น่าจะมากกว่ายี่สิบห้าปีแล้วนะที่ฉันจำได้ว่า หลังจากเรียนจบชั้นม. 6 ได้ไม่ถึงสี่เดือน ฉันก็กลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าของฉัน ฉันเจออาจารย์ท่านหนึ่ง ที่รู้จักกันดี ท่านถามว่า ได้เข้าเรียนชั้นปริญญาตรี คณะและสาขาวิชาอะไร ฉันตอบไปว่า เรียนต่อสาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาจารย์ท่านก็ถามกลับมาว่า “เรียนไปทำไม”
ตอนนั้นสถานที่เรียนวิชาสาขาการโรงแรม หรือการท่องเที่ยว ที่ประเทศไทยมีไม่กี่ที่ ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันเรียนอยู่ ม.3 มีพี่คนหนึ่งที่จบชั้น ม.6 ไปไม่นาน กลับมาเยี่ยมโรงเรียน เขาบอกว่า เขาเรียนวิชาการโรงแรมที่สถาบัน I-TIM ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งที่มีชื่อเสียงในตอนนั้นมาก พอๆกับโรงแรมดุสิตธานี ที่มีเปิดสอนวิชาการโรงแรม สำหรับบุคคลทั่วไป ตอนนั้นฉันก็คิดเหมือนผู้คนทั่วไปแหละว่า วิชาการโรงแรม ไปเรียนทำไม ไปเรียนเพื่ออะไร
ตอนเรียนอยู่ชั้นม.ต้น อาจารย์แนะแนวถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าอยากเป็นอะไร ไม่เคยตั้งความหวังว่าฉันอยากเป็นอะไร ทำงานอะไร ทั้งๆที่พ่ออยากให้เป็น ตั้งความหวังว่าเราจะเป็น และผลักดันให้เป็น แอร์โฮสเตส เพราะพ่อของฉันทำงานที่บริษัทสายการบินแห่งหนึ่ง มานานแล้ว ซึ่งเมื่อมองกลับไปแล้ว บางทีก็คิดว่า ทำไมฉันไม่คิดอยากจะเป็นแอร์แต่ก็หาเหตุผลจริงๆ ไม่ได้สักที แต่เมื่อถึงเวลาที่ฉันจะต้องตอบคำถามอาจารย์แนะแนว ซึ่งพยายามคาดคั้นฉันและเพื่อนๆเหลือเกินว่า จะต้องให้คำตอบเขาในเวลานั้น ว่าฉันอยากจะเป็นอะไร ในหัวสมองก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อาชีพหนึ่ง "หนูอยากเป็นไกด์ค่ะ" ฉันโพล่งตอบอาจารย์ไปอย่างส่งๆ โดยไม่มีความรู้เลยว่า อาชีพนี้เขาต้องทำอะไรบ้าง แต่ฉันก็ตอบอาจารย์ไปอย่างนั้นแหละ เพราะว่าจะได้เลิกคาดคั้นกันสักที ปรากฎว่าอาจารย์เขาไม่จบแค่นั้นหน่ะสิ เขาถามตอบว่าทำไมถึงอยากเป็นไกด์ "ได้ไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ" ตอบส่งๆไปอีกนั่นแหละ ที่น่าแปลกก็คือ แอร์โฮสเตสก็ได้ไปต่างประเทศเหมือนกัน เอ๊ะทำไมเราไม่อยากเป็นนะ ไม่เข้าใจ เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงตอนนั้น ฉันเข้าใจแล้วว่า ที่อาจารย์เขาถาม เพราะเขาอยากให้เรามองอนาคตว่า โตขึ้นเราอยากจะทำอาชีพอะไร เราชอบทำอะไร เราจะได้เลือกเรียนให้ตรงกลับสายงานที่เราอยากจะเป็น แต่ให้ตายเหอะ ในความคิดของฉัน จะมีเด็กอายุสิบสองสักกี่คนกัน ขอใช้คำว่า ตรัสรู้ว่าอยากจะเป็นอะไรในอนาคต! ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ใครถามว่าอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น ฉันก็บอกเขาไปเลยทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า อยากเป็นไกด์ จบป่ะ เลิกถามกันสักที
พอเรียนจบม.หก พ่อบอกรอเวลานี้มานาน เอาหล่ะ จบแล้วไปสอบแอร์ ฉันบอกไม่เอา อยากเรียนต่อเอาปริญญา พ่อบอกโอเค รออีกสี่ปีรอได้ แต่อยากเรียนอะไร ฉันบอกไม่รู้เหมือนกัน จะลองไปเอ็นท์กับเขาดู ตอนลงสมัครเอ็นทราซ์ แบบสมัยก่อน ที่จะต้องลงสอบในส่วนกลาง เลือกมหาวิทยาลัย และโปรแกรมที่เราอยากเข้าเรียน ไล่ตามลำดับความชอบมากจนถึงชอบน้อย มาถึงตอนนี้ฉันเคว้งคว้างมาก เพราะหาทางไม่ถูกว่าเราอยากเรียนอะไร ชอบอะไร และก็ "โตไปอยากทำอาชีพอะไร" มาถึงตอนนี้ฉันอิจฉา เพื่อนๆ ที่เขาเริ่มมีจุดหมายให้กับตัวเอง หรือหาตัวเองเจอตั้งแต่เล็กๆ อิจฉาเพื่อนที่เขาเริ่มรู้ตัวเองว่าชอบอะไร และเริ่มที่จะมองอนาคตของตัวเองออก เพื่อนบางคนที่โชคดี “ตรัสรู้ได้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร” และปูทางการศึกษาไว้ตั้งแต่ต้น ก็เอ็นท์ติด และได้เรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองต้องการ แต่เรานี่สิ เอ็นท์ก็ไม่ติด
ให้ตายสิ! เด็กอายุสิบแปด กับการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตตัวเอง ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ระหว่างปัจจุบันและอนาคต เราจะเดินไปทางไหนดี ทำไมมันถึงยากเย็นแสนเข็ญ และมืดแปดด้านอย่างนี้ว่ะ!
ในชีวิตคนเรา การมีเพื่อนนั้นไม่ต้องมีมาก แต่ขอมีเพียงแค่คนเดียวที่เข้าใจเรา อยู่เคียงข้างเราในวันที่เราต้องการถือเป็นเรื่องดีที่สุดในชีวิต ถึงตอนนี้ฉันอยากขอบคุณเพื่อนคนนี้จริงๆ ถ้าไม่มีเธอในวันนั้น คงไม่มีเราในวันนี้ เพื่อนคนนี้เห็นฉันเคว้งคว้าง ไม่รู้จะไปทางไหน แนะนำว่าไปสอบเข้าราชภัฏดีไหม เราบอกว่าเออก็ดีนะ แล้วจะเลือกเรียนโปรแกรมอะไรดีล่ะ เด็กหนอเด็ก ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ตอนนั้นคิดแค่ว่าขอให้สอบติด ได้เรียนโรงเรียนรัฐบาลที่ไหนสักที่ ไม่ว่าสาขาอะไรก็ขอให้ได้เรียนเถอะ เพื่อนแนะนำว่า ให้เลือกสองสาขาวิชา ก็คือนิเทศศาสตร์ และโปรแกรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นโปรแกรมใหม่ ที่กำลังเป็นที่สนใจ ในวงการการศึกษาในประเทศไทย
อาจจะเป็น “ลิขิตแห่งฟ้า หรือ ความปรารถนาของพระจันทร์” (555 ติดละครเรื่องนี้หนักมาก ขอยืมมาใช้หน่อยนะคะ) ที่ทำให้ฉันจับพลัดจับพลู มาได้มาเรียนชั้นปริญญาตรี ในสาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
การเรียนการสอนในสาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ระดับชั้นปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยของฉันในตอนนั้น ก็ใหม่มากๆ ซึ่งฉันเองเป็นรุ่นที่สาม ของโปรแกรมนี้ ซึ่งวิชาที่เรียน จะมีวิชาบังคับ และวิชาเลือก ที่จะแบ่งเป็นในส่วนของการท่องเที่ยวและการโรงแรม อย่างชัดเจน การเรียนการสอน มีแบบเรียนนอกสถานที่ หรือที่เรียกหรูๆว่า ทำโปรเจ็คออกนอกสถานที่ สัก 80 เปอร์เซ็นต์ เสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบการจัดทัวร์ แบบเสมือนจริง มีการเลือกจัดโปรแกรมทัวร์ การออกสำรวจสถานที่เที่ยว เส้นการเดินทาง การหาโรงแรมที่พัก หาร้านอาหารระหว่างทาง รวมเลยไปถึงการว่าเช่ารถบัสนำเที่ยว และการคำนวนหาราคาต้นทุน และราคาขายทัวร์ หรือการไปดูงานที่โรงแรมจริง ในแผนกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนกฟร้อนท์เดส แผนกแม่บ้าน และแผนกจัดเลี้ยง รวมเลยไปถึงกับการที่อาจารย์อนุญาต หรือลดหย่อน ผ่อนผัน ในการขาดเรียน เพื่อให้พวกเราไปลองหางานทำจริงๆ ที่บริษัททัวร์ และตามโรงแรมต่างๆ เรียกได้ว่า เป็นการเรียนแบบ Hand-On กันจริงๆ ซึ่งสำหรับฉันนั้น การเรียนที่นี่ในระยะเวลา 4 ปี เป็นประสบการณ์ที่มีค่า ในเรื่องการทำงานเป็นอย่างมาก เพราะฉันได้ลองทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ตั้งแต่อายุสิบแปด เริ่มตั้งแต่ การได้เป็น Camp Leader ในค่ายเยาวชน ของศูนย์พัฒนาเยาวชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง การได้ออกทัวร์เป็น Staff Guide ไปกับพี่ๆ ที่เป็นไกด์จริงๆ ที่ขึ้นเหนือล่องใต้ ชื่นชมความงามของประเทศไทย การได้ร่วมทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ ในงานเลี้ยงหรู ในโรงแรม 5 ดาว หรือการได้ทดลองงาน ที่ Lodge ของมหาวิทยาลัย ที่สร้างขึ้นและเปิดทำการจริง ต้อนรับแขกจริง เพื่อให้นักศึกษาได้ทดลองงาน ด้านการโรงแรม ในแบบของจริง แบบครบวงจร ด้วยการเป็น Front Desk, Housekeeping, Server, Event -Coordinator และสุดท้าย การได้เป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษ ให้กับสถาบันสอนภาษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
นอกเหนือจากการเรียนการสอนแบบ Hand-On ในส่วนของการท่องเที่ยว (บริษัททัวร์) และการโรงแรมแล้ว ยังได้เรียนรู้ในส่วน ของงานในสายการบิน การจัดการติดต่อเรื่องตั๋วเครื่องบิน งานบริการบนเครื่องบน และยังได้ไปดูงานที่บริษัทสายการบินอีกด้วย นอกจากวิชาเรียนนอกห้องเรียนแล้ว วิชาในห้องเรียนที่มีทั้งน่าเบื่อและไม่น่าเบื่อ แต่เราก็ต้องลงเรียนกันไม่ว่า จะเป็นภาษาต่างๆ ที่นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว เรายังต้องเลือกเรียนภาษาพิเศษกันอีกหนึ่งภาษาอันได้แก่ ภาษาญี่ปุ่น และฝรั่งเศส อีกทั้งยังได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทย ศิลปศาสตร์ไทย ภูมิภาคไทย และอื่นๆอีกมากมาย ที่เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของประเทศไทย ที่เวลาเราออกไปทำงานเป็นไกด์ก็ดี หรือทำงานที่โรงแรมก็ดี เราจะได้เอาไปโม้... เอ๊ย เอาสาระต่างๆ ไปเล่าให้ลูกค้าได้ฟังกัน
แต่มีอีกวิชาหนึ่งที่ฉันได้เรียนแล้วรู้สึกว่า ฉันจำมันได้ไม่มีวันลืม และติดตัวนำมาใช้ได้ เมื่อฉันได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศอเมริกาก็คือ วิชาจิตวิทยานักท่องเที่ยว
วิชาจิตวิทยานักท่องเที่ยว คือการเรียนรู้ และเข้าถึงบุคลิคภาพ และความต้องการของนักท่องเที่ยว หรือลูกค้าของเรา ที่สามารถวิเคราะห์ได้จาก ประเทศเกิด, วิถีชีวิต, และความเป็นอยู่ของนักท่องเที่ยวหรือลูกค้า ที่จะสามารถบ่งชี้ว่า เขาชอบหรือไม่ชอบอะไร เขาอยากได้หรือ ไม่อยากได้อะไร ซึ่งตอนที่ฉันได้เรียนวิชานี้ในครั้งแรก ฉันยังสงสัยอยู่ว่า มันจะเอาไปใช้ได้จริงหรือไม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถึงได้รู้ว่า วิชาจิตวิทยานักท่องเที่ยว ชื่อหรูหราหมาเห่า แต่เนื้อหาใจความกระชับ รวบตึงว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
จากการเรียน 4 ปี ในโปรแกรมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่มีชื่อภาษาอังกฤษที่เลิศหรูว่า Tourism Industry Management หรือ คุณติ๋ม (TIM) ฉันถึงได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่า วิชาที่ลงเรียน และเลือกเรียน มาตลอดสี่ปี ทำให้ฉันเอนเอียงไปใน เอกการท่องเที่ยว โทการโรงแรม ด้วยเหตุผลสรุปได้ ด้วยการนำวิชา จิตวิทยานักท่องเที่ยว มาวิเคราะห์หาเหตุผลให้ตัวเอง ซึ่งการวิเคราะห์นี้ก็ได้มาจากประสบการณ์ การได้ไปทำงานร่วมกับบริษัทท่องเที่ยว และโรงแรมต่างๆ ซึ่งทำให้ได้พบเจอกับนักท่องเที่ยว และผู้คนจำนวนหนึ่ง (ถ้าอาจารย์ผ่านมาแล้วได้อ่านถึงตอนนี้ อาจาร์ยน่าจะดีใจจนน้ำตาไหล เป็นปลื้มกับลูกศิษย์คนนี้แน่ๆเลย ที่ได้นำความรู้จากอาจารย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ) ผลสรุปออกมาดังนี้คือ
“ลูกค้าสายการท่องเที่ยว โคตะระ น่ารักเลย กินง่าย อยู่ง่าย พูดง่าย ค่ำไหน นอนนั่น นอนกลางดิน กินกลางทราย ไม่ได้อาบน้ำมาสามวัน ไม่มีน้ำร้อน น้ำอุ่นให้ ก็ไม่เคยบ่นสักคำ! ส่วนลูกค้าสายการโรงแรม แม่.... ง โคตะระ เรื่องมากชิบ! รถโรงแรมไปรับสายก็หน้างอ เช็คอินช้าก็บ่น ที่นอนปูไม่เรียบก็ว่า เจอเส้นผมหนึ่งเส้นในห้องน้ำก็ยี๋ น้ำอาบ ไม่ร้อน ไม่อุ่นเท่าอุณหภูมิที่กำหนด ก็อาบไม่ได้ ไข่ลวก 1 นาที 2นาที 3นาที ลวกนานไป ลวกน้อยไป แดร๊กไม่ได้ อุบ่ะ.. ให้ตายสิ!”
ด้วยเหตุผลข้างต้น จะอั้นจะอี้หนา ฉันเลยพุ่งเป้าไปว่า เป็นทัวร์ไกด์นี่คือ สิ่งที่ฉันอยากทำมากที่สุด ประกอบกับ เมื่อเรียนครบวิชาที่เรียนในมหาวิทยาลัย ที่ตรงกับวิชาบังคับเรียนในโปรแกรมการท่องเที่ยว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ในสมัยนั้น) ที่เปิดสอนให้กับบุคคลทั่วไปที่อยากทำอาชีพไกด์ เพื่อผ่านการรับใบประกาศเป็นมัคคุเทศน์ มีใบรับรองจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉันจึงได้รับใบประกาศและบัตรสีเงินจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นมัคคุเทศน์อย่างแท้ทรู ไม่กุ๊กกู๋ สามารถนำนักท่องเที่ยว ไปเที่ยวได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ และได้รับเกียรติอย่างสูงสุด ที่ได้รับหน้าที่ เป็นตัวแทนเสมือนทูตของประเทศไทย ที่คอยต้อนรับนักต่างชาติ และเผยแพร่ สิ่งดีงามของไทย อย่างเช่นประวัติศาสตร์ ศิลป ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของไทย อีกทั้งยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว วิถีชีวิตชาวบ้าน การช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องของการแลกเปลี่ยนซื้อขายสิ่งของที่ระลึก และที่พักอาศัย ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นการกระจายรายได้ให้กับทุกๆคนในประเทศจริงๆ
ดูเหมือนว่าทุกอย่างในชีวิตฉันกำลังจะไปได้สวย ในที่สุดฉันก็สามารถรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉันเสียที ว่า “โตขึ้นฉันอยากเป็นอะไร” อาชีพทัวไกด์บัตรเงิน พานักท่องเที่ยวไปต่างประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี... ภาพหอไอเฟล ลอยมา ภาพเมืองปารีส จิบน้ำชายามเย็นริมแม่น้ำไทม์ ทัชมาฮาล ลอยมา โห.. ภูเขาไฟฟูจิ... ซารังแฮโยยยยย.... เอ่อคือว่า.. อาชีพไกด์บัตรเงิน.. ฉันยังไม่ได้ทำหรอก.. มาอเมริกาเสียก่อน...
ก็อย่างที่เคยเล่าวีรกรรมไปแล้วในเรื่องเล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ว่ามาอเมริกาอย่างไร และช่วงนั้นฉันได้ทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องเล่าเรื่องนี้ช่วงเวลามันคาบเกี่ยวกับเรื่องที่แล้วอยู่เหมือนกัน ก็ถ้าใครยังไม่ได้อ่านเรื่องนั้น ก็ถ้าอ่านเรื่องนี้จบแล้วก็ย้อนไปอ่านเรื่องนั้นได้เหมือนกันค่ะ
เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 1
https://pantip.com/topic/37968927
การมาอเมริกาถือว่าเป็นการ Reset การเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่หมดของฉัน จากการที่ฉันได้รู้แล้วว่าตัวเองอยากเป็นทัวร์ไกด์ต่างประเทศ หรือ Outbound Tour Guide สิ่งที่ฉันต้องการคือภาษาอังกฤษ การได้เรียนภาษาอังกฤษ ในชั้นเรียน และ การได้สอนภาษาอังกฤษ ที่ศูนย์สอนภาษา มันยังทำให้ฉันเป็นไกด์ต่างประเทศได้อย่างไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าฉันยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ดี นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องมาผจญภัยในอเมริกา
เล่าได้เล่าดี ตอนคนโรงแรมคนหนึ่งในอเมริกา ตอนที่ 1
ตอนนั้นสถานที่เรียนวิชาสาขาการโรงแรม หรือการท่องเที่ยว ที่ประเทศไทยมีไม่กี่ที่ ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันเรียนอยู่ ม.3 มีพี่คนหนึ่งที่จบชั้น ม.6 ไปไม่นาน กลับมาเยี่ยมโรงเรียน เขาบอกว่า เขาเรียนวิชาการโรงแรมที่สถาบัน I-TIM ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งที่มีชื่อเสียงในตอนนั้นมาก พอๆกับโรงแรมดุสิตธานี ที่มีเปิดสอนวิชาการโรงแรม สำหรับบุคคลทั่วไป ตอนนั้นฉันก็คิดเหมือนผู้คนทั่วไปแหละว่า วิชาการโรงแรม ไปเรียนทำไม ไปเรียนเพื่ออะไร
ตอนเรียนอยู่ชั้นม.ต้น อาจารย์แนะแนวถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าอยากเป็นอะไร ไม่เคยตั้งความหวังว่าฉันอยากเป็นอะไร ทำงานอะไร ทั้งๆที่พ่ออยากให้เป็น ตั้งความหวังว่าเราจะเป็น และผลักดันให้เป็น แอร์โฮสเตส เพราะพ่อของฉันทำงานที่บริษัทสายการบินแห่งหนึ่ง มานานแล้ว ซึ่งเมื่อมองกลับไปแล้ว บางทีก็คิดว่า ทำไมฉันไม่คิดอยากจะเป็นแอร์แต่ก็หาเหตุผลจริงๆ ไม่ได้สักที แต่เมื่อถึงเวลาที่ฉันจะต้องตอบคำถามอาจารย์แนะแนว ซึ่งพยายามคาดคั้นฉันและเพื่อนๆเหลือเกินว่า จะต้องให้คำตอบเขาในเวลานั้น ว่าฉันอยากจะเป็นอะไร ในหัวสมองก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อาชีพหนึ่ง "หนูอยากเป็นไกด์ค่ะ" ฉันโพล่งตอบอาจารย์ไปอย่างส่งๆ โดยไม่มีความรู้เลยว่า อาชีพนี้เขาต้องทำอะไรบ้าง แต่ฉันก็ตอบอาจารย์ไปอย่างนั้นแหละ เพราะว่าจะได้เลิกคาดคั้นกันสักที ปรากฎว่าอาจารย์เขาไม่จบแค่นั้นหน่ะสิ เขาถามตอบว่าทำไมถึงอยากเป็นไกด์ "ได้ไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ" ตอบส่งๆไปอีกนั่นแหละ ที่น่าแปลกก็คือ แอร์โฮสเตสก็ได้ไปต่างประเทศเหมือนกัน เอ๊ะทำไมเราไม่อยากเป็นนะ ไม่เข้าใจ เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงตอนนั้น ฉันเข้าใจแล้วว่า ที่อาจารย์เขาถาม เพราะเขาอยากให้เรามองอนาคตว่า โตขึ้นเราอยากจะทำอาชีพอะไร เราชอบทำอะไร เราจะได้เลือกเรียนให้ตรงกลับสายงานที่เราอยากจะเป็น แต่ให้ตายเหอะ ในความคิดของฉัน จะมีเด็กอายุสิบสองสักกี่คนกัน ขอใช้คำว่า ตรัสรู้ว่าอยากจะเป็นอะไรในอนาคต! ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ใครถามว่าอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น ฉันก็บอกเขาไปเลยทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า อยากเป็นไกด์ จบป่ะ เลิกถามกันสักที
พอเรียนจบม.หก พ่อบอกรอเวลานี้มานาน เอาหล่ะ จบแล้วไปสอบแอร์ ฉันบอกไม่เอา อยากเรียนต่อเอาปริญญา พ่อบอกโอเค รออีกสี่ปีรอได้ แต่อยากเรียนอะไร ฉันบอกไม่รู้เหมือนกัน จะลองไปเอ็นท์กับเขาดู ตอนลงสมัครเอ็นทราซ์ แบบสมัยก่อน ที่จะต้องลงสอบในส่วนกลาง เลือกมหาวิทยาลัย และโปรแกรมที่เราอยากเข้าเรียน ไล่ตามลำดับความชอบมากจนถึงชอบน้อย มาถึงตอนนี้ฉันเคว้งคว้างมาก เพราะหาทางไม่ถูกว่าเราอยากเรียนอะไร ชอบอะไร และก็ "โตไปอยากทำอาชีพอะไร" มาถึงตอนนี้ฉันอิจฉา เพื่อนๆ ที่เขาเริ่มมีจุดหมายให้กับตัวเอง หรือหาตัวเองเจอตั้งแต่เล็กๆ อิจฉาเพื่อนที่เขาเริ่มรู้ตัวเองว่าชอบอะไร และเริ่มที่จะมองอนาคตของตัวเองออก เพื่อนบางคนที่โชคดี “ตรัสรู้ได้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร” และปูทางการศึกษาไว้ตั้งแต่ต้น ก็เอ็นท์ติด และได้เรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองต้องการ แต่เรานี่สิ เอ็นท์ก็ไม่ติด
ให้ตายสิ! เด็กอายุสิบแปด กับการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตตัวเอง ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ระหว่างปัจจุบันและอนาคต เราจะเดินไปทางไหนดี ทำไมมันถึงยากเย็นแสนเข็ญ และมืดแปดด้านอย่างนี้ว่ะ!
ในชีวิตคนเรา การมีเพื่อนนั้นไม่ต้องมีมาก แต่ขอมีเพียงแค่คนเดียวที่เข้าใจเรา อยู่เคียงข้างเราในวันที่เราต้องการถือเป็นเรื่องดีที่สุดในชีวิต ถึงตอนนี้ฉันอยากขอบคุณเพื่อนคนนี้จริงๆ ถ้าไม่มีเธอในวันนั้น คงไม่มีเราในวันนี้ เพื่อนคนนี้เห็นฉันเคว้งคว้าง ไม่รู้จะไปทางไหน แนะนำว่าไปสอบเข้าราชภัฏดีไหม เราบอกว่าเออก็ดีนะ แล้วจะเลือกเรียนโปรแกรมอะไรดีล่ะ เด็กหนอเด็ก ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ตอนนั้นคิดแค่ว่าขอให้สอบติด ได้เรียนโรงเรียนรัฐบาลที่ไหนสักที่ ไม่ว่าสาขาอะไรก็ขอให้ได้เรียนเถอะ เพื่อนแนะนำว่า ให้เลือกสองสาขาวิชา ก็คือนิเทศศาสตร์ และโปรแกรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นโปรแกรมใหม่ ที่กำลังเป็นที่สนใจ ในวงการการศึกษาในประเทศไทย
อาจจะเป็น “ลิขิตแห่งฟ้า หรือ ความปรารถนาของพระจันทร์” (555 ติดละครเรื่องนี้หนักมาก ขอยืมมาใช้หน่อยนะคะ) ที่ทำให้ฉันจับพลัดจับพลู มาได้มาเรียนชั้นปริญญาตรี ในสาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
การเรียนการสอนในสาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ระดับชั้นปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยของฉันในตอนนั้น ก็ใหม่มากๆ ซึ่งฉันเองเป็นรุ่นที่สาม ของโปรแกรมนี้ ซึ่งวิชาที่เรียน จะมีวิชาบังคับ และวิชาเลือก ที่จะแบ่งเป็นในส่วนของการท่องเที่ยวและการโรงแรม อย่างชัดเจน การเรียนการสอน มีแบบเรียนนอกสถานที่ หรือที่เรียกหรูๆว่า ทำโปรเจ็คออกนอกสถานที่ สัก 80 เปอร์เซ็นต์ เสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบการจัดทัวร์ แบบเสมือนจริง มีการเลือกจัดโปรแกรมทัวร์ การออกสำรวจสถานที่เที่ยว เส้นการเดินทาง การหาโรงแรมที่พัก หาร้านอาหารระหว่างทาง รวมเลยไปถึงการว่าเช่ารถบัสนำเที่ยว และการคำนวนหาราคาต้นทุน และราคาขายทัวร์ หรือการไปดูงานที่โรงแรมจริง ในแผนกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนกฟร้อนท์เดส แผนกแม่บ้าน และแผนกจัดเลี้ยง รวมเลยไปถึงกับการที่อาจารย์อนุญาต หรือลดหย่อน ผ่อนผัน ในการขาดเรียน เพื่อให้พวกเราไปลองหางานทำจริงๆ ที่บริษัททัวร์ และตามโรงแรมต่างๆ เรียกได้ว่า เป็นการเรียนแบบ Hand-On กันจริงๆ ซึ่งสำหรับฉันนั้น การเรียนที่นี่ในระยะเวลา 4 ปี เป็นประสบการณ์ที่มีค่า ในเรื่องการทำงานเป็นอย่างมาก เพราะฉันได้ลองทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ตั้งแต่อายุสิบแปด เริ่มตั้งแต่ การได้เป็น Camp Leader ในค่ายเยาวชน ของศูนย์พัฒนาเยาวชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง การได้ออกทัวร์เป็น Staff Guide ไปกับพี่ๆ ที่เป็นไกด์จริงๆ ที่ขึ้นเหนือล่องใต้ ชื่นชมความงามของประเทศไทย การได้ร่วมทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ ในงานเลี้ยงหรู ในโรงแรม 5 ดาว หรือการได้ทดลองงาน ที่ Lodge ของมหาวิทยาลัย ที่สร้างขึ้นและเปิดทำการจริง ต้อนรับแขกจริง เพื่อให้นักศึกษาได้ทดลองงาน ด้านการโรงแรม ในแบบของจริง แบบครบวงจร ด้วยการเป็น Front Desk, Housekeeping, Server, Event -Coordinator และสุดท้าย การได้เป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษ ให้กับสถาบันสอนภาษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
นอกเหนือจากการเรียนการสอนแบบ Hand-On ในส่วนของการท่องเที่ยว (บริษัททัวร์) และการโรงแรมแล้ว ยังได้เรียนรู้ในส่วน ของงานในสายการบิน การจัดการติดต่อเรื่องตั๋วเครื่องบิน งานบริการบนเครื่องบน และยังได้ไปดูงานที่บริษัทสายการบินอีกด้วย นอกจากวิชาเรียนนอกห้องเรียนแล้ว วิชาในห้องเรียนที่มีทั้งน่าเบื่อและไม่น่าเบื่อ แต่เราก็ต้องลงเรียนกันไม่ว่า จะเป็นภาษาต่างๆ ที่นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว เรายังต้องเลือกเรียนภาษาพิเศษกันอีกหนึ่งภาษาอันได้แก่ ภาษาญี่ปุ่น และฝรั่งเศส อีกทั้งยังได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทย ศิลปศาสตร์ไทย ภูมิภาคไทย และอื่นๆอีกมากมาย ที่เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของประเทศไทย ที่เวลาเราออกไปทำงานเป็นไกด์ก็ดี หรือทำงานที่โรงแรมก็ดี เราจะได้เอาไปโม้... เอ๊ย เอาสาระต่างๆ ไปเล่าให้ลูกค้าได้ฟังกัน
แต่มีอีกวิชาหนึ่งที่ฉันได้เรียนแล้วรู้สึกว่า ฉันจำมันได้ไม่มีวันลืม และติดตัวนำมาใช้ได้ เมื่อฉันได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศอเมริกาก็คือ วิชาจิตวิทยานักท่องเที่ยว
วิชาจิตวิทยานักท่องเที่ยว คือการเรียนรู้ และเข้าถึงบุคลิคภาพ และความต้องการของนักท่องเที่ยว หรือลูกค้าของเรา ที่สามารถวิเคราะห์ได้จาก ประเทศเกิด, วิถีชีวิต, และความเป็นอยู่ของนักท่องเที่ยวหรือลูกค้า ที่จะสามารถบ่งชี้ว่า เขาชอบหรือไม่ชอบอะไร เขาอยากได้หรือ ไม่อยากได้อะไร ซึ่งตอนที่ฉันได้เรียนวิชานี้ในครั้งแรก ฉันยังสงสัยอยู่ว่า มันจะเอาไปใช้ได้จริงหรือไม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถึงได้รู้ว่า วิชาจิตวิทยานักท่องเที่ยว ชื่อหรูหราหมาเห่า แต่เนื้อหาใจความกระชับ รวบตึงว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
จากการเรียน 4 ปี ในโปรแกรมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่มีชื่อภาษาอังกฤษที่เลิศหรูว่า Tourism Industry Management หรือ คุณติ๋ม (TIM) ฉันถึงได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่า วิชาที่ลงเรียน และเลือกเรียน มาตลอดสี่ปี ทำให้ฉันเอนเอียงไปใน เอกการท่องเที่ยว โทการโรงแรม ด้วยเหตุผลสรุปได้ ด้วยการนำวิชา จิตวิทยานักท่องเที่ยว มาวิเคราะห์หาเหตุผลให้ตัวเอง ซึ่งการวิเคราะห์นี้ก็ได้มาจากประสบการณ์ การได้ไปทำงานร่วมกับบริษัทท่องเที่ยว และโรงแรมต่างๆ ซึ่งทำให้ได้พบเจอกับนักท่องเที่ยว และผู้คนจำนวนหนึ่ง (ถ้าอาจารย์ผ่านมาแล้วได้อ่านถึงตอนนี้ อาจาร์ยน่าจะดีใจจนน้ำตาไหล เป็นปลื้มกับลูกศิษย์คนนี้แน่ๆเลย ที่ได้นำความรู้จากอาจารย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ) ผลสรุปออกมาดังนี้คือ
“ลูกค้าสายการท่องเที่ยว โคตะระ น่ารักเลย กินง่าย อยู่ง่าย พูดง่าย ค่ำไหน นอนนั่น นอนกลางดิน กินกลางทราย ไม่ได้อาบน้ำมาสามวัน ไม่มีน้ำร้อน น้ำอุ่นให้ ก็ไม่เคยบ่นสักคำ! ส่วนลูกค้าสายการโรงแรม แม่.... ง โคตะระ เรื่องมากชิบ! รถโรงแรมไปรับสายก็หน้างอ เช็คอินช้าก็บ่น ที่นอนปูไม่เรียบก็ว่า เจอเส้นผมหนึ่งเส้นในห้องน้ำก็ยี๋ น้ำอาบ ไม่ร้อน ไม่อุ่นเท่าอุณหภูมิที่กำหนด ก็อาบไม่ได้ ไข่ลวก 1 นาที 2นาที 3นาที ลวกนานไป ลวกน้อยไป แดร๊กไม่ได้ อุบ่ะ.. ให้ตายสิ!”
ด้วยเหตุผลข้างต้น จะอั้นจะอี้หนา ฉันเลยพุ่งเป้าไปว่า เป็นทัวร์ไกด์นี่คือ สิ่งที่ฉันอยากทำมากที่สุด ประกอบกับ เมื่อเรียนครบวิชาที่เรียนในมหาวิทยาลัย ที่ตรงกับวิชาบังคับเรียนในโปรแกรมการท่องเที่ยว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ในสมัยนั้น) ที่เปิดสอนให้กับบุคคลทั่วไปที่อยากทำอาชีพไกด์ เพื่อผ่านการรับใบประกาศเป็นมัคคุเทศน์ มีใบรับรองจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉันจึงได้รับใบประกาศและบัตรสีเงินจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นมัคคุเทศน์อย่างแท้ทรู ไม่กุ๊กกู๋ สามารถนำนักท่องเที่ยว ไปเที่ยวได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ และได้รับเกียรติอย่างสูงสุด ที่ได้รับหน้าที่ เป็นตัวแทนเสมือนทูตของประเทศไทย ที่คอยต้อนรับนักต่างชาติ และเผยแพร่ สิ่งดีงามของไทย อย่างเช่นประวัติศาสตร์ ศิลป ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของไทย อีกทั้งยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว วิถีชีวิตชาวบ้าน การช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องของการแลกเปลี่ยนซื้อขายสิ่งของที่ระลึก และที่พักอาศัย ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นการกระจายรายได้ให้กับทุกๆคนในประเทศจริงๆ
ดูเหมือนว่าทุกอย่างในชีวิตฉันกำลังจะไปได้สวย ในที่สุดฉันก็สามารถรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉันเสียที ว่า “โตขึ้นฉันอยากเป็นอะไร” อาชีพทัวไกด์บัตรเงิน พานักท่องเที่ยวไปต่างประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี... ภาพหอไอเฟล ลอยมา ภาพเมืองปารีส จิบน้ำชายามเย็นริมแม่น้ำไทม์ ทัชมาฮาล ลอยมา โห.. ภูเขาไฟฟูจิ... ซารังแฮโยยยยย.... เอ่อคือว่า.. อาชีพไกด์บัตรเงิน.. ฉันยังไม่ได้ทำหรอก.. มาอเมริกาเสียก่อน...
ก็อย่างที่เคยเล่าวีรกรรมไปแล้วในเรื่องเล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ว่ามาอเมริกาอย่างไร และช่วงนั้นฉันได้ทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องเล่าเรื่องนี้ช่วงเวลามันคาบเกี่ยวกับเรื่องที่แล้วอยู่เหมือนกัน ก็ถ้าใครยังไม่ได้อ่านเรื่องนั้น ก็ถ้าอ่านเรื่องนี้จบแล้วก็ย้อนไปอ่านเรื่องนั้นได้เหมือนกันค่ะ
เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 1 https://pantip.com/topic/37968927
การมาอเมริกาถือว่าเป็นการ Reset การเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่หมดของฉัน จากการที่ฉันได้รู้แล้วว่าตัวเองอยากเป็นทัวร์ไกด์ต่างประเทศ หรือ Outbound Tour Guide สิ่งที่ฉันต้องการคือภาษาอังกฤษ การได้เรียนภาษาอังกฤษ ในชั้นเรียน และ การได้สอนภาษาอังกฤษ ที่ศูนย์สอนภาษา มันยังทำให้ฉันเป็นไกด์ต่างประเทศได้อย่างไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าฉันยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ดี นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องมาผจญภัยในอเมริกา