อธิบายทั้ง 12 Tenses อังกฤษ พร้อมทริค แบบเข้าใจง่ายและเห็นภาพที่สุด ไม่น่าเบื่อและเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ง่าย

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาสอนทั้ง 12 Tenses อังกฤษ ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและเห็นภาพที่สุด ในแบบที่ไม่มีใครทำมาก่อน และ คุณสามารถเอาไปเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย

ผมเชื่อว่าทุกคนเคยดูหนังฝรั่งกันมาบ้าง หลายคนคงรู้ว่า สิ่งที่ฝรั่งเค้าให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ "เวลา" อย่างเช่นการเข้าเรียนช้าแล้วเจอปิดประตูไม่ให้เข้าเลย เอ๊ะแต่มันเกี่ยวข้องยังไงกัน ทุกชาติก็มีเวลาอยู่ในการพูดคุยนี่นา เช้านี้ผมไปเรียน ก็มีเวลา.. คำตอบคือใช่ครับ ทุกภาษามีเวลา เพียงแต่เราให้ความสำคัญมันไม่เท่ากัน อย่างถ้าพูดว่า "เมื่อเช้าผมตื่นนอนในอดีตสาย ก็เลย รีบในอดีตเพื่อไปอาบน้ำกินข้าว ก่อนที่ผมจะนึกได้ในอดีตว่า เอ๊ะวันนี้เป็นวันหยุดในอดีต ผมไม่ต้องในอดีตไปโรงเรียน" ก็คงจะตลกมาก แต่นี่คือสิ่งที่ฝรั่งเค้าใช้พูดกัน และเพื่อทำอะไรให้มีระเบียบ แทนที่จะพูดว่า "ตื่นนอนในอดีต" ด้วย "wake up in the past" เราก็ใช้แค่ "woke" คำเดียวได้เลย และนี่ก็ถือเป็น 1 ใน ระบบปฎิบัติการลดความเวิ่นเว้อ หรือที่เรียกว่า Tense

อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะคิดว่า โอ๊ อะไรเนี่ย เปิดมาก็น่าเบื่อแล้ว แล้วเราจะมาเรียนแกรมม่าทำไม ? ไม่หรอกครับ ผมจะมีวิธีการสอนในแบบของผมเอง ไม่เหมือนใคร (ไม่มีใครอยากเหมือนด้วย แป้ว 55 หยอกๆ) จริงอยู่ว่าการสนทนา หรือ Conversation คือสิ่งที่ ควร จะมาก่อน แกรมม่า เพราะสุดท้ายแล้ว การกล้าที่จะพูดก็คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด แต่เอาเข้าจริงๆแล้วมันมีความสำคัญไม่แพ้กันนะ แล้วรู้มั้ยว่าทำไม คนไทยส่วนใหญ่ถึงแกรมม่าไม่ดี ทั้งที่การศึกษาไทยก็เน้นย้ำ นั่นเป็นเพราะรูปแบบการสอน เนื้อหาการสอนตามหลักสูตรรัฐบาลไทยสอนอะไรที่ จับต้องไม่ได้  และ กระจัดกระจาย ทำให้เราเรียนรู้อย่างต่อเนื่องได้ยาก และนี่คือจุดเด่นในการสอนของผม
ผมจะไม่โยนกลุ่ม present past future ให้คุณเรียนรู้เป็นชุดๆแบบนั้น เพราะผมเชื่อว่า การจัดเรียงแบบผมมันมีประสิทธิภาพกว่า ในด้านของการทำความเข้าใจ และ ผมจะเขียนในแบบที่ทุกคนใช้ศึกษาเองได้ ขอเพียงคุณเข้าใจว่า verb ทุกตัวมี 3 ช่อง และ พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง

ก่อนเริ่ม ขออธิบายตัวย่อก่อน
V1 คือ verb ช่อง 1 อย่าลืมการผันตามประธานด้วยนะ เพราะ ถ้าไม่ผันเลยใช้ฟอร์มเดียว ตือ V0 
V2 และ V3 คือ verb ช่อง 2 และ 3 ตามลำดับ
Ving คือ verb ในรูป continuous
Vbe คือ verb to be (is, am, are, was, were, been)
Vdo คือ verb to do (do, does, did, done)
Vhave คือ verb to have (has, have, had)



Present Simple
Structure : V1

เปิดมาด้วย Tense แรก ก็คงหนีไม่พ้นอันนี้ ชื่อก็บอกอยู่ว่า Simple เรียบง่าย พื้นฐาน ซึ่งก็ตามนั้น ไม่มีลูกเล่นอะไร เป็นพวกมักเกิลธรรมดา

Tense นี้ใช้กับ

1. ข้อเท็จจริงทั่วไป
เช่น Thailand is in Asia. (ประเทศไทยอยู่ในทวีปเอเชีย)
Penguins are flightless birds. (เพนกวินคือนกบินไม่ได้)

2. การกระทำที่เป็นนิสัย ในปัจจุบัน
เช่น She runs every morning. (เธอวิ่งทุกเช้า)
Our friends often travel alone. (เพื่อนๆของเรามักจะเที่ยวคนเดียว)

3. ตารางเวลา ในอนาคต
เช่น The next flight is at 10.45 am. (เที่ยวบินต่อไปคือตอน 10.45 น.)
His concert starts at 3 pm. (คอนเสิร์ตของเขาเริ่มตอน บ่าย 3)

แล้ว ถ้า ตารางเวลาในปัจจุบัน ล่ะ ก็ใช้ Tense นี้ครับ แต่ผมแยกออกมาเพื่ออธิบาย
ตารางเวลาในปัจจุบัน คือ อะไรที่เป็นในรูป ภาพรวมของตารางเวลา นะ เช่น พ่อฉันกินข้าวกับปลาย่างตอน 7 โมงทุกวัน (My dad eats rice with grilled fish on 7 o'clock every day) แต่ถ้าจะบอกว่า เมื่อเช้าตอน 7 โมง พ่อฉันกินข้าวกับปลาย่าง ใช้ Tense นี้ไม่ได้ พอเห็นภาพไหมครับ

ปกติคุณกินข้าว หรือ ซักผ้า บ่อยกว่ากันครับ ? แน่นอนว่าแบบแรก อ่าว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำทั่วไปเหมือนกัน งี้ มีวิธีบอกให้ชัดมั้ย ? มีครับ ใช้คำขยายกริยาเพื่อบอกความถี่.. ทำบ่อยแค่ไหน เนอะ ก็เลยเรียกขยายกริยา เป็น Adverb of Frequency และนี่คือสิ่งที่ทำให้ Present Simple ไม่น่าเบื่อ ซึ่งผมก็รวบรวมเอาไว้ให้ข้างล่าง โดยเรียงความถี่จาก น้อยที่สุด ไป มากที่สุดไว้แล้ว

- Never (ไม่เคยเกิดขึ้นเลย)
- Seldom
- Rarely
- Occasionally
- Sometimes
- Often
- Frequently
- Usually
- Always (ตลอดเวลา)

ลองไปแต่งประโยคเล่นดูครับ



Future Simple
Structure : Will + V0


Tense ที่ 2 ขอเปิด Future เลยละกัน ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้าเนอะ อนาคตอีกยาวไกล
แน่นอนว่าตอนอ่านอันนี้ที่ผมเขียน คุณก็คงวางแผนไว้แล้วว่าจะทำอะไรต่อ เป็นเรื่องของอนาคต เช่นเดียวกับที่ผมกำลังจะพูดถึง

Tense นี้ใช้กับ 

1. สิ่งที่จะเกิดในอนาคต
เช่น I will win the race I know it. (คุณจะชนะการแข่ง ผมรู้น่า)
One day people will live on the moon. (ซักวันเราจะอาศัยบนดวงจันทร์)

2. ตัดสินใจทำบางอย่าง ณ เดี๋ยวนั้น
เช่น I will call you in a few minutes then. (งั้นเดี๋ยวอีกซักพักจะโทรหาละกันนะ)
I like this toy, I will buy it. (ผมชอบของเล่นนี้อะ ซื้อเลยละกัน)

Q : อ่าว แล้วถ้าไม่ใช่การตัดสินใจ ณ เดี๋ยวนั้นล่ะ
A : ถ้าตัดสินใจไว้แล้วก่อนหน้า ให้ใช้รูป กำลังจะไปทำ ได้เลย Vbe + going to + V0 เช่น We are going to buy her a doll (พวกเรากำลังจะไปซื้อตุ๊กตาให้เธอ)

นอกจาก will แล้วเรายังสามารถใช้คำว่า shall แทนได้ ซึ่งความหมายจะเป็นในเชิงขอร้อง หรือ ขอคำแนะนำ
*ข้อควรระวัง shall กับ should ไม่เหมือนกัน

What shall I do ? (งั้นผมจะทำไงดี)
What should I do ? (งั้นผมต้องทำไง)

Shall I carry your books ? (ให้ผมช่วยคุณถือหนังสือมั้ย)
Should I carry your books ? (ผมควรจะช่วยคุณถือหนังสือมั้ยเนี่ย)



Future Perfect
Structure : will have + V3

เมื่อกี้ที่บอกว่า ตอนกำลังอ่านอันนี้ คุณก็คงวางแผนไว้แล้วว่าจะทำอะไรต่อ ซึ่งสิ่งที่จะทำก็อยู่ในรูป Future Simple
ดูๆไปแล้ว ทั้ง Present Simple และ Future Simple ต่างก็เป็นสิ่งที่อยู่นิ่งเฉยๆเนอะ ว่ามั้ย ถ้างั้น อะไรจะเชื่อมมันล่ะ อย่างเช่นจะบอกว่า ก่อนจะไปทำอะไรบางอย่าง ผมก็จะทำอะไรอีกอย่างให้เสร็จก่อน คำตอบคือนี่เลยครับ Future Perfect ฉะนั้น tense นี้เกิดขึ้นก่อน Future Simple นะ

Tense นี้ใช้กับ

1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจบ ก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่ง
เช่น The roses will have died before Christmas (ดอกกุหลาบจะตายก่อนวันคริสต์มาส)
She will have finished her work before I arrive. (เธอจะทำงานของเธอเสร็จ ก่อนที่ผมจะมาถึง)
I will have finished writing this tense before I do my homework. (ผมจะเขียน tense นี้ให้เสร็จก่อนที่จะไปทำการบ้าน)



Future Continuous
Structure : will be + Ving

เรามี Future Perfect บอกถึงความต่อเนื่อง แต่ เฮ้ นั่นมันจากปัจจุบันไปนี่นา แล้วถ้าเราจะออกจากกรอบ ไปแต่งประโยคต่อเนื่อง แต่ในอนาคตทั้งหมดไปเลยล่ะ ? แน่นอน ย่อมได้ ด้วย Future Continuous นี่เองละครับ

Tense นี้ใช้กับ

1. เหตุการณ์ที่ จะดำเนินอยู่ ในอนาคต ในเวลาที่ระบุ
เช่น He will be sleeping when we arrive. (เขาจะกำลังหลับอยู่ในตอนที่เรามาถึง)
My aunt will not be staying in Thailand in 5 years' time. (อีก 5 ปีข้างหน้า ป้าของผมจะไม่อยู่ในประเทศไทยแล้ว)

2. เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
Q : อันนี้ต่างกับ will ยังไง ?
A : will มีความมั่นใจที่มากกว่าครับ ตัดสินใจขณะนั้นแบบมั่นใจ แต่อันนี้เป็นเพียงการคาดเดาเบาๆ
เช่น She will be staying here until Sunday. (เธอจะอยู่นี่จนถึงวันอาทิตย์)
The teacher will be meeting us about senior project next week. (อาจารย์จะประชุมเกี่ยวกับโปรเจกต์ปี 4 สัปดาห์หน้า)



Future Perfect Continuous
Structure : will have + V3

แปลกขึ้นไปอีก ถ้าเป็นความต่อเนื่องในอนาคต แต่มีจุดจบล่ะ และมันก็ฟังก์ชันของ tense นี้เลยครับ Future Perfect Continuous

Tense นี้ใช้กับ

1. เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต แต่ก็จะจบลงก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่ง
พวกที่พูดถึงการครบรอบนั่นนี่ ก็ใช้ tense นี้นะครับ
เช่น By the times our plane arrives, we will have been waiting for exactly 8 hours. (กว่าเครื่องบินของเราจะมา เราจะต้องรอตั้ง 8 ชั่วโมงเต็มๆ)
He will have been working here for 10 years in the next 2 months. (อีก 2 เดือนข้างหน้าก็เท่ากับว่าเขาทำงานที่นี่มา 10 ปีละ)

Present Continuous
Structure : Vbe + Ving

ก็ยังคงขลุกอยู่กับความสัมพันธ์ ปัจจุบัน และ อนาคต ต่อไป เอ๊ะเรามี ปัจจุบัน-อนาคต กับ อนาคต-อนาคต แล้ว ต่อไปขาดอะไรนะ อ้อ ปัจจุบัน-ปัจจุบัน ไง

Tense นี้ใช้กับ 

1. เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะที่พูด หรือ ในช่วงนี้
เช่น Look ! it is snowing. (ดูนั่นสิ หิมะกำลังตก)
The world's climate is changing. (สภาพภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลง)

2. เหตุการณ์ในอนาคตที่ วางแผน ไว้ล่วงหน้า
อันนี้อธิบายไว้ใน Future Simple ละคร้าบ
ให้อีกตัวอย่าง We are going to the cinema tonight.



Present Perfect Continuous
Structure : Vhave + been + Ving

ไหนลองย้อนขึ้นไปดู Tense ก่อนหน้า ตรงส่วนการใช้ที่ 1 เหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน แล้วบอกผมซิครับ ว่า ข้อมูลมันขาดอะไรบางอย่างไป ?
ถูกครับ เวลา ตามที่บอกไปว่า เวลา นั้น สำคัญ แต่แบบข้างบนยังไม่บอกเลยว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่จนตอนนี้มันยังไม่จบ และ Tense นี้มีเพื่อแก้ข้อผิดพลาดนั้น

Tense นี้ใช้กับ 

1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
เช่น It has been snowing for 6 hours. (นี่หิมะมันตกมาตั้ง 6 ชั่วโมงละนะ)
ต่างจาก It is snowing, อันนี้แค่บอกให้รู้ว่าตกอยู่
Kids have been playing since 2 pm. (เด็กๆเล่นกันมาตั้งแต่บ่าย 2 ละ)

2. เหตุการณ์ที่พึ่งจะสิ้นสุดลง แต่ มันส่งผลต่อบางอย่าง หรือ เห็นผลของเหตุการณ์
ซึ่งมักจะมีผลเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
เช่น Watch out ! we have been painting that bench. (ระวัง พวกเราพึ่งจะทาสีม้านั่งตัวนั้น)
Beware ! wet floor. my sister has been splashing a lot of water (ระวัง พื้นลื่น น้องสาวผมพึ่งจะเอาน้ำมาสาดลงไป)
I'm hot ! I have been running (รู้สึกร้อน ผมพึ่งจะวิ่งเสร็จ)



Past Continuous
Structure : Vbe + Ving

ความสัมพันธ์ในปัจจุบันเราจบไปแล้ว มาย้อนรอยอดีตดีกว.... ป้าบบบ  !! โง้ย  555 อันนี้พูดถึงความต่อเนื่องในอดีตบ้างครับ เข้า past แล้ว อย่าลืมผัน verb นะ

Tense นี้ใช้กับ

1. เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต ในเวลาหนึ่ง
เช่น The students were studying at 10 o'clock (นักเรียนกำลังเรียนอยู่ตอน 10 โมง)
She was listening to the news all evening (เธอฟังข่าวตลอดทั้งช่วงเย็น)

2. ถูกขัดขังหวะ ขณะกำลังทำอะไรบางอย่างในอดีต
เช่น I was sleeping when he entered my room. (ผมกำลังหลับอยู่ตอนที่เขาเข้ามาในห้อง)
They were having dinner when you called. (พวกเขากำลังกินข้าวอยู่ ตอนที่คุณโทรไปน่ะ)

3. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน (ไม่ต้องบอกเวลาก็ได้)
เช่น While my sister was reading a magazine, I was cooking. (ในขณะที่น้องสาวกำลังอ่านนิตยสาร ผมกำลังทำอาหาร)



ต่อในคอมเม้นน้าคร้าบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่