เมื่อไปเกาหลีใต้คนเดียวแบบผีบ้า ไม่ใช่ผีน้อย...
ช่วงมิถุนายนที่ผ่านเป็นช่วงเดือนเกิดของเราเองและเป็นช่วงที่งานค่อนข้างเหนื่อยล้ากับการทำงานที่สั่งสมปัญหาต่างๆ จึงตัดสินใจในนาทีสุดท้ายเพื่อกดตั๋วและที่พัก ไปพักสมองสักสองสามวัน และประเทศที่เราเลือกนั้นก็คือ เกาหลีใต้
ต้องเล่าก่อนว่าการไปเกาหลีใต้ครั้งนี้เป็นการไปครั้งแรก และ ไปคนเดียว มีการวางแผนโดยคร่าวๆเพียงเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้เคยไป ฮ่องกงมาแล้วเลยคิดว่าไม่น่าจะยากอะไร เพราะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษพื้นฐานได้
ในคืนที่เราไป ก็พยายามศึกษามาเบื้องต้นว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง แถมการไปครั้งนี้ไปแบบไม่ได้วางแผนไว้ก่อนมากนักทำให้เงินที่พกนั้นค่อนข้างจำกัด ไฟล์ทที่เราบินประมาณ ตี 1 ซึ่งจะถึงที่สนามบินอินชอนประมาณ 8:00 โมงเช้าโดยประมาณ
การออกนอกประเทศไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าไหร่มีเพียง พาวเวอร์แบงค์ที่พกไปฉลากมันเลือนแล้วเจ้าหน้าที่อ่านฉลากไม่เห็นเลยเตือนมาว่าต้องมีข้อมูลตรงนี้แนบนะ เพราะถ้าไม่มีเราอาจจะโดนยึด โชคดีที่เซิร์จหาเจอเลยแคปรายละเอียดและแสดงกับเจ้าหน้าที่ได้ เลยโดนปล่อยผ่านอย่างไม่มีปัญหาอะไร
สิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาจากบ้านเราไปเกาหลีใต้ คือ ผีน้อย โดยเตรียมใจมาพอสมควรพร้อมหาข้อมูลมาบ้างว่าต้องทำตัวยังไงให้ผ่าน ตม. หรือทำยังไงให้ไม่โดนเหมารวมว่าเป็น ผีน้อย ไปด้วย เลยสะกดจิตตัวเองว่าอย่าคุยกับคนไทยที่เจอบนเครื่อง หรือให้ความช่วยเหลือใคร ความคิดนี้มันอาจจะเห็นแก่ตัว แต่ด้วยความที่เราไปคนเดียว และ อยากเที่ยวจริงๆเลยต้องจำเป็นต้องคิดแบบนั้น อีกทั้งอุปนิสัยเป็นคน สาระแนเก่งประมาณนึง จึงกลัวว่า ไอความสาระแนของเราเนี่ยจะไปสร้างมูลเหตุให้ตัวเองอดเที่ยว 5555
ตอนขึ้นเครื่องจากไทย เราก็หาที่นั่งปกติ ซึ่งเราเห็นแล้ว ที่นั่งแถวเรามันมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว และเป็นคนไทย 2 คน วัยประมาณกลางคนค่อนไปทางมีอายุ ผิวคล้ำ นั่งตัวเกร็งที่นั่งข้างๆเรา ก็อดคิดไม่ได้ว่า นั่นแน่ ผีน้อย
แต่ก็สะกดจิตตัวเองว่าไม่เกี่ยวกับเรา เขาจะไปทำอะไรก็เรื่องของเขา เราอยู่ของเรา เลยนั่งเงียบๆไม่ได้คุยอะไรกับสองคนไทยนั้น หลักจากเราล็อคเข็มขัดที่นั่งพร้อมสำหรับการเดินทาง ลูกเรือเดินมายังที่นั่งเราพร้อมกับคนเกาหลีสองคน และเลขที่นั่งของพวกเขาคือ ข้างๆเรา เราก็เอ๊ะ แล้วคนไทยข้างๆเราล่ะมั่วหรอ? ความเก๋ไก๋อีกเรื่องคือสายการบินที่เราไปนั้นลูกเรือเป็นคนเกาหลี การสื่อสารนั้นยากไปอีก....เพราะคนไทยข้างๆเราไม่สามารถสื่อสารได้เลย
แถวที่เรานั้นคือ C12 เราเหลือบเห็นในตั๋วของคนไทยข้างๆคือ B7 มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเขามานั่งผิดที่ เราเองก็เตือนตัวเองว่าอย่ายุ่งนะ อย่าเจ๋อ ให้เขาจัดการกันเอง ลูกเรือก็พยายามบอกว่าแถวคุณ แถว B7 อยู่ข้างหน้าต้องเดินไปข้างหน้า คนไทยก็เหว๋อแล้วพูดกันเองว่าเราไม่ได้ไปแล้วหรอ เขาไม่ให้เราไปแล้วหรอ ไม่มีที่นั่งสำหรับเราหรอ ซึ่งมันดึงเวลาจนเหลือกลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายก่อนเครื่องจะ Take off เราเลยจำยอมพูดออกไปว่า ในตั๋วคุณมันคือแถว 7 มันอยู่ข้างหน้าค่ะ พวกเขาถึงจะเข้าใจแล้วย้ายที่ไปนั่งที่ตัวเอง ในใจตะโกนด่าตัวเองว่า สาระแนอีกแล้วววว ได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างมันโอเค โชคดีที่คนนั่งข้างๆเราเป็นสามีภรรยาคนเกาหลีที่มานั่งแทนคนไทยสองคนนั้น สบายใจขึ้นมาหน่อย
ด้วยความที่มันดึกมากแล้ว เราหลับตลอดทาง จนใกล้ถึงจุดหมาย ทางลูกเรือก็ให้ใบตม.ขาเข้าเมืองมาให้เขียน แต่ด้วยความที่ง่วง เขียนเสร็จก็หลับจ้า หลับไม่พอทำพาสปอร์ตตัวเองหล่นแล้วใบตม.ปลิวละลิ่วไปไหนไม่รู้ หลับลึกจริงๆ จนคนเกาหลีข้างๆสะกิดเรียกจนสึกรู้ตัว หาพลันวันล่กไปหมดแถมหาไม่เจอด้วย แต่คนเกาหลีน่ารักมากๆช่วยหาจนเจอ แอบเขินนิดหน่อยแต่ก็ชินกับความโป๊ะของตัวเองแล้ว
ความหฤหรรษ์เกิดขึ้นหลังจากนี้คือ การผ่านตม. ระหว่างที่ต่อแถว เราเห็นคนไทยเยอะมากแล้วโดนเรียนเข้าห้องเย็นเยอะพอสมควร รวมถึงคู่คนไทยที่นั่งข้างเราก่อนหน้านี้ก็โดน ตอนนั้นคิดในใจว่า จะโดนไหมว้า เพราะถึงพาสปอร์ตไม่ขาวก็ตาม แต่เราไม่เคยมาเกาหลีใต้มาก่อนนี่ อาจจะทำให้ไม่ผ่านก็ได้ แถวค่อยๆหดไปเรื่อยๆ มีเจ้าหน้าที่ตรวจรับประมาณ5แถว พร้อมเจ้าหน้าที่บางส่วนเดินเช็คภาพรวม เราต่อแถวหลังผู้ชายคนไทย ลุควัยรุ่นคูลๆ ดูทรง มาเที่ยวแหละ ลุคดีมากๆ (>////<) ตามคาดนางผ่านจ้า
พอถึงตาเรายิ้มสู้ไว้ก่อน ทางเจ้าหน้าที่ก็เปิดพาสปอร์ตเราดู พลิกไปพลิกมา จนไปเจอว่าเราเคยไปพม่ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถามว่าไปทำไม เราก็ตอบไปตามตรงว่าพาแม่ไปไหว้พระเนื่องในวันเกิดของแม่ แม่ฉันอยากไปมากๆ ฉันได้ไปไหว้พระทันใจ ไปแลนด์มาร์คต่างๆของเมือง ความเป็นเราอะนะ เน้นคุยเยอะไว้ก่อน ไม่รู้ว่ามันคือข้อดีหรือเสียนะ เจ้าหน้าก็พยักหน้านิ่งๆ แล้วก็ถามอีกว่า มาเกาหลีใต้กี่วัน มากับใคร เราก็ตอบไป ว่ามา4วัน พักที่นี่ๆนะ มาคนเดียว แล้วเจ้าหน้าที่ก็เงียบ เงียบจนเกิด death air เลยรู้สึกว่าต้องโดนเรียกเข้าห้องเย็นแน่ๆ เลยทำลายความเงียบนั้นด้วยความพูดมากของเรานี่แหละ
ก็เล่าไปเลยโดยที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ถามอะไรต่อ ว่าก่อนหน้านี้เราก็ไปฮ่องกงมา ไปคนเดียวเหมือนกัน เรามองว่าประเทศที่มัน Civilize แล้วมันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการท่องเที่ยวคนเดียว แล้วการมาเกาหลีครั้งนี้เนี่ยมันมันเป็นทริปฉลองวันเกิดฉัน ปีที่แล้วฉันก็ไปฉลองวันเกิดที่สิงคโปร์ มันถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆเลยนะ เราก็พูดไปเรื่อยตามที่คิดออก รู้แค่ว่าข้าจะออกไปเที่ยวให้ได้โว้ยย และก็ผ่านจริงๆ เรามาคิดทีหลังว่าเจ้าหน้าที่คงรำคาญเลยให้ออกมา พอออกมาก็เกือบ10โมงแล้ว
จากนั้นเราก็หาทางไปเมียงดง เพราะเราจองที่พักแถวๆนั้น ก็นั่งรถบัสตามที่ไปอ่านรีวิวคนอื่นๆเคยรีวิวมาก่อน ไม่หลงแน่นอน พอรถบัสออกความปลอดโปร่งเข้ามาถาโถมจิตใจมากเลย มันสุข สงบ ดีจริงๆนะ ความรู้สึกมันเหมือนพูดออกมาว่า ฉันพร้อมกับการผจญภัยแล้วล่ะ พอไปถึงย่านเมียงดง เราก็ดูแมพที่พัก แต่ด้วยที่พักเรามันไม่มีในแมพไม่รู้ว่าเพราะอะไร จะนั่งรถไฟใต้ดินก็ยังไม่พร้อมเพราะข้อมูลตอนนั้นน้อยเหลือเกิน จนใจจริงๆ
ก็เลยแท๊กซี่แม่-งเลย แท๊กซี่เกาหลีขยี้ใจมาก ทันทีที่เราปิดประตูรถ คนขับหักเลี้ยงวนรถด้วยความเร็วสูงจนร่างเราอ่ะเหวี่ยงไปอีกทาง กลิ้งดุ๊กๆอยู่ในรถโดยที่คนขับไม่ห่วงอะไรฉันเลออออออออ ยังกับBaby Driver ขับรถได้น่ากลัวมากกกกก กลัวว่าจะไม่ถึงที่พักซะก่อน
มาต่อค่า
จนมาถึงที่พัก เราพักที่ Blue Boat Hostel ย่านจองกู (Jung-gu)อยู่ใกล้รถไฟใต้ดิน Chungmuro 3 ด้วยความที่ราคาถูกและจากการที่เคยไปพักแบบนอนคนเดียวตอนไปฮ่องกงมานั้น พอตกกลางคืนมันเหงามากนะ เหงาชนิดว่าต้องคุยกับกำแพงเลยแหละ เลยตัดสินใจไปนอนรวมดีกว่า หาเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ให้มันฉ่ำอุราสักหน่อย
เราไปถึงที่พักก่อนเวลาเช็คอินเลยฝากกระเป๋าแล้วเดินเล่นเตร่ดเตร่สำรวจเส้นทางสักหน่อยอากาศช่วงนั้นคือ แดดจัด ฝนตก กลางคืนหนาว อากาศแปรปรวนยิ่งกว่าอารมณ์ เดินเล่นไปเรื่อยจนไปเจอ โบสถ์นึง(จำชื่อโบสถ์ไม่ล่ายยยย) สวยมาก เห็นครั้งแรกน้ำตาคลอเลย มันสวยมากจริงๆ แล้วเราเป็นคนชอบเสพสถาปัตย์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว ด้วยความโชคดีวันนั้นมีคนแต่งงานที่โบสถ์แห่งนั้นด้วยเราเลยมีโอกาสได้เห็นบ่าวสาวถ่ายรูปหน้าโบสถ์ อบอวนไปด้วยความรักปักๆเลย เรียกได้ว่าเป็นEvent ที่ made my day เราเป็อย่างมาก
อย่างที่บอกไปว่าเรามาเที่ยวคนเดียวทริปนี้เราเลยใช้มือถือกับขาตั้งกล้องบลูทูธ ที่มีรีโมตสั่งการได้ เพราะทริปก่อนหน้านี้เราใช้Groproถ่าย มันวุ่นวายตอนโยนไฟล์ เอาง่ายๆแบบนี้นี่แหละ ถ้าอยากได้เต็มตัวก็ ตั้งขาตั้ง วิ่งไปยืน กดรีโมตรัวๆ โพสถี่ เริ่ดๆ จิกๆ ได้รูปมาเป็นสิบ พอเช็ครูปไม่สวย อ่ะตั้งใหม่ ถ่ายใหม่ วนอยู่อย่างงี้แต่มันแฮปปี้มากกว่าจะไปให้คนอื่นถ่ายให้มากๆเพราะ โอกาสที่เขาจะถ่ายเราแล้วสวยภายในรูปเดียวมันยาก 55555
หลังจากเราตั้งกล้องสักพัก ก็มีคุณลุงมาคุยกับเราแต่เราฟังท่านไม่รู้เรื่องจริงๆ เลยทำได้ยิ้มหน้าแห้งๆใส่ไป แต่ที่เข้าใจเหมือนลุงพยายามจะบอกว่าต้องถ่ายรูปแบบไหนถึงจะสวย

เอ้อลืมบอกเค้าโครงหน้าเราอ่ะแบบสไตล์สาวเอเชียจัดๆแต่ไม่ทรงคนไทยจ๋า โดนทักญี่ปุ่นบ้างจีนบ้าง
พอเดินเล่นเสร็จแวะหาอะไรกินก่อนเลยเข้าร้านข้างทางๆ จิ้มๆ เอา จนได้อาหารอย่างที่เห็น แล้วเราสั่งตอนหิว กินไม่หมดด้วยจ้า อยากห่อกลับมากินต่อมาก ฮ่อลลลลลลลลลลลลลลล
พออิ่มท้องก็กลับไปเช็คอินอย่างเป็นทางการ เราได้ห้องสุดทางเดิน โฮลเทลมีทั้งหมดประมาณ 5 ชั้น ชั้นแรกไม่มีอะไรเป็นเพียงทางเข้าที่ต้องขึ้นบรรไดไปที่ชั้น2เท่านั้น ชั้น2 เป็นโซนต้อนรับ มีรีเซ็บชั่น รวมถึงเป็นห้องรับแขกและห้องครัวที่สามารถใช้พื้นที่ได้ตลอดเวลา เป็นพื้นที่ส่วนกลางนั่นแหละ ส่วนชั้นที่เราอยู่คือชั้น 3 เป็นโซนขอ งชะนีทั้งหมด ชั้น4เป็นโซนบอยบอย ของผู้ชาย และชั้น 5 โซนรวม รวมหมดทุกเพศ ตัดสินใจว่าคราวหน้าจะเลือกชั้น5 จะได้เฮฮาทั้งทริป อิ้ววววว
สัมภาระและที่นอนของเรา เป็นเตียง 2 ชั้น 2 เตียงวางขวางๆกันไปมา ข้อดีของการนอนโฮสต์เทลคือได้สังคม ประสบการณ์ รวมถึงเรียนรู้วัฒนธรรมจากคนอื่นๆ แต่ข้อเสีย คือ เหม็นถุงเท้ามาก บอกเลยยยยยย เตรียมใจตรงจุดนี้ให้จงมั่น
เป็นคนแรงแค่ไหนก็แล้วแต่ต้องพ่ายแก่กลิ่นถุงตรีน ควบคุมไม่ได้เลยจีจี
ยังไม่จบนะคะวันแรกยังไม่ถึงครึ่งเลยจ้าาาาาาาาา ใครจำชื่อโบสถ์ได้รบกวนแจ้งหน่อยนะคะ เราไม่ได้สายไกด์อ่ะ ไปเที่ยวแล้วลืมหมด TT
เมื่อไปเกาหลีใต้คนเดียวแบบผีบ้า ไม่ใช่ผีน้อย...
ต้องเล่าก่อนว่าการไปเกาหลีใต้ครั้งนี้เป็นการไปครั้งแรก และ ไปคนเดียว มีการวางแผนโดยคร่าวๆเพียงเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้เคยไป ฮ่องกงมาแล้วเลยคิดว่าไม่น่าจะยากอะไร เพราะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษพื้นฐานได้
ในคืนที่เราไป ก็พยายามศึกษามาเบื้องต้นว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง แถมการไปครั้งนี้ไปแบบไม่ได้วางแผนไว้ก่อนมากนักทำให้เงินที่พกนั้นค่อนข้างจำกัด ไฟล์ทที่เราบินประมาณ ตี 1 ซึ่งจะถึงที่สนามบินอินชอนประมาณ 8:00 โมงเช้าโดยประมาณ
การออกนอกประเทศไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าไหร่มีเพียง พาวเวอร์แบงค์ที่พกไปฉลากมันเลือนแล้วเจ้าหน้าที่อ่านฉลากไม่เห็นเลยเตือนมาว่าต้องมีข้อมูลตรงนี้แนบนะ เพราะถ้าไม่มีเราอาจจะโดนยึด โชคดีที่เซิร์จหาเจอเลยแคปรายละเอียดและแสดงกับเจ้าหน้าที่ได้ เลยโดนปล่อยผ่านอย่างไม่มีปัญหาอะไร
สิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาจากบ้านเราไปเกาหลีใต้ คือ ผีน้อย โดยเตรียมใจมาพอสมควรพร้อมหาข้อมูลมาบ้างว่าต้องทำตัวยังไงให้ผ่าน ตม. หรือทำยังไงให้ไม่โดนเหมารวมว่าเป็น ผีน้อย ไปด้วย เลยสะกดจิตตัวเองว่าอย่าคุยกับคนไทยที่เจอบนเครื่อง หรือให้ความช่วยเหลือใคร ความคิดนี้มันอาจจะเห็นแก่ตัว แต่ด้วยความที่เราไปคนเดียว และ อยากเที่ยวจริงๆเลยต้องจำเป็นต้องคิดแบบนั้น อีกทั้งอุปนิสัยเป็นคน สาระแนเก่งประมาณนึง จึงกลัวว่า ไอความสาระแนของเราเนี่ยจะไปสร้างมูลเหตุให้ตัวเองอดเที่ยว 5555
ตอนขึ้นเครื่องจากไทย เราก็หาที่นั่งปกติ ซึ่งเราเห็นแล้ว ที่นั่งแถวเรามันมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว และเป็นคนไทย 2 คน วัยประมาณกลางคนค่อนไปทางมีอายุ ผิวคล้ำ นั่งตัวเกร็งที่นั่งข้างๆเรา ก็อดคิดไม่ได้ว่า นั่นแน่ ผีน้อย
แต่ก็สะกดจิตตัวเองว่าไม่เกี่ยวกับเรา เขาจะไปทำอะไรก็เรื่องของเขา เราอยู่ของเรา เลยนั่งเงียบๆไม่ได้คุยอะไรกับสองคนไทยนั้น หลักจากเราล็อคเข็มขัดที่นั่งพร้อมสำหรับการเดินทาง ลูกเรือเดินมายังที่นั่งเราพร้อมกับคนเกาหลีสองคน และเลขที่นั่งของพวกเขาคือ ข้างๆเรา เราก็เอ๊ะ แล้วคนไทยข้างๆเราล่ะมั่วหรอ? ความเก๋ไก๋อีกเรื่องคือสายการบินที่เราไปนั้นลูกเรือเป็นคนเกาหลี การสื่อสารนั้นยากไปอีก....เพราะคนไทยข้างๆเราไม่สามารถสื่อสารได้เลย
แถวที่เรานั้นคือ C12 เราเหลือบเห็นในตั๋วของคนไทยข้างๆคือ B7 มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเขามานั่งผิดที่ เราเองก็เตือนตัวเองว่าอย่ายุ่งนะ อย่าเจ๋อ ให้เขาจัดการกันเอง ลูกเรือก็พยายามบอกว่าแถวคุณ แถว B7 อยู่ข้างหน้าต้องเดินไปข้างหน้า คนไทยก็เหว๋อแล้วพูดกันเองว่าเราไม่ได้ไปแล้วหรอ เขาไม่ให้เราไปแล้วหรอ ไม่มีที่นั่งสำหรับเราหรอ ซึ่งมันดึงเวลาจนเหลือกลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายก่อนเครื่องจะ Take off เราเลยจำยอมพูดออกไปว่า ในตั๋วคุณมันคือแถว 7 มันอยู่ข้างหน้าค่ะ พวกเขาถึงจะเข้าใจแล้วย้ายที่ไปนั่งที่ตัวเอง ในใจตะโกนด่าตัวเองว่า สาระแนอีกแล้วววว ได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างมันโอเค โชคดีที่คนนั่งข้างๆเราเป็นสามีภรรยาคนเกาหลีที่มานั่งแทนคนไทยสองคนนั้น สบายใจขึ้นมาหน่อย
ด้วยความที่มันดึกมากแล้ว เราหลับตลอดทาง จนใกล้ถึงจุดหมาย ทางลูกเรือก็ให้ใบตม.ขาเข้าเมืองมาให้เขียน แต่ด้วยความที่ง่วง เขียนเสร็จก็หลับจ้า หลับไม่พอทำพาสปอร์ตตัวเองหล่นแล้วใบตม.ปลิวละลิ่วไปไหนไม่รู้ หลับลึกจริงๆ จนคนเกาหลีข้างๆสะกิดเรียกจนสึกรู้ตัว หาพลันวันล่กไปหมดแถมหาไม่เจอด้วย แต่คนเกาหลีน่ารักมากๆช่วยหาจนเจอ แอบเขินนิดหน่อยแต่ก็ชินกับความโป๊ะของตัวเองแล้ว
ความหฤหรรษ์เกิดขึ้นหลังจากนี้คือ การผ่านตม. ระหว่างที่ต่อแถว เราเห็นคนไทยเยอะมากแล้วโดนเรียนเข้าห้องเย็นเยอะพอสมควร รวมถึงคู่คนไทยที่นั่งข้างเราก่อนหน้านี้ก็โดน ตอนนั้นคิดในใจว่า จะโดนไหมว้า เพราะถึงพาสปอร์ตไม่ขาวก็ตาม แต่เราไม่เคยมาเกาหลีใต้มาก่อนนี่ อาจจะทำให้ไม่ผ่านก็ได้ แถวค่อยๆหดไปเรื่อยๆ มีเจ้าหน้าที่ตรวจรับประมาณ5แถว พร้อมเจ้าหน้าที่บางส่วนเดินเช็คภาพรวม เราต่อแถวหลังผู้ชายคนไทย ลุควัยรุ่นคูลๆ ดูทรง มาเที่ยวแหละ ลุคดีมากๆ (>////<) ตามคาดนางผ่านจ้า
พอถึงตาเรายิ้มสู้ไว้ก่อน ทางเจ้าหน้าที่ก็เปิดพาสปอร์ตเราดู พลิกไปพลิกมา จนไปเจอว่าเราเคยไปพม่ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถามว่าไปทำไม เราก็ตอบไปตามตรงว่าพาแม่ไปไหว้พระเนื่องในวันเกิดของแม่ แม่ฉันอยากไปมากๆ ฉันได้ไปไหว้พระทันใจ ไปแลนด์มาร์คต่างๆของเมือง ความเป็นเราอะนะ เน้นคุยเยอะไว้ก่อน ไม่รู้ว่ามันคือข้อดีหรือเสียนะ เจ้าหน้าก็พยักหน้านิ่งๆ แล้วก็ถามอีกว่า มาเกาหลีใต้กี่วัน มากับใคร เราก็ตอบไป ว่ามา4วัน พักที่นี่ๆนะ มาคนเดียว แล้วเจ้าหน้าที่ก็เงียบ เงียบจนเกิด death air เลยรู้สึกว่าต้องโดนเรียกเข้าห้องเย็นแน่ๆ เลยทำลายความเงียบนั้นด้วยความพูดมากของเรานี่แหละ
ก็เล่าไปเลยโดยที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ถามอะไรต่อ ว่าก่อนหน้านี้เราก็ไปฮ่องกงมา ไปคนเดียวเหมือนกัน เรามองว่าประเทศที่มัน Civilize แล้วมันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการท่องเที่ยวคนเดียว แล้วการมาเกาหลีครั้งนี้เนี่ยมันมันเป็นทริปฉลองวันเกิดฉัน ปีที่แล้วฉันก็ไปฉลองวันเกิดที่สิงคโปร์ มันถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆเลยนะ เราก็พูดไปเรื่อยตามที่คิดออก รู้แค่ว่าข้าจะออกไปเที่ยวให้ได้โว้ยย และก็ผ่านจริงๆ เรามาคิดทีหลังว่าเจ้าหน้าที่คงรำคาญเลยให้ออกมา พอออกมาก็เกือบ10โมงแล้ว
จากนั้นเราก็หาทางไปเมียงดง เพราะเราจองที่พักแถวๆนั้น ก็นั่งรถบัสตามที่ไปอ่านรีวิวคนอื่นๆเคยรีวิวมาก่อน ไม่หลงแน่นอน พอรถบัสออกความปลอดโปร่งเข้ามาถาโถมจิตใจมากเลย มันสุข สงบ ดีจริงๆนะ ความรู้สึกมันเหมือนพูดออกมาว่า ฉันพร้อมกับการผจญภัยแล้วล่ะ พอไปถึงย่านเมียงดง เราก็ดูแมพที่พัก แต่ด้วยที่พักเรามันไม่มีในแมพไม่รู้ว่าเพราะอะไร จะนั่งรถไฟใต้ดินก็ยังไม่พร้อมเพราะข้อมูลตอนนั้นน้อยเหลือเกิน จนใจจริงๆ
ก็เลยแท๊กซี่แม่-งเลย แท๊กซี่เกาหลีขยี้ใจมาก ทันทีที่เราปิดประตูรถ คนขับหักเลี้ยงวนรถด้วยความเร็วสูงจนร่างเราอ่ะเหวี่ยงไปอีกทาง กลิ้งดุ๊กๆอยู่ในรถโดยที่คนขับไม่ห่วงอะไรฉันเลออออออออ ยังกับBaby Driver ขับรถได้น่ากลัวมากกกกก กลัวว่าจะไม่ถึงที่พักซะก่อน
มาต่อค่า
หลังจากเราตั้งกล้องสักพัก ก็มีคุณลุงมาคุยกับเราแต่เราฟังท่านไม่รู้เรื่องจริงๆ เลยทำได้ยิ้มหน้าแห้งๆใส่ไป แต่ที่เข้าใจเหมือนลุงพยายามจะบอกว่าต้องถ่ายรูปแบบไหนถึงจะสวย
เอ้อลืมบอกเค้าโครงหน้าเราอ่ะแบบสไตล์สาวเอเชียจัดๆแต่ไม่ทรงคนไทยจ๋า โดนทักญี่ปุ่นบ้างจีนบ้าง
พอเดินเล่นเสร็จแวะหาอะไรกินก่อนเลยเข้าร้านข้างทางๆ จิ้มๆ เอา จนได้อาหารอย่างที่เห็น แล้วเราสั่งตอนหิว กินไม่หมดด้วยจ้า อยากห่อกลับมากินต่อมาก ฮ่อลลลลลลลลลลลลลลล