริ่มอ่านๆในเว็ป แถมระบบล่มคนลงทะเบียนไม่ได้และสุดท้ายก็เต็มครบล้านคนในช่วงบ่ายแก่ๆ ท่ามกลางการนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องของแต่ละช่อง
เข้าคืนที่สองเพื่อนโทรมาถามได้ลงทะเบียนหรือยัง เข้าวันที่สอง เค้าแนะนำให้เที่ยงคืนลงทะเบียนเลย พอดีตื่นกลางดึกเลยลองเปิดเว็ปรอและลองดูว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จนเริ่มเข้าใจ
ทันทีที่เที่ยงคืนตรง ผมใส่ข้อมูลตัวเอง กดผิดถูก 3 ครั้งก็ลงทะเบียนสำเร็จ เวลาตอนนั้น เที่ยงคืน 15 นาทีของคืนที่ 2 และข้อความทางมือถือก็เข้ามาในไม่ช้า รอยืนยันจนสำเร็จ สแกนใบหน้าอีกวันต่อมาก็ได้เรียบร้อยไม่ยากเย็น
ผมไม่มีแผนจะไปใช้เงิน 1000 นี้เลยตอนแรก เพราะคิดว่าคนคงเยอะ และไม่รู้เลยว่ามีที่ไหนใกล้บ้านบ้าง (ผมอยู่ กทม ลงทะเบียนใช้ สมุทรปราการ)
สุดท้ายผ่านไป 1 สัปดาห์ก็คิดว่าจะไปใช้ ก็เลิอกที่ บิ๊กซี เมกะบางนาเพราะคิดว่าสะดวกใกล้บ้าน ไปแต่เช้าคงไม่มีคน
ไปตอนห้างเปิดวันเสาร์เช้า บอกเลยว่าพอเปิด แค่ 5 นาที แถวยาวแบบไม่รู้ปลาย แถมระบบล่มไม่สามารถใช้ได้อยู่พักใหญ่ (รุ่นน้องบอกรอ 5 ชม ถึงจะได้จ่าย)
สุดท้ายผมทิ้งเวลาไปเกือบวันสุดท้ายและมีน้องที่ออฟฟิศแนะนำให้ไปร้ายขายส่ง เป็นร้านธงฟ้าด้วย แถมคนแทบไม่มี แต่ก็มากกว่าปรกติที่เค้าขายได้ เข้าคิวอยู่ 10 คิวก็ได้ใช้ในที่สุด ใช้เวลา 25 นาทีกลับบ้านนอน
อะไรทำให้ campaign แบบนี้เป็นที่รู้จักทั่วประเทศในเวลาอันสั้น
1.การแจกเงิน1000ซึ่งเป็นสิ่งที่คนแม้จะไม่ชอบก็ต้องมีส่วนที่อยากได้อยากเอา
2.การพูดถึงอย่างไร้ขอบเขต ทั้งเสียงด่าทอจากคนที่ไม่เห็นด้วย และคนที่ต้องการเงินนี้ เพื่อใช้จ่ายในครัวเรือน อันนี้ผมรวมทั้งคนลงทะเบียน 10 ล้านคน และร้านค้าทั้งหมดที่ร่วมโครงการนะครับ ทำให้กระแสไปแบบไม่หยุด
3.ก๊อก2 wallet ที่ทั้งผู้ใช้และร้านค้าจะได้ประโยชน์จากการใช้เงินและได้คืน 15% ไม่เกิน 4500 บาท ถ้ามองเผินๆ ได้มา 1000 แล้วใช้เงินที่ต้องใช้อยู่แล้วอีก หลักหมื่น ก็ได้คืน 4500 รวมเป็น 5500 เหนาะๆ ถือว่าทำกำไรระยะสั้นแบบนี้หาได้ยาก
กลเม็ดการใช้เงินก็มีหลากหลายเช่นเอาคนใกล้ตัวโอนเงินและไปซื้อของในวงเงินที่ต้องการ และรอรับเงินคืน (ไม่ลงรายละเอียดนะครับ) แถมรัฐเลื่อนกำหนดการไปอีกจนเกือบสิ้นปี ทำให้คนมีเวลาหาเงินมาหมุนใช้เพื่อจะได้เงินก้อนนี้คืนมาใช้อีก คนก็มองว่าคุ้ม
4.ทั้ง 3 ข้อแรกทำให้คนคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีเฟส 2 ออกมาอีกที่จะช่วยให้แต่ละคนใช้จ่ายตามที่ต้องการได้ ซึ่งก็ประกาศว่าจะมีในที่สุด แต่ก็ยังรอรายละเอียดต่อไป
มามองดูจำนวนคนนะครับ
รัฐเปิดให้ลงทะเบียน 10 ล้านคน เอาจริงๆคุณคิดว่ามีคนลงทะเบียนกี่ล้านคน จนถึงวันสุดท้าย ไม่ใช่ 10 ล้านคนแน่ๆ
ร้านค้ามีเป็นหมื่นๆร้านค้าที่ร่วมรายการ ถึงแม้จะมีบางส่วนที่ไม่มีคนไปใช้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าใจโครงการนี้ดี และ 1 ร้านค้าจะมีคนที่เกี่ยวข้องกี่คน
มาดูร้านขายส่งแถวบ้านผมที่ผมไปซื้อ ผัวกับเมีย 2 คน วันๆขายเบียร์ เหล้า ได้ไม่เท่าไหร่ ผมไม่เคยเห็นคนเยอะ แต่พอมีคนมาใช้ 1000 นี้ ร้านนี้ คนมาไม่ขาดสาย คิวไม่ยาว แต่ขายได้ทั้งวัน
มีรถส่งของมาส่งของมากกว่าปรกติ ทั้งส่งของมึนเมา ของใช้ วันนึง เป็น 10 เจ้า หลายเที่ยวมาก
กลับมาบ้านผม มีคน 5 คน ผมลงทะเบียนคนเดียว คนอื่นไม่ได้สนใจ พอผมสมัครได้ 5 คนในบ้านรู้หมดว่าได้เงินมา ใช้อะไรบ้าง
เพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง 10 คน มีคนลงทะเบียนได้4 คน ก็ 40% ของคนที่ผมรู้จักรู้และมีส่วนในการแนะนำ มองหาร้านค้า
แต่ละคนทั้งคนในบ้าน และเพื่อนๆ บอกต่อกับคนในครอบครัว และเพื่อนของเพื่อนอีก ปากต่อปาก มันไม่มีจบหรอกครับ
ถ้าคิดแบบเลขกลมๆ ไม่ต้องเอามากมาย ประชากรประเทศไทย70-80 ล้านคน มี 20 ล้านคนแน่ๆแล้วที่เกี่ยวข้อง ที่เหลืออีก 50-60 ล้านคนจะไม่รู้จักโครงการนี้หรือครับ อืมมมม ผมว่าแทบจะรู้จักหมด
อันนี้ยังไม่ได้ใช้ตรรกะเป็นวิชาการ เอาแค่คิดและเห็นด้วยตาตัวเอง
การจัดโครงการนี้ แจกเงิน ซึ่งคนมองว่าไม่เกิดประโยชน์บ้างละ มองว่าเอาภาษีคนอื่นมาใช้อย่างไร้ประโยชน์บ้างละ
แถมยังบอกว่าโครงการแบบนี้เข้าถึงแต่คนมีอันจะกิน แต่ไม่เข้าคนจนแม้แต่น้อย
ผมบอกเลยว่าเข้าคนจนด้วยครับ แน่นอนไม่ได้มากขนาดนั้น แต่มีคนกลุ่มนึงที่เอา 1000 นี้ไปให้คนจน ซื้อของให้ แจกจ่ายแบ่งปัน
แล้วคนทีบอกว่าเอาภาษีไปใช้อย่างไร้ประโยชน์ เอาจริง ผมก็เห็นคนที่ได้เงินไป ซื้อแต่ของมีประโยชน์ทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะเอาไปใช้เองหรือเอาไปแจก
ของไม่มีประโยชน์ก็มีบ้าง เหล้าเบียร์ เเต่ก็เป็นส่วนน้อย
โครงการนี้ เข้าถึงแทบจะทุกกลุ่มคนในประเทศ
คนที่อยากได้เงินไว้ใช้จ่ายจับจ่าย คนจน คนมีฐานะ
คนที่เอาเงินไปแจกจ่ายเผื่อแผ่ คนที่ไม่มี
ร้านค้าที่ได้ขาย ได้รายได้จากการจับจ่าย
ร้านค้าส่งที่ส่งของขายให้ร้านค้า
ผู้ผลิต โรงงานโดยตรง เพิ่มผลผลิตระยะสั้นเห็นๆ
คนที่เกลียดโครงการและด่าทอตลอดเวลา กลับกระตุ้นให้คนยิ่งรู้จัก
ขนส่ง การเดินทาง พลังงานที่เกี่ยวข้อง
ทุกอย่างช่งเหมาะเจาะลงตัว
ผมถึงบอกว่า Campaign นี้เป็นที่รู้จักทั่วประเทศแน่นอน และมีผลให้การจับจ่ายเกิดขึ้นทุกๆส่วน ถึงจะระยะสั้นแต่ได้อานิสงค์แทบทุกส่วน กระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระดับนึงทีเดียว
ให้คะแนนเต็ม 10 ผมก็ให้ 10 ในแง่ Marketing campaign สำเร็จผลครับ
ผมไม่ได้บอกว่าโครงการนี้ดีหรือไม่ดี กับคนกลุ่มไหนบ้าง
แต่ผมมองแค่ถ้าผมอยากทำอะไรให้คนรู้แล้วผลตอบรับได้เหมือนโครงการชิมชอปใช้นี้ผมก็พอใจละ
ผมก็อยากให้เข้าถึงคนได้มากที่สุด แบบผลลัพท์ของงานนี้แหละ