สงครามการค้าเป็นปัจจัยลบที่สำคัญ ที่ส่งผลกระทบหนักหนาที่สุดในช่วงนี้. แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลับมีบางประเทศที่ GDP กลับเติบโตกว่าเดิม เช่นเวียดนาม. ทั้งที่ไทยควรจะมีโอกาสเท่าๆกัน แต่ GDP บ้านเรากลับถอยหลังลงคลอง. น่าจะมีปัญหาที่ถ่วงให้เราไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ อันที่สำคัญคือ หนี้ครัวเรือน. สินค้าการเกษตร ราคาตกต่ำยาวนาน. แถมกระหน่ำด้วยค่าเงินบาทแข็ง ในรอบหลายปี. ทำให้ส่งออกเดี้ยง. ท่องเที่ยวแย่ ต่างชาติหาย. เรียกว่าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใกล้ดับ. นโยบายการเงินก็ลดดอกเบี้ยแล้วยังแก้ปัญหาค่าเงินไม่ได้ แถมดอกเบี้ยก็ลดจนลดอีกได้ยากแล้ว. ใครที่มีหนี้ในช่วงนี้คงรู้ดีว่าเงินหายาก เป็นภาวะเงินฝืดก็ว่าได้. แต่กลับกันดุลการค้ากลับเป็นบวกติดต่อกันหลายไตรมาส. ครั้งนี้เป็นสถานการณ์ที่แก้ได้ยากถ้าไม่ใช้วิธีใหม่ๆ. . คราวนี้ถ้ามาตั้งโจทย์ว่า QE สามารถทำได้หรือไม่ ข้อเสียคืออะไร ข้อดีคืออะไร. แน่นอนว่าข้อเสียอันแรกถ้าบ้านเราทำQE คือความเชื่อมั่นจากในและนอกประเทศลดลงทันที. แต่ค่าเงินจะได้รับผลกระทบอ่อนค่าทันทีโดยที่ ไม่ต้องใช้มาตรการใดๆแทรกแซง. ถ้าออก QE มาแค่ 10 % ของ GDP. คือประมาณเก้าแสนล้านบาท รัฐบาลจะได้เงินมาทำเมกกะโปรเจคให้เสร็จ. ไม่ต้องพึ่งเงินกู้ต่างประเทศ. .. แถมที่จะได้อีกคือเงินเฟ้อตามมา แต่เงินเฟ้อนี้แหละเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายรอคอย ไม่ว่าจะเป็นรากหญ้า ชนชั้นกลาง. แม้แต่ระดับเจ้าสัวที่ นั่งทับกองหนี้อยู่ถ้าได้เงินเฟ้อมาช่วยจะได้มีสภาพคล่องมากขึ้น. . คือผลเสียของการทำQE นี่แหละน่าจะทำให้เกิดข้อดีในระยะต่อไป ถ้าค่าเงินอ่อนค่ามากเงินไปก็ลดวงเงินที่จะทำ QE ลงตาม แต่ถ้าพูดตามความจริงแล้วเงินบาทแข็งค่าขึ้นมามากกว่ายี่สิบเปอร์เซนตจากรอบหลายปีนี้ แล้วถ้าปล่อยไปแบบนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นอีก. และจาก คาดการ ราคาน้ำมันปีหน้าที่หลายสำนักมองว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะทรงตัวในระดับต่ำๆ ทำให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปจะตำ่เช่นกัน ถ้าไม่ทำอะไรนอกตำราคงจะหาทางออกจากปัญหาได้ยาก. สุดท้ายอยากให้เพื่อนช่วยแชร์ความเห็นที่สร้างสรรค์ หรือมีประโยชน์ไว้ประดับความรู้จะขอบคุณยิ่งครับ
QE. น่าจะเป็นหนึ่งทางออกที่เหมาะกับสถานการณ์เมืองไทยตอนนี้มาก อยากรู้ว่ามีคนเห็นด้วยมั้ย