สั้น ๆ ง่าย ๆ เลยคือ ✅ “I’m torn.” (จากประโยคเต็มที่บอกว่า I’m torn between these two.) ความหมายเดียวกับ ”It’s so hard to choose.” นี่แหละครับ โดยคำว่า torn (

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” ภาษาอังกฤษพูดว่า... นอกจากการพูดตรงตัวว่า “Don’t believe but have to believe!“ ที่เอาจริงฝรั่งฟังก็พอเข้าใจได้ครับ มันยังมีคำพูดที่ฟังดูเป็นธรรมชาต

กลุ่มเราได้ reading ม.4-6 แล้วทีนี้ต้องเลือกโครงสร้างเราเลยเลือก relative clause ตัวอย่างที่ส่งไปอาจารย์บอกว่า เด็กจะได้อ่านแค่ประโยค แล้วทีนี้พวกเราก็คิดว่าถ้าทำเป็น pharagraph เด็กก็จะได้อ่านได้เยอะ

ผมสงสัยครับว่า that นี้นอกจากเป็น relative pronoun ทำหน้าที่เชื่อมประโยค ยังสามารถเป็นคำชนิดไหน ทำหน้าที่อะไรได้อีกบ้างครับ เช่น That car แบบนี้อะครับมันยังใช่ relative pronoun อยู่หรือเปล่า แล้วก็มี

ส่งสัยเพราะนิยามของประโยค complex คือต้องมี main clause กับ subordinate clause แล้วถ้า relative clause ลดรูปไปแล้วยังถือว่าเป็น ประโยค complex อยู่หรือเปล่าครับ เช่น Please read the instructions whic

เช่นประโยคที่ว่า "He is the father of this cute baby." ถ้าเราจะต้องมี relative clause เพื่อขยายคำว่า father เช่น "who is working at this building" เราจะเอา clause นี้ไปใส่ไว้หลัง

สั้น ๆ ก็คือ เริ่มต้น ภาษาฝรั่งเศสนั้นจะมีนิเสธตัวเดียว คือ Jeo dis "ฉันพูด" ซึ่งนี่เป็น phase ที่ 1 ต่อมาภาษาฝรั่งเศสก็จะเข้า เป็น phase ที่ 2 ในปัจจุบัน คือ Je dis ต้นเหตุนั้น หลัก ๆ มี

ประโยคที่ตรงความหมายที่สุด และใช้บ่อยที่สุดคือ “Sorry for the short notice.” (short notice = การแจ้งแบบกระชั้นชิด) หรือ “S

ในภาษาพูดและทางการ ทุกคนจะได้ยินประโยคนี้แน่นอนคือ  - “Take your time.” (หรือ “Take as much time as you need.” = ใช้

ขอปรึกษาปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษค่ะ คือได้รับโอกาสให้ทำงาน(งานอยู่ที่ไทย)เป็นเซลล์เชิญชวนคนไปเรียนที่ต่างประเทศเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ เจ้านายเลยจะให้ไปลองเรียนดูสักคอร์ส ซึ่งมีระยะเวลา1 เดือนที่ต่างประเทศ เร