'ประพันธุ์' จี้สภาถอนญัตติอภิปรายปมถวายสัตย์ ศาล รธน.มีคำวินิจฉัยเด็ดขาดแล้ว

12 ก.ย.62 - นายประพันธุ์ คูณมี อดีตแกนนำเครือข่ายพันธมิตรประชานเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า สภาผู้แทนราษฎร ต้องถอนญัตติ หยุดการอภิปรายทั่วไปเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 211 วรรคท้ายบัญญัติว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ"
ดังนั้น กรณีเรื่องญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยไม่มีการลงมติ ของ สส. ฝ่ายค้าน กรณีเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุเป็นวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปราย ในวันที่ 18 กันยายน 2562 นั้น จึงมีปัญหาว่าสภาผู้แทนราษฎร ยังจะดำเนินการประชุมและเปิดให้มีการอภิปรายต่อไปอีกได้หรือไม่
หากพิจารณาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 ดังกล่าวแล้ว สภาผู้แทนราษฎร ย่อมมิอาจดำเนินการอภิปรายต่อไปได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า "การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมือง(Political Issue) ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหาร ในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล (Act of Goverment)
ประกอบกับเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เวลา 17.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต หลังจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัส เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน
และต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี ได้เข้ารับพระราชดำรัสในโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ซึ่งพระราชทานเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย โดยเข้ารับต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ห้องรับรอง ชั้น 5 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าว จึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ"
ด้วยเหตุดังกล่าว สภาผู้แทนราษฎร ย่อมไม่มีอำนาจตรวจสอบโดยการเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ดังเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น กรณีจึงมีเหตุสมควรที่ประธานสภาฯ จะได้มีคำสั่งให้ถอนญัตติดังกล่าวเสียจากวาระการประชุม ด้วยผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเด็ดขาดและผูกพันต่อสภาผู้แทนราษฎรด้วย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 211
https://www.thaipost.net/main/detail/45604
ยกมติศาลรธน.ล้มเกมฝ่ายค้าน! 'สว.สมชาย'ชี้เปรี้ยง รัฐสภาต้องยุติอภิปรายปมถวายสัตย์

12 กันยายน 2562 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า "รัฐสภาต้องยุติอภิปรายปมถวายสัตย์ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร รวมถึงรัฐสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 211 วรรคท้ายบัญญัติว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ" ดังนั้น กรณีเรื่องญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยไม่มีการลงมติ ของสส. ฝ่ายค้าน กรณีเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุเป็นวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปราย ในวันที่ 18 กันยายน 2562นั้น จึงมีปัญหาว่าสภาผู้แทนราษฎร ยังจะดำเนินการประชุมและเปิดให้มีการอภิปรายต่อไปอีกได้หรือไม่
หากพิจารณาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 ดังกล่าวแล้ว สภาผู้แทนราษฎร ย่อมมิอาจดำเนินการอภิปรายต่อไปได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า "การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมือง(Political Issue) ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหาร ในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล (Act of Goverment)
ประกอบกับเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เวลา 17.45 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต หลังจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัสเพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน
และต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี ได้เข้ารับพระราชดำรัสในโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ซึ่งพระราชทานเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย โดยเข้ารับต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ห้องรับรอง ชั้น 5 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
“การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าว จึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด “
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ"
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น
"สภาผู้แทนราษฎร ย่อมไม่มีอำนาจตรวจสอบการถวายสัตย์โดยการเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไปครับ"
https://www.naewna.com/politic/440076
ให้ส.ส.นำความเดือดร้อนจากประชาชน มาอภิปรายในสภา
เพื่อหาทางช่วยเหลือจะดีกว่าค่ะ ดีกว่ามาอภิปรายปมถวายสัตย์ให้เสียเวลา
🍑มาลาริน/ศาลวินิจฉัยปมถวายสัตย์ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรใดตามรธน. ฝ่ายแค้นจะอภิปรายให้ได้อะไรขึ้นมาคะ ?
12 ก.ย.62 - นายประพันธุ์ คูณมี อดีตแกนนำเครือข่ายพันธมิตรประชานเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า สภาผู้แทนราษฎร ต้องถอนญัตติ หยุดการอภิปรายทั่วไปเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 211 วรรคท้ายบัญญัติว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ"
ดังนั้น กรณีเรื่องญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยไม่มีการลงมติ ของ สส. ฝ่ายค้าน กรณีเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุเป็นวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปราย ในวันที่ 18 กันยายน 2562 นั้น จึงมีปัญหาว่าสภาผู้แทนราษฎร ยังจะดำเนินการประชุมและเปิดให้มีการอภิปรายต่อไปอีกได้หรือไม่
หากพิจารณาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 ดังกล่าวแล้ว สภาผู้แทนราษฎร ย่อมมิอาจดำเนินการอภิปรายต่อไปได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า "การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมือง(Political Issue) ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหาร ในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล (Act of Goverment)
ประกอบกับเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เวลา 17.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต หลังจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัส เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน
และต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี ได้เข้ารับพระราชดำรัสในโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ซึ่งพระราชทานเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย โดยเข้ารับต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ห้องรับรอง ชั้น 5 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าว จึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ"
ด้วยเหตุดังกล่าว สภาผู้แทนราษฎร ย่อมไม่มีอำนาจตรวจสอบโดยการเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ดังเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น กรณีจึงมีเหตุสมควรที่ประธานสภาฯ จะได้มีคำสั่งให้ถอนญัตติดังกล่าวเสียจากวาระการประชุม ด้วยผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเด็ดขาดและผูกพันต่อสภาผู้แทนราษฎรด้วย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 211
https://www.thaipost.net/main/detail/45604
ยกมติศาลรธน.ล้มเกมฝ่ายค้าน! 'สว.สมชาย'ชี้เปรี้ยง รัฐสภาต้องยุติอภิปรายปมถวายสัตย์
12 กันยายน 2562 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า "รัฐสภาต้องยุติอภิปรายปมถวายสัตย์ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร รวมถึงรัฐสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 211 วรรคท้ายบัญญัติว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ" ดังนั้น กรณีเรื่องญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยไม่มีการลงมติ ของสส. ฝ่ายค้าน กรณีเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุเป็นวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปราย ในวันที่ 18 กันยายน 2562นั้น จึงมีปัญหาว่าสภาผู้แทนราษฎร ยังจะดำเนินการประชุมและเปิดให้มีการอภิปรายต่อไปอีกได้หรือไม่
หากพิจารณาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 ดังกล่าวแล้ว สภาผู้แทนราษฎร ย่อมมิอาจดำเนินการอภิปรายต่อไปได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า "การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมือง(Political Issue) ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหาร ในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล (Act of Goverment)
ประกอบกับเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เวลา 17.45 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต หลังจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัสเพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน
และต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี ได้เข้ารับพระราชดำรัสในโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ซึ่งพระราชทานเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย โดยเข้ารับต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ห้องรับรอง ชั้น 5 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
“การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าว จึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด “
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ"
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น
"สภาผู้แทนราษฎร ย่อมไม่มีอำนาจตรวจสอบการถวายสัตย์โดยการเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไปครับ"
https://www.naewna.com/politic/440076
ให้ส.ส.นำความเดือดร้อนจากประชาชน มาอภิปรายในสภา
เพื่อหาทางช่วยเหลือจะดีกว่าค่ะ ดีกว่ามาอภิปรายปมถวายสัตย์ให้เสียเวลา