เมื่อฉันมาอเมริกาในปี 1997 พ่อกับแม่ก็มาด้วยกันกับฉัน และอยู่ด้วยประมาณหนึ่งอาทิตย์ เขาจัดการเรื่องที่อยู่ ที่เรียนให้ และซื้อผ้าห่มผืนใหม่ให้หนึ่งผืน ทิ้งเงินสดให้หนึ่งร้อยเหรียญ แล้วเขาทั้งสองก็บอกลา บินกลับเมืองไทยไป ฉันบอกตรงๆว่า ฉันไม่ได้มีความเศร้าเสียใจใดๆ กับการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว มันมีแต่ความตื่นเต้น ที่ได้มาอยู่ในที่ใหม่ และเจอคนใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ จะพูดจะฟังอะไรก็ไม่เข้าใจ แต่ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่โตอะไร อาจเป็นเพราะฉันยังเด็กอยู่มั้ง เลยตื่นตาตื่นใจกับอะไรๆรอบตัวไปหมด
การมาอยู่ที่ใหม่ ในบ้านเมืองใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย สำหรับนักเรียนไทย ส่วนใหญ่ก็ต้องไปเกาะกลุ่ม รวมตัวกันที่ร้านอาหารไทย หนึ่งคือภาษาอังกฤษยังไม่แข็งแรง มีคนไทย พูดภาษาไทยด้วยคือดีที่สุดแล้ว ทำให้อุ่นใจ เหมือนว่าเรายังอยู่ที่เมืองไทย อะไรอย่างนั้น สองการไปเกาะกลุ่มอยู่ที่ร้านอาหารไทย ที่เจ้าของร้านใจดี เราก็ได้มีอาหารสามมื้อกินฟรีบ้าง ถูกบ้าง ประหยัดเงินในกระเป๋าได้เยอะเลย ยิ่งตอนนั้นฉันเด็กสุดในหมู่นักเรียนไทยในเมืองนั้น จะไปไหนมาไหน มีแต่คนเอ็นดู เลยได้กินข้าวฟรีบ่อยๆ ประหยัดตังค์ได้เยอะเลย
นักเรียนไทยที่นี่มีอยู่สองประเภท คือประเภท ได้ทุนมาเรียนต่อ พี่ๆที่มาเรียนแบบนักเรียนทุน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเงินเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะมีทุนการศึกษา เรื่องค่าเทอม ค่าเล่าเรียนแล้ว ยังมีเงินค่าอุปกรณ์การเรียน อย่างเช่น สมุดดินสอ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเลยไปถึงเงิน ค่าเช่าห้องหอ อพาร์ทเม้นต์ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่าอยู่ค่ากินด้วย แต่จะมากน้อย ก็แล้วแต่ละทุนการศึกษา ว่าเป็นของหน่วยงานไหน พี่ๆพวกนี้ถึงไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ก็มีเงินไม่มากที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย อะไรที่ประหยัดได้ ก็ต้องประหยัดกันไป พี่ๆส่วนใหญ่มักจะ รวมเงินลงขันกัน เป็นค่ากับข้าว แล้วมอบหมายให้พี่คนหนึ่ง ที่เราเรียกว่าเป็นพี่แม่บ้าน ที่มีหน้าที่หุงหาอาหารให้น้องๆ ได้มาร่วมวงกินกัน เพราะการทำอาหารกินคนเดียว บางทีก็เปลืองมาก การร่วมลงขัน ค่าอาหาร และกินข้าวร่วมกันก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะประหยัดเงินได้
พี่ๆนักเรียนทุน ส่วนใหญ่จะยุ่งอยู่กับการเรียน การเป็นผู้ช่วยอาจารย์ สอนวิชานั่นนี่ การวิจัย และการทำวิทยานิพนธ์ และต้องทำเกรด ทำคะแนนให้ได้ระดับที่ทางหน่วยงานที่ให้ทุน เขาพอใจด้วย พี่ๆเขาจึงไม่ค่อยมีเวลา ไปปาร์ตี้ หรือไปหางานทำอย่างกลุ่มของนักเรียนทุนตัวเอง
ฉันเองจัดอยู่ในประเภทนักเรียนทุนตัวเอง ที่ต้องดิ้นรนหาเงินเรียน หาค่าเช่าอพาร์ทเม้นต์ และค่าอยู่ ค่ากินเอง ดังนั้นหลังจากที่อะไรๆมันเข้าที่เข้าทางแล้ว ฉันจึงต้องเริ่มหางานทำ ปกติแล้วประเทศอเมริกา จะไม่ยอมให้นักเรียนต่างชาติทำงาน เพราะเป็นการไปแย่งงานของคนอเมริกัน แต่ก็มีข้อยกเว้น อย่างเช่น สามารถทำงานในมหาวิทยาลัยได้ อย่างเช่น ไปเป็นผู้ช่วยคุมห้องแล็บ ห้องสมุด หรือเป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอนหนังสือ แก่เด็กระดับปริญญาตรี เป็นต้น
ในเวลานั้น ทางอเมริกาจะอนุญาตให้นักเรียนต่างชาติ ที่มาจากประเทศอื่นๆ สามารถทำงานได้ หรือไม่ ก็เป็นกรณีๆไป แล้วแต่ ความสัมพันธ์ทางการทูต ที่อเมริกามีให้กับชาตินั้นๆ สำหรับประเทศไทย นักเรียนไทย (ในตอนนั้น) สามารถทำงานนอกรั้วมหาวิทยาลัยได้ แต่ก็มีจำกัดไว้ให้ทำงานได้เฉพาะประเภท อย่างงานในร้านอาหารไทยเป็นต้น ส่วนใหญ่นักเรียนทุนตัวเอง จะเป็นคนออกมาหางานทำนอกรั้วมหาวิทยาลัยทั้งนั้น เพราะว่าได้ค่าจ้างแพงกว่า ทำงานในมหาวิทยาลัย
งานที่ฉันทำครั้งแรกคืองานล้างจาน ในร้านอาหารไทย จากคนที่มือห่าง เท้าห่าง ทำอะไรไม่เป็นเลย และไม่เคยทำอะไรเลย ต้องมาล้างจาน (ด้วยมือ ที่ร้าน ไม่มีเครื่องล้างจานด้วย) ล้างจานในร้านอาหาร เป็นอะไร แบบไม่คิดไม่ฝันว่าต้องมาทำงานแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอพี่เจ้าของร้านอาหารไทย เขาบอกว่าขาดคนล้างจาน ฉันก็เลยเสียบทันที และได้ค่าจ้างชั่วโมงละห้าเหรียญ ทำสามชั่วโมงต่อวัน ตอนกลางคืน รวมได้สิบห้าเหรียญ โอ๊ย.. ดีใจมาก เพราะคิดว่า ห้าเหรียญดอลล์ล่านั้น ช่างมากมายเสียเหลือเกิน (โอ๊ย...เด็กน้อยเอ๊ย...) เพราะฉันเอาค่าเงินดอลล์ ไปเทียบเป็นเงินไทย จึงคิดว่าฉันได้เงินมากมาย แต่พอทำไปได้สักสองสามเดือนจึงเข้าใจว่า ห้าเหรียญ ยังไม่พอซื้อเบอร์เกอร์ชุดรวม มากินเลย จากที่ดีใจเว่อร์ หัวใจพองโต คิดว่าได้เงินเยอะแยะ กลายเป็นหัวใจห่อเหี่ยวทันที
หลังจากนั้นไม่นานทางร้านก็ขาดแม่ครัว พี่เจ้าของร้านเลยถามว่าฉันอยากทำไหม ตอนนั้นฉันก็เอวบางร่างน้อยอยู่เนาะ ล้างจานจนมือเปื่อย ก้มล้างในซิ้งค์จนหลังแถมขาด อดทนทำงานเหนื่อยมากๆเลย คือไม่ได้ดูสังขารตัวเองก็ว่าทำได้หรือไม่ แต่ก็บอกตกลงไปเพราะงานแม่ครัว ได้เงินเยอะกว่าเป็นเด็กล้างจาน ขนาดฉันทำอาหารไม่เป็นเลย พี่เขาก็ใจดี บอกว่าจะสอนให้ ฉันก็เลยตกลงทำ โดยที่ไม่รู้เลยว่า เป็นแม่ครัวร้านอาหารไทย มันจะยาก เหนื่อย และเครียดมากๆ
ฉันไปเรียนตอนกลางวัน และทำงานเป็นแม่ครัวร้านอาหารไทยในตอนกลางคืนไปเรื่อยๆ ได้ประมาณปีกว่า ก็รู้จักลูกค้าฝรั่งมากมาย และมีรูมเมทเป็นชาวต่างชาติด้วย ทำให้ภาษาอังกฤษของฉันดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากการไปเรียน และการทำงานที่ร้านอาหารไทยแล้ว วันอาทิตย์ที่เป็นวันร้านปิด ส่วนใหญ่เราจะหาอะไรทำ อย่างเช่นไปเที่ยวแถวๆทะเลสาป ขับรถรอบๆเมือง หรือไม่ก็ไปตลาดที่เรียกว่า Flea Market
ตลาด Flea Market ในแต่ละเมือง และแต่ละที่ มันก็แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว มันก็คล้ายๆกับตลาดนัดบ้านเรา แต่จะมีของขายจิปาถะ มากมายหลายชนิดมากกว่า Farmer Market ที่ส่วนใหญ่ เกษตรกร จะเอาผักผลไม้มาขาย แต่ที่ Flea Market ก็จะเป็นตลาดที่เขาเอาของมาขายตั้งแต่เครื่องเรือนแต่งบ้าน ทั้งเก่าและใหม่ สินค้า ข้าวของเครื่องใช้นานาชนิด เสื้อผ้า มือเก่า มือใหม่ และรวมไปถึงของสะสมอย่างเช่น เหรียญเงินดอลล์ล่า ตั้งแต่เก่าถึงใหม่ มีทั้งเหรียญ ทั้งแบ้งค์ ที่คนนำมาซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนกัน ทุกวันหยุดเสาร์ อาทิตย์
ทั้งนี้ฉันก็ไปสนิทกับพี่นักเรียนคนไทย คนหนึ่งที่ชอบสะสมเหรียญดอลล์ล่า แกก็มาที่ Flea Market แห่งนี้ ที่ห่างออกไปจากเมืองที่เรา ขับรถไปประมาณสี่สิบนาทีถึง แกก็มาเป็นประจำทุกวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เพื่อมาดูเหรียญสะสม พอฉันกับเพื่อนรูมเมทว่างในวันอาทิตย์ พี่คนนี้ก็ชวนเรามาเที่ยว มาเดินดูของ และซื้อของไปเรื่อยเปื่อย
พอฉันไปบ่อยๆเข้า แทนที่จะไปซื้อของ ฉันก็ไปสังเกตุดูว่า คนเขาเอาอะไรมาขายบ้าง และอะไรขายได้ หรือขายไม่ได้ แต่ที่ดูๆ ทุกอย่างก็ขายได้หมด ตั้งแต่สากเบือ ยันเรือรบ แม้กระทั่งไอ้ที่เราเห็นว่ามันคือ Junk หรือขยะดีๆนี่เอง มันก็ยังขายได้ ฉันจึงหวนไปคิดถึง ข้าวของกระจุกกระจิก ที่ขนมาจากเมืองไทย เพื่อที่จะเอามาแจก เพื่อนฝูงต่างประเทศ และหลังจากที่แจกกันไปหมดทุกคนแล้ว ฉันก็มีของเหลืออยู่พอประมาณ เลยคิดว่า ถ้าเอามาขายก็น่าจะดีนะ จะขายได้ หรือขายไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง ฉันเลยไปถามคนแถวๆนั้นว่า ถ้าอยากขายของที่ตลาดนัดแห่งนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง
การขายของที่ตลาดนัด ก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ไปที่ออฟฟิต ของเจ้าของตลาด ไปบอกเขาว่าอยากจะขายของ เขาก็ดูว่ามีล็อตไหนว่างบ้าง แล้วก็บอกว่าราคาค่าเช่าที่ สองวันราคาเท่าไหร่ และเขาก็จะถามว่าเราขายอะไรบ้าง เพราะถ้าเราขายของต้องห้าม อย่าง พลุ ประทัด ปืน หรืออะไร อันตรายๆ เขาจะไม่ให้ขาย เมื่อเขาโอเค กับสินค้าที่เราจะขาย ก็ต้องจ่ายเงินไปล่วงหน้า เพราะถ้าไม่จ่ายเงิน เขาไม่ล็อคที่ให้ พอถึงวันเอาของมาขาย อาจจะไม่มีที่ก็ได้ ดังนั้น จ่ายเงินค่าเช่าที่ล่วงหน้า จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ
*** เรื่องราวมันผ่านมานานมากค่ะ รูปภาพสมัยก่อนจะเป็นภาพถ่ายเสียมากกว่า ทีนี้ย้ายบ้านสิบกว่าหน รูปมันก็เลยหายไปค่ะ เลยเอารูป ที่ได้จากเว็บเอามาให้ดูนะคะ ว่าตลาดนัดฝรั่งเขาขายอะไรกันบ้าง

ฝากติดตามตอนต่อไปนะคะ
เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 2
https://pantip.com/topic/37974865
เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 3
https://pantip.com/topic/37992031
เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 1
การมาอยู่ที่ใหม่ ในบ้านเมืองใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย สำหรับนักเรียนไทย ส่วนใหญ่ก็ต้องไปเกาะกลุ่ม รวมตัวกันที่ร้านอาหารไทย หนึ่งคือภาษาอังกฤษยังไม่แข็งแรง มีคนไทย พูดภาษาไทยด้วยคือดีที่สุดแล้ว ทำให้อุ่นใจ เหมือนว่าเรายังอยู่ที่เมืองไทย อะไรอย่างนั้น สองการไปเกาะกลุ่มอยู่ที่ร้านอาหารไทย ที่เจ้าของร้านใจดี เราก็ได้มีอาหารสามมื้อกินฟรีบ้าง ถูกบ้าง ประหยัดเงินในกระเป๋าได้เยอะเลย ยิ่งตอนนั้นฉันเด็กสุดในหมู่นักเรียนไทยในเมืองนั้น จะไปไหนมาไหน มีแต่คนเอ็นดู เลยได้กินข้าวฟรีบ่อยๆ ประหยัดตังค์ได้เยอะเลย
นักเรียนไทยที่นี่มีอยู่สองประเภท คือประเภท ได้ทุนมาเรียนต่อ พี่ๆที่มาเรียนแบบนักเรียนทุน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเงินเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะมีทุนการศึกษา เรื่องค่าเทอม ค่าเล่าเรียนแล้ว ยังมีเงินค่าอุปกรณ์การเรียน อย่างเช่น สมุดดินสอ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเลยไปถึงเงิน ค่าเช่าห้องหอ อพาร์ทเม้นต์ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่าอยู่ค่ากินด้วย แต่จะมากน้อย ก็แล้วแต่ละทุนการศึกษา ว่าเป็นของหน่วยงานไหน พี่ๆพวกนี้ถึงไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ก็มีเงินไม่มากที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย อะไรที่ประหยัดได้ ก็ต้องประหยัดกันไป พี่ๆส่วนใหญ่มักจะ รวมเงินลงขันกัน เป็นค่ากับข้าว แล้วมอบหมายให้พี่คนหนึ่ง ที่เราเรียกว่าเป็นพี่แม่บ้าน ที่มีหน้าที่หุงหาอาหารให้น้องๆ ได้มาร่วมวงกินกัน เพราะการทำอาหารกินคนเดียว บางทีก็เปลืองมาก การร่วมลงขัน ค่าอาหาร และกินข้าวร่วมกันก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะประหยัดเงินได้
พี่ๆนักเรียนทุน ส่วนใหญ่จะยุ่งอยู่กับการเรียน การเป็นผู้ช่วยอาจารย์ สอนวิชานั่นนี่ การวิจัย และการทำวิทยานิพนธ์ และต้องทำเกรด ทำคะแนนให้ได้ระดับที่ทางหน่วยงานที่ให้ทุน เขาพอใจด้วย พี่ๆเขาจึงไม่ค่อยมีเวลา ไปปาร์ตี้ หรือไปหางานทำอย่างกลุ่มของนักเรียนทุนตัวเอง
ฉันเองจัดอยู่ในประเภทนักเรียนทุนตัวเอง ที่ต้องดิ้นรนหาเงินเรียน หาค่าเช่าอพาร์ทเม้นต์ และค่าอยู่ ค่ากินเอง ดังนั้นหลังจากที่อะไรๆมันเข้าที่เข้าทางแล้ว ฉันจึงต้องเริ่มหางานทำ ปกติแล้วประเทศอเมริกา จะไม่ยอมให้นักเรียนต่างชาติทำงาน เพราะเป็นการไปแย่งงานของคนอเมริกัน แต่ก็มีข้อยกเว้น อย่างเช่น สามารถทำงานในมหาวิทยาลัยได้ อย่างเช่น ไปเป็นผู้ช่วยคุมห้องแล็บ ห้องสมุด หรือเป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอนหนังสือ แก่เด็กระดับปริญญาตรี เป็นต้น
ในเวลานั้น ทางอเมริกาจะอนุญาตให้นักเรียนต่างชาติ ที่มาจากประเทศอื่นๆ สามารถทำงานได้ หรือไม่ ก็เป็นกรณีๆไป แล้วแต่ ความสัมพันธ์ทางการทูต ที่อเมริกามีให้กับชาตินั้นๆ สำหรับประเทศไทย นักเรียนไทย (ในตอนนั้น) สามารถทำงานนอกรั้วมหาวิทยาลัยได้ แต่ก็มีจำกัดไว้ให้ทำงานได้เฉพาะประเภท อย่างงานในร้านอาหารไทยเป็นต้น ส่วนใหญ่นักเรียนทุนตัวเอง จะเป็นคนออกมาหางานทำนอกรั้วมหาวิทยาลัยทั้งนั้น เพราะว่าได้ค่าจ้างแพงกว่า ทำงานในมหาวิทยาลัย
งานที่ฉันทำครั้งแรกคืองานล้างจาน ในร้านอาหารไทย จากคนที่มือห่าง เท้าห่าง ทำอะไรไม่เป็นเลย และไม่เคยทำอะไรเลย ต้องมาล้างจาน (ด้วยมือ ที่ร้าน ไม่มีเครื่องล้างจานด้วย) ล้างจานในร้านอาหาร เป็นอะไร แบบไม่คิดไม่ฝันว่าต้องมาทำงานแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอพี่เจ้าของร้านอาหารไทย เขาบอกว่าขาดคนล้างจาน ฉันก็เลยเสียบทันที และได้ค่าจ้างชั่วโมงละห้าเหรียญ ทำสามชั่วโมงต่อวัน ตอนกลางคืน รวมได้สิบห้าเหรียญ โอ๊ย.. ดีใจมาก เพราะคิดว่า ห้าเหรียญดอลล์ล่านั้น ช่างมากมายเสียเหลือเกิน (โอ๊ย...เด็กน้อยเอ๊ย...) เพราะฉันเอาค่าเงินดอลล์ ไปเทียบเป็นเงินไทย จึงคิดว่าฉันได้เงินมากมาย แต่พอทำไปได้สักสองสามเดือนจึงเข้าใจว่า ห้าเหรียญ ยังไม่พอซื้อเบอร์เกอร์ชุดรวม มากินเลย จากที่ดีใจเว่อร์ หัวใจพองโต คิดว่าได้เงินเยอะแยะ กลายเป็นหัวใจห่อเหี่ยวทันที
หลังจากนั้นไม่นานทางร้านก็ขาดแม่ครัว พี่เจ้าของร้านเลยถามว่าฉันอยากทำไหม ตอนนั้นฉันก็เอวบางร่างน้อยอยู่เนาะ ล้างจานจนมือเปื่อย ก้มล้างในซิ้งค์จนหลังแถมขาด อดทนทำงานเหนื่อยมากๆเลย คือไม่ได้ดูสังขารตัวเองก็ว่าทำได้หรือไม่ แต่ก็บอกตกลงไปเพราะงานแม่ครัว ได้เงินเยอะกว่าเป็นเด็กล้างจาน ขนาดฉันทำอาหารไม่เป็นเลย พี่เขาก็ใจดี บอกว่าจะสอนให้ ฉันก็เลยตกลงทำ โดยที่ไม่รู้เลยว่า เป็นแม่ครัวร้านอาหารไทย มันจะยาก เหนื่อย และเครียดมากๆ
ฉันไปเรียนตอนกลางวัน และทำงานเป็นแม่ครัวร้านอาหารไทยในตอนกลางคืนไปเรื่อยๆ ได้ประมาณปีกว่า ก็รู้จักลูกค้าฝรั่งมากมาย และมีรูมเมทเป็นชาวต่างชาติด้วย ทำให้ภาษาอังกฤษของฉันดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากการไปเรียน และการทำงานที่ร้านอาหารไทยแล้ว วันอาทิตย์ที่เป็นวันร้านปิด ส่วนใหญ่เราจะหาอะไรทำ อย่างเช่นไปเที่ยวแถวๆทะเลสาป ขับรถรอบๆเมือง หรือไม่ก็ไปตลาดที่เรียกว่า Flea Market
ตลาด Flea Market ในแต่ละเมือง และแต่ละที่ มันก็แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว มันก็คล้ายๆกับตลาดนัดบ้านเรา แต่จะมีของขายจิปาถะ มากมายหลายชนิดมากกว่า Farmer Market ที่ส่วนใหญ่ เกษตรกร จะเอาผักผลไม้มาขาย แต่ที่ Flea Market ก็จะเป็นตลาดที่เขาเอาของมาขายตั้งแต่เครื่องเรือนแต่งบ้าน ทั้งเก่าและใหม่ สินค้า ข้าวของเครื่องใช้นานาชนิด เสื้อผ้า มือเก่า มือใหม่ และรวมไปถึงของสะสมอย่างเช่น เหรียญเงินดอลล์ล่า ตั้งแต่เก่าถึงใหม่ มีทั้งเหรียญ ทั้งแบ้งค์ ที่คนนำมาซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนกัน ทุกวันหยุดเสาร์ อาทิตย์
ทั้งนี้ฉันก็ไปสนิทกับพี่นักเรียนคนไทย คนหนึ่งที่ชอบสะสมเหรียญดอลล์ล่า แกก็มาที่ Flea Market แห่งนี้ ที่ห่างออกไปจากเมืองที่เรา ขับรถไปประมาณสี่สิบนาทีถึง แกก็มาเป็นประจำทุกวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เพื่อมาดูเหรียญสะสม พอฉันกับเพื่อนรูมเมทว่างในวันอาทิตย์ พี่คนนี้ก็ชวนเรามาเที่ยว มาเดินดูของ และซื้อของไปเรื่อยเปื่อย
พอฉันไปบ่อยๆเข้า แทนที่จะไปซื้อของ ฉันก็ไปสังเกตุดูว่า คนเขาเอาอะไรมาขายบ้าง และอะไรขายได้ หรือขายไม่ได้ แต่ที่ดูๆ ทุกอย่างก็ขายได้หมด ตั้งแต่สากเบือ ยันเรือรบ แม้กระทั่งไอ้ที่เราเห็นว่ามันคือ Junk หรือขยะดีๆนี่เอง มันก็ยังขายได้ ฉันจึงหวนไปคิดถึง ข้าวของกระจุกกระจิก ที่ขนมาจากเมืองไทย เพื่อที่จะเอามาแจก เพื่อนฝูงต่างประเทศ และหลังจากที่แจกกันไปหมดทุกคนแล้ว ฉันก็มีของเหลืออยู่พอประมาณ เลยคิดว่า ถ้าเอามาขายก็น่าจะดีนะ จะขายได้ หรือขายไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง ฉันเลยไปถามคนแถวๆนั้นว่า ถ้าอยากขายของที่ตลาดนัดแห่งนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง
การขายของที่ตลาดนัด ก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ไปที่ออฟฟิต ของเจ้าของตลาด ไปบอกเขาว่าอยากจะขายของ เขาก็ดูว่ามีล็อตไหนว่างบ้าง แล้วก็บอกว่าราคาค่าเช่าที่ สองวันราคาเท่าไหร่ และเขาก็จะถามว่าเราขายอะไรบ้าง เพราะถ้าเราขายของต้องห้าม อย่าง พลุ ประทัด ปืน หรืออะไร อันตรายๆ เขาจะไม่ให้ขาย เมื่อเขาโอเค กับสินค้าที่เราจะขาย ก็ต้องจ่ายเงินไปล่วงหน้า เพราะถ้าไม่จ่ายเงิน เขาไม่ล็อคที่ให้ พอถึงวันเอาของมาขาย อาจจะไม่มีที่ก็ได้ ดังนั้น จ่ายเงินค่าเช่าที่ล่วงหน้า จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ
*** เรื่องราวมันผ่านมานานมากค่ะ รูปภาพสมัยก่อนจะเป็นภาพถ่ายเสียมากกว่า ทีนี้ย้ายบ้านสิบกว่าหน รูปมันก็เลยหายไปค่ะ เลยเอารูป ที่ได้จากเว็บเอามาให้ดูนะคะ ว่าตลาดนัดฝรั่งเขาขายอะไรกันบ้าง
ฝากติดตามตอนต่อไปนะคะ
เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 2 https://pantip.com/topic/37974865
เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 3 https://pantip.com/topic/37992031